บทที่ 28 ผมหวังว่า พี่ควรปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

“ทั้ง ๆ ที่ไม่รักเธอ ผมหวังว่า พี่จะปล่อยเธอให้เป็นอิสระเร็วๆ!” ใบหน้าเคร่งขรึมและเยือกเย็นของเด็กหนุ่มทำหน้าจริงจังที่สุด พร้อมทั้งเน้นย้ำทุกคำพูด

“ตอนนี้เธอเป็นพี่สะใภ้ของนายแล้ว อะไรที่ควรเก็บเอาไว้หรือสิ่งใดที่ไม่ควรทำ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ฉันไปเตือนนายนะ…”

ออกัสขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นเฉียบ แต่ความเป็นใหญ่ที่อยู่ในนั้นกลับไม่สามารถเพิกเฉยได้

“พี่ ถ้าต่อไปพี่ดีกับเธอ ก็เอาแบบนี้แหละ ไม่งั้น ผมจะไม่ปล่อยไปอย่างไม่ดูดำดูดี”

เลอแปงกวาดตามอง ร่างกายอันบอบบางที่อยู่ไม่ไกลนั้นซ้ำอีกครั้งอยู่เงียบๆ และเอ่ยพูดออกมา “ยังมีอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะไปอยู่ที่หอพักในโรงเรียน พี่ก็ช่วยบอกแม่ให้ผมด้วย”

เพราะว่าเธอแต่งงานกับพี่ชายแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์หรือคอนโดก็ตาม ก็อาจจะได้พบเจอหน้ากัน ถ้าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป อยู่ในโรงเรียนเสียดีกว่า

จากนั้นรถแลนโรเวอร์สีดำก็ขับรถมุ่งหน้าทะยานออกไปทางด้านหน้า

ถุงมือที่ใส่อยู่ในมือนั้น เชอร์รีนพลันคิดถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางหิมะ จนแอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างเงียบๆ

ดวงตาดั่งพญาเหยี่ยวของออกัสพลันเหลือบมองเธออยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็เคร่งขรึมลง และจ้องมองถุงมือคู่นั้น

“ถุงมือที่คุณถัก ตกลงว่าเอาไปให้ผู้ชายกี่คนแล้วเหรอ?” เขาเลิกหัวคิ้วขึ้น นัยน์ตาหมองหม่น

เมื่อหวนคิดถึงแล้ว เธอถึงกลับมองมาทางเขาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ตอบความเป็นจริง “สองคนค่ะ คู่หนึ่งเอาไปให้ ส่วนอีกคู่ก็ถักให้คุณ”

แม้ว่า ถุงมือที่จะส่งให้เขานั้นพ่อเป็นคนถักให้ก็ตาม

เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของออกัสก็เลิกขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งหันข้างใบหน้าอันหล่อเหลาเข้ามาหา และจ้องมองเธอ “พูดกันตรงๆ ต่อหน้าสามีนี่แหละ คุณรู้สึกยังไงกับน้องชายของผัวตัวเอง?”

เชอร์รีนถึงกลับอ้าปากค้าง และเริ่มหาวเพราะอาการง่วงนอน และคอยจ้องมองเขาด้วยเช่นกัน

“ประธานออกัสอยู่เหนือกว่าหลายเท่านักทำไมต้องเอามาเรื่องแค่นี้มาเปรียบเทียบกันด้วย พฤติกรรมเหล่านี้ที่เลอแปงแสดงออกมาให้เห็นฉันเองก็คาดไม่ถึง ส่วนคุณรู้ทั้งรู้ความคิดของเลอแปงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นถึงได้ให้เขารับโทรศัพท์ของฉัน ไม่ใช่เหรอคะ?”

ใบหน้าขาวหมดจดแดงระเรื่อขึ้นมา เวลานี้กลับแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย ก็เหมือนเจ้าแมวน้อยอันแสนขี้เกียจ กระดูกไหปลาร้าที่อยู่ตรงซอกคอขาวเกลี้ยงเกลาแถมยังต้องตาต้องใจ มันวนเวียนในหัวใจของคนจนเริ่มยุกยิกขึ้นมาแล้ว

แววตาของเขาดั่งผู้ล่าเหยื่อ พลันใช้ฝ่ามือใหญ่ดึงตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอดอย่างคิดไม่ถึงเช่นกัน และเม้มริมฝีปากบางๆ และเขยิบเข้าใกล้เธอเรื่อย ๆ

เธอรีบเบนหน้าหนีทันที

ทว่าฝ่ามือใหญ่ของเธอก็ตรึงท้ายทอยของเธอเอาไว้ น้ำเสียงสุขุมราวกับขิมไม้ “ทำตามใจผมไง หือ?”

เชอร์รีนตัวแข็งทื่อเล็กน้อย พลันนึกถึงสัญญาก่อนหน้านี้ของตนเองทันที จนเธอเริ่มปวดหัว

นี่เขาจงใจคิดบัญชีกับเธอนี่หน่า!

“แต่งงานกันแล้ว คุณครูเชอร์รีนก็ควรจะเป็นผู้ใหญ่หน่อยนะ คุณหญิงเชอร์รีนตกลงไหม?”

เขานำเส้นผมที่คลอเคลียข้างแก้มทัดหลังใบหูของเธอ

คำพูดนั้นถือว่าไม่เลวจริงๆ ชายหนุ่มเริ่มแสดงความรู้สึกออกมา ดั่งปีศาจหิวกระหายก็ไม่ปาน

ไม่แบ่งเวลา ไม่แบ่งสถานที่หรือเหตุการณ์ใดๆ อยากจะทำอะไรก็ทำตามทุกครั้งไป…

เพียงแค่ ผู้ชายคนนี้เป็นคนสง่างาม หล่อเหลา สูงศักดิ์และเย่อหยิ่งคับฟ้า เป็นผู้ใหญ่ที่แสนเซ็กซี่รัญจวนใจ แต่การกระทำในเวลานี้กลับเหมือนอันธพาลไม่มีผิดเพี้ยน!

“คุณหญิงเชอร์รีนหรือว่าคุณไม่รู้ว่าคำพูดนี้ในบางจังหวะเวลามันเป็นการกระตุ้นชนิดหนึ่งสำหรับผู้ชาย ก็เหมือนกับตอนนี้…”

เขาเหลือกตาขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าและทุ้มต่ำ สถานที่อันงดงามที่อยู่ห่างไกลสายตาผู้คน โรงจอดรถที่สมบูรณ์แบบ

จากนั้น ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ดึงร่างกายของเธอเข้ามากอดทันที จนทำให้ด้านหลังของเธอติดกับพวงมาลัย

“คุณหญิงเชอร์รีนไหนเรียกพี่ออกัสให้ฟังหน่อยสิ นะ?”

“ไปเลยไป หน้าไม่อายเลย!”

เช้าตรู่วันถัดมา

เชอร์รีนถูกเสียงออดที่กดซ้ำปลุกให้ตื่น จากนั้นก็ดันร่างกายที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง

ในห้องเหลือแค่เธออยู่คนเดียว ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างเหมือนว่าจะออกไปนานแล้ว

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้มันปรากฏเป็นฉากอยู่ในหัวสมองของเธอ เธอกัดริมฝีปากเอาไว้ พลันยื่นมือออกมาลูบใบหน้า ทำได้แค่เกลียดแสนเกลียดว่าผู้หญิงคนเมื่อวานไม่ใช่ตัวเธอเอง!

จังหวะนั้นเอง พลันมีเสียงออดประตูดังขึ้นอย่างรีบร้อน

เพิ่งจะเจ็ดโมงเอง ใครมา?

เธอสูดลมหายใจเข้าปอด จากนั้นก็จัดการใส่ชุดนอนให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว พลันแบกร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาค่อยๆ มุ่งหน้าเดินไปที่ประตูอย่างช้า ๆ และเปิดประตูออก

พลันเห็นสุนันท์ปรากฏตัวอยู่ทางด้านหน้าของเธอ เธอใส่ชุดเสื้อขนมิงค์ ในมือก็คล้องกระเป๋าสีม่วงมีพู่ใบเล็กของเอาไว้ ทั้งหรูหรามีระดับ….

เชอร์รีนตะลึงอยู่สักพัก เมื่อผ่านไปแวบเดียว ก็สามารถตั้งสติกลับมาได้ จนเอ่ยปากทักอย่างแปลกหู “คุณแม่”

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวคิ้วอันงดงามของสุนันท์ก็ย่นเข้าหากัน การเรียกว่าแม่ ทำไมพอฟังแล้วร่างกายมันดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย?

แววตามองมาที่ตัวของเชอร์รีน จากนั้นก็กวาดตาพิจารณา จนเธอเริ่มอ้าปากพูด “เพิ่งจะตื่นเหรอ?”

จากนั้น เธอก็เอื้อมมือจัดการเอาเส้นผมทัดหลังใบหู และส่งเสียงตอบรับ พร้อมทั้งพยักหน้าให้

สุนันท์เหลือบตามองเธอ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เหลือบมองเวลาแทน และเอ่ยว่า “เจ็ดโมงครึ่งนะ”

ความหมายในคำพูด เชอร์รีนย่อมเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่เธอเองก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เลยไม่พูดดีกว่า

สุนันท์เดินผ่านตัวเธอไป มุ่งหน้าเดินไปทางด้านหน้า พลันสำรวจห้องรับแขก และนั่งลงบนโซฟาทันที “ออกัสล่ะ?”

“ไปบริษัทแล้วค่ะ” เธอทั้งตอบแล้วรินน้ำให้ด้วย

“ไม่มีกาแฟเหรอไง?” สุนันท์ สบตาเธอ

มือที่กำลังจัดแจงอยู่ถึงกลับค้างเติ่งทันที เชอร์รีนมองสำรวจโดยรอบ “คุณแม่คะ ไม่มีกาแฟค่ะ มีแต่เหล้า”

“งั้นก็ช่างเถอะ” สุนันท์เอนหลังพิงกับพนักพิงโซฟาที่อยู่ด้านหลัง “ที่ฉันมาก็เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากคุยกับหล่อน”

มีเรื่องอยากคุยกับเธองั้นเหรอ?

แม้ว่าเชอร์รีนจะไม่เข้าใจและเกิดความสงสัยขึ้นมาก็ตาม แต่กลับพูดด้วยความเคารพแทน “ค่ะ คุณแม่เชิญพูดเลยค่ะ”

“อีกไม่กี่วันก็จะตรุษจีนแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณกับออกัสก็ต้องย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์เถอะ” สุนันท์พูด

ย้ายกลับไปพักที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์เหรอ?

จนหัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย เวลานั้นเชอร์รีนรู้สึกว่าตัวเธอเองนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีแน่!

เพราะนายท่านไม่ยินดีต้อนรับเธอ แถมแม่สามีในนามที่อยู่ด้านหน้าก็เป็นตัวร้ายทีเดียว ย้ายกลับไปอยู่ที่ บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์อยู่ด้วยกัน แล้วเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไหม?

แต่การปฏิเสธต่อหน้านั้นก็ทำไม่ได้ งั้นก็ตอบเลี่ยงๆ เถอะ “คุณแม่คะ รอให้ออกัสกลับมาก่อน ฉันจะบอกกับเขาให้ค่ะ”

เธอไม่ได้พูดว่าไป และไม่ได้พูดว่าไม่ไป คำตอบนี้เก็บไว้ให้ประธานออกัสตัดสินใจดีที่สุดแล้ว ถ้าเกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา ก็คงไม่เกิดปัญหาอะไร

เมื่อได้ยินดังนั้น สุนันท์กลับแสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที “ที่คุณพูดออกมาหหมายความว่ายังไง? หรือไม่ยอมจะย้ายไปอยู่กับแม่ผัวงั้นสิ?”

เชอร์รีนรีบอธิบายทันควัน “เปล่าค่ะ คุณแม่ค่ะ หนูไม่ได้หมายความตามนั้นเลย!”

“ถ้าไม่ใช่ความหมายตามนี้ งั้นฉันก็ถือว่าคุณตกลงที่จะย้ายไปอยู่ที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์แล้ว เก็บของซะ เดี๋ยวตอนบ่ายให้คนขับรถมารับตัวคุณ” สุนันท์ ทำการตัดสินใจรวบยอดเอง แววตาฉลาดเฉลียว

“คุณแม่คะ งั้นหนูขอโทรศัพท์หาออกัสก่อน จะได้บอกเขาเอาไว้”

จากนั้น ยังไม่ทันสิ้นเสียงเธอ สุนันท์ลุกพรวด และจัดการพูดเอง “เดี๋ยวฉันโทรหาเอง ส่วนคุณก็สนใจเก็บของก็พอแล้ว”

เรื่องมาถึงจุดไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็หันตัวเดินออกไป

เชอร์รีนเดินมาส่งเธอด้านนอกประตู เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่หนักแน่นจริงๆ เพราะว่าปม่สามีคนนี้ช่างไม่สามารถล่อหลอกได้ง่ายจริงๆ

เมื่อย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์แล้ว ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามีความมืดหม่นอยู่ด้านหน้าเต็มไปหมด!

วันนี้เป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้าย จึงพยายามฮึดสู้ตลอด เธอไปคุมสอบ ที่โรงเรียน

พอตกบ่าย ทุกวิชาก็สอบเสร็จแล้ว ส่วนการตรวจข้อสอบนั้นมีครูที่รับผิดชอบอยู่แล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วงไป

ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคือปิดเทอมฤดูหนาวแล้ว

ตอนที่กำลังเก็บของบนโต๊ะอยู่นั้น นลินก็เดินเข้ามาหา “บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ เดี๋ยวไปเดินเที่ยวห้างกันนะ ในห้างของลดราคาอยู่เลย”

“ได้สิ! เธอออกปากรับอย่างปากไว จากนั้นถึงคิดได้ในสิ่งที่สุนันท์พูดขึ้นมาในตอนเช้า เลยขอเลื่อนออกไป ว่าคืนนี้มีธุระเรื่องอื่นที่ต้องทำ”

นลินก็ไม่ได้ซักไซ้ถาม จากนั้นเธอก็เดินออกไป

รอให้เชอร์รีนเดินออกจากโรงเรียนแล้ว รถยนต์สีดำก็มารออยู่หลายชั่วโมง พลันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ทำได้เพียงเดินเข้าไปหา และขึ้นรถ…