ตั้งแต่นักฆ่าได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อลักพาตัว ชูเยว่ ทุกวันนี้ประสาทของเสี่ยวหลัวอยู่ในสภาวะตึงเครียดสูงในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นในคลาสเรียนหรือคลาสกิจกรรมร้องเพลงประสานเสียง เขาก็มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัว

ด้วยอิทธิพลและทรัพยากรที่กว้างขวางของ ชู หยุนเชียง มันทำให้เขาได้รับข้อมูลของนักฆ่ามาอย่างครบท้วน

เสี่ยวหลัว ไม่เพียง แต่รู้ชื่อนักฆ่าและชื่อเล่นเท่านั้น แต่รูปลักษณ์ของมันยังปรากฏในใจของเขาด้วย

เสี่ยวหลัวขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปที่ป่าทึบใกล้ๆ และคิดในใจว่า: ถ้าฉันเป็นมัน ฉันจะตัดสินใจเริ่มต้นเมื่อไหร่และที่ไหนกันนะ?

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่กับตัวเองนั้น ใบหน้ารูปแตงโมก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขาอย่างโกรธเคือง

“มีอะไร?” เสี่ยวหลัวถามเบา ๆ

ฮวาง รั่วหราน ตวาดเสียงดัง: “ทุกคนจดจ่ออยู่กับการฝึกร้องเพลงประสานเสียง มีเพียงคุณเท่านั้นที่มายืนอยู่ที่นี่อย่างไร้สติ คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”

“เวลาว่างของทุกคนมีค่า นอกจากนี้เราก็ได้ฝึกฝนไปแล้วสองชั่วโมงในวันนี้ ลำคอของฉันแทบจะระเบิดออกอยู่แล้วหลังจากร้องเพลงมาทั้งหมดนั่น นี่ยังไม่พออีกเหรอ?” เสี่ยวหลัว กล่าวอย่างจริงจัง

ในอดีตเมื่อเขาอยู่ในวิทยาลัยเขาก็เบื่อหน่ายกับการแข่งขันการแสดงของคณะขับร้องเพลงประสานเสียง มันไม่มีความหมายอะไรเลย มันจะเป็นการดีกว่าถ้าให้พวกนักศึกษาที่สละเวลามาฝึกของขับร้องเพลงประสานเสียง ไปทำในสิ่งที่พวกเขาชอบทำ

คำพูดนี้สะท้อนกับความคิดของพวกผู้หญิงในเอกวิชาภาษาอังกฤษ ทุกคนพากันพูดออกมาอย่างเซ็งแซ่

“ใช่แล้วหัวหน้าทีม วันนี้เสียงของฉันมันแหบแห้งจนแทบจะหมดแล้ว และขาของฉันเหน็บชา จนรู้สึกว่าพวกมันไม่ใช่ขาของฉัน”

“เวลาสองชั่วโมงนั้นนานพอแล้ว เรายังมีเวลาอีกสองสัปดาห์ ค่อยมาฝึกพรุ่งนี้กันต่อเถอะ!”

“ฉันต้องการพักผ่อนอย่างเร่งด่วน ถ้าเราฝึกต่อไปเส้นเสียงของฉันคงหายไปแน่ๆ”

การยืนในขณะที่ฝึกขับร้องประสานเสียงนั้นเหนื่อยมาก ทุกคนในชั้นเรียนเอกภาษาอังกฤษ ต่างก็รู้สึกว่าพวกเขาอยากจะหยุดพัก

“ไการจัดอันดับของการแข่งขันขับร้องเพลงประสานเสียงนั้น จะส่งผลโดยตรงต่อเกียรติยศและชื่อเสียงโดยรวมของเอกเรา แต่ถ้าเราไม่สามารถร้องเพลง”แม่น้ำเหลือง” ได้อย่างราบรื่น เราจะไปแข่งขันได้อย่างไร?ถ้าเราขึ้นไปบนเวทีเราจะต้องสร้างเรื่องตลกอย่างแน่นอน สองสัปดาห์แม้ว่ามันดูเหมือนจะนาน เรามีเวลฝึกฝนมากสุดเพียง 28 ชั่วโมง เท่านั้น และเราต้องมีความรู้สึกถึงความคับขันตลอดเวลา ” ฮวาง รั่วหราน กล่าวอย่างชอบธรรม

“แต่ถึงแม้เราจะมี ‘ความรู้สึกคับขันอะไรนั่น’ แต่เราก็ยังต้องกินใช่ไหม ตอนนี้เวลา 11:55 อีกห้านาทีมันจะเป็นเวลาสูงสุดสำหรับมื้อกลางวันแล้ว และมันก็จะมีคนมาต่อคิวยาวเป็นหางว่าว” เสี่ยวหลัวพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ

ผู้คนจะต้องไปต่อคิวเพื่อซื้ออาหาร ไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ที่โรงอาหารเลย!

ชูเยว่พึมพำในใจของเธอ แต่เธอรู้สึกว่าตอนนี้ท้องของเธอว่างเปล่าเล็กน้อย

ฮวาง รั่วหลาน หยิบโทรศัพท์ของเธอออกมาดูเวลาแล้วพูดเสียงดังว่า “อีกห้าครั้ง แล้วค่อยเลิก!”

อะไรนะ? ร้องเพลงอีกห้าครั้งงั้นเหรอ?

พระเจ้าโปรดช่วยพวกเราด้วย!

เมื่อสาวๆ ที่เหนื่อยล้าและมึนงงเมื่อพวกเธอได้ยินคำพูดนี้ มันทำให้เธอพวกเธอโศกเศร้าในทันที

เสี่ยวหลัวไม่ได้แย้งเธออีกต่อไป เขาไม่ได้มาที่หัวเย่ เพื่อมาถูกควบคุมหรือมาร้องเพลงประสานเสียงนี้ และเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้คุ้มกันที่มองไม่เห็น เขาไม่จำเป็นที่จะต้องมาทำตัวมีความสามารถมากเกินไปในฐานะนักศึกษาธรรมดา

“โทษทีนะ พวกคุณฝึกกันไปเถอะ ฉันหิว ฉันจะกิน!” เมื่อคำพูดของเขาจบลง เขาก็หันหลังเดินออกไป

“พี่หลัว รอพวกเราด้วย!”

จูเสี่ยวเฟยและเติ้งไคต่างก็เบื่อหน่ายกับเรื่องนี้ พวกเขาเบื่อหน่ายกับการกดขี่ของพวกผู้หญิงมานานแล้ว พวกเขารู้สึกว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเด็กๆ จะต้องคัมแบคคัพอัพความเป็นลูกผู้ชายและเติบโตขึ้นกลายเป็นเจ้านายของพวกเธอ

อันหวน ยื่นริมฝีปากของเธอขณะที่เธอพึมพำกับตัวเอง“เทพหลัว ต่อต้าน รั่วหราน จริงๆ!”

ทั้งสามคนที่กำลังจากไปมันเป็นการท้าทายอำนาจของ ฮวาง รั่วหราน อย่างโจ่งแจ้งในฐานะผู้ดูแลชั้นเรียน ฮวาง รั่วหราน วิ่งตามพวกเขาไปและเหยียดแขนของเธอออกมาเพื่อปิดกั้นเส้นทางของพวกเขา ด้วยฟันที่ขบแน่นและนัยน์ตาที่กำลังจะปะทุเป็นเปลวไฟ ราวกับหญิงสาวที่บ้าคลั่งเธอพูดคำต่อคำ“ฉันบอกชัดเจนแล้วนะ! ว่าเราจะเลิกหลังจากร้องอีกห้าครั้ง พวกนายสามคนไม่ได้ยินคำพูดของฉันงั้นเหรอ!”

“หัวหน้าทีม เราหิวจริงๆ ดูสิแม้แต่หน้าอกของฉันก็แบนแทบจะติดหลังของฉันอยู่แล้ว” จูเสี่ยวเฟย กล่าวขณะที่ตบไปที่หน้าอกของเขา

เขาพูดราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกมากอย่างงั้นเหละ ร่างของเขาอ้วนมากขนาดนั้นมันจะไปแบนติดกับหลังของเขาได้อย่างไร นี่เป็นการพูดโกหกหน้าด้านๆชัดๆ

เติ้งไค ยังกล่าวเสริมอีกว่า: “ฉันก็หิวมากจนจะตายอยู่แล้ว ผู้ดูแลชั้นเรียนโปรดมีเมตตาและปล่อยให้เราไปทานอาหารกลางวันเถอะนะ ถ้าฉันเป็นลมขึ้นมาเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ เมื่อไปโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการลงทะเบียน และค่าที่ปรึกษาค่ารักษาพยาบาลค่าโภชนาการ ฯลฯ คุณจะต้องจ่ายเงินให้ฉันทั้งหมด! ”

“หุบปาก!”

ฮวาง รั่วหราน รู้สึกโมโหมาก ด้วยกำปั้นที่กำแน่นของเธอ เธอจ้องมองไปที่เสี่ยวหลัวอย่างดุเดือดและพูดอย่างออกคำสั่งว่า“กลับมาฝึก พวกนายไปได้ทุกที่ที่พวกนายต้องการ หลังจากที่เราเสร็จสิ้นการฝึกร้องห้าครั้งสุดท้าย”

“เราฝึกมาสองชั่วโมงแล้ว แม้แต่คลาสเรียนสองคลาสก็น่าจะจบลงในเวลาประมาณนี้”

เสี่ยวหลัวกล่าวต่อ“นี่ไม่ใช่วิธีที่ดี เราควรหยุดฝึกขับร้องเพลงประสานเสียง ในเมื่อทุกคนไม่ต้องการที่จะฝึกอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงห้าครั้งเลยแม้แต่ห้าสิบหรือร้อยครั้งมันก็ไม่มีผล มีแต่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น”

“อย่ามาหาข้ออ้าง เพื่อรองรับความขี้เกียจของคุณ!” ฮวาง รั่วหราน พูดอย่างเมินเฉย

เสี่ยวหลังส่ายหัว“ฉันไม่ได้หาข้ออ้าง คุณเป็นผู้ดูแลชั้นเรียน คุณรวบรวมทุกคนในช่วงเวลาว่างของเรามาเพื่อฝึกขับร้องเพลงประสานเสียงและมันก็ไม่มีใครพูดอะไรสักอย่าง เราหยุดทุกสิ่งที่เรากำลังทำและรีบมาที่ศาลานี้เพื่อฝึกขับร้องเพลง คุณควรจะพิจารณาถึงข้อนี้ด้วย”

เสี่ยวหลัวหยุดพูดชั่วครู่และพูดต่อ“ตอนนี้เราฝึกมาสองชั่วโมงแล้วและก็ยังไม่หยุดพักอีก เนื่องจากเราไม่สามารถร้องเพลง ‘แม่น้ำเหลือง’ ได้อย่างเหมาะสมแม้หลังจากฝึกซ้อมมานาน คุณก็ควรที่จะหยุด และคิดว่าวิธีการฝึกฝนแบบนี้มันผิดหรือไม่ มันจะดีกว่านะ ที่จะมาให้ทุกคนร้องเพลงอีกห้าครั้ง”

แม้ว่าเสี่ยวหลัวจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ฮวาง รั่วหราน แต่พวกผู้หญิงในเอกภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ก็สนับสนุนคำพูดของเสี่ยวหลัว แม้แต่ผู้หญิงที่เข้าข้าง ฮวาง รั่วหราน ก็รู้สึกว่าเสี่ยวหลัวนั้นเป็นคนที่มีเหตุผลในครั้งนี้ ท้ายที่สุดมันก็เกือบห้าวันแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มฝึกฝนกันมา นอกจากนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถร้องเพลง ‘แม่น้ำเหลือง’ ได้อย่างถูกต้องมันจะต้องมีบางสิ่งที่ผิดเกี่ยวกับวิธีการฝึกฝนของพวกเขา”

“หลังจากที่ประสบกับปัญหามาหลายวัน ฉันคิดว่าเขาพูดถูกในเวลานี้” ชูเยว่ กล่าวในขณะที่มุ่ยปาก

ไป่หลิง พยักหน้าขณะที่เธอก็รู้สึกเหมือนกัน จากนั้นเธอส่ายหัวอีกครั้งเพราะเธอรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เสี่ยวหลัวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ก็สมเหตุสมผลดีเช่นกัน

ฮวาง รั่วหราน รู้สึกว่าเธอจัดการชั้นเรียนได้ดีอย่างเป็นระเบียบ แต่หลังจากที่เสี่ยวหลัวมาทุกอย่างนั้นก็เปลี่ยนไป สิทธิอำนาจของเธอในฐานะผู้ดูแลชั้นเรียน ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เธอขบฟันของเธอแน่นแล้วถามเขา“เสี่ยวหลัวทำไมนายมักจะต่อต้านฉัน”

“คุณคิดมากเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ต่อต้านใครเลย เชื่อหรือไม่ว่าฉันลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตไปหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นฉันก็คงจะไม่รีบมาที่นี่หลังจากที่ได้รับข้อความของคุณหรอก แต่คุณอาจจะต้องถามตัวเองว่าเวลาฝึกของเรานั้นนานไปหน่อยหรือเปล่า? แม้ว่าการแข่งขันของคณะขับร้องเพลงประสานเสียงนี้มันจะสำคัญมากจริงๆ แต่เราก็ควรที่จะหยุดพักเมื่อเราควร ฉันพูดถูกไหม?” เสี่ยวหลัว กล่าวอย่างใจเย็น

เขาลืมเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์พวกนั้นมาตั้งนานแล้ว เขาลืมมันตั้งแต่ช่วงคลาสเรียนสุดท้ายในวันนั้น และเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเพราะพวกผู้หญิงมานานแล้วด้วย คราวนี้ที่เขาปฏิเสธ ฮวาง รั่วหราน ก็เป็นเพียงเพราะว่าเขารู้สึกว่าเธอไร้เหตุผลมากเกินไป