เมื่อลองมาคิดดูอย่างตรงไปตรงมารูปลักษณ์ของ อันหวน นั้นดีจริงๆ เธอมีดวงตาที่สดใสฟันขาวราวกับน้ำนมและผิวพรรณที่เปร่งประกาย แต่เธอก็ค่อนข้างตัวเล็กไปซะหน่อย แต่ความสูงเพียงน้อยนิดของเธอไม่อาจถือเป็นข้อบกพร่องได้ ผู้ชายหลายคนอยากปกป้องผู้หญิงอย่างเธอ

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหลัว นั้นคิดว่าเขาไม่เหมาะกับเธอ มีสองเหตุผลหลักสำหรับเรื่องนี้

ก่อนอื่นเลยเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจริงๆ จุดประสงค์เดียวของการมาที่หัวเย่ ก็คือเพื่อปกป้องชูเยว่

ประการที่สองเขาได้ทำงานอย่างหนักในสังคมมาเป็นเวลากว่าสามปีแล้ว การมองหาแฟนสำหรับเขาคือเพื่อที่เขาและเธอจะได้แต่งงานกันจริงๆ พวกนักศึกษาไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการพิจารณาของเขา

“เสี่ยวหลัว!”

เสียงเรียกที่ดังก้องกังวานมันมารบกวนความคิดของเขา เมื่อมองออกไปเขาก็เห็นกลุ่มชายท่าทางแข็งแกร่งห้าหรือหกคน ที่ใบหน้าของพวกเขาแสดงความเป็นศัตรูปรากฏออกมาอย่างชัดเจน

ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อลายสก๊อตก้าวไปข้างหน้า เขาตะโกนอย่างเย็นชา “ใครคือเสี่ยวหลัว!”

เสี่ยวหลัวเงยหน้าขึ้นไปมองดูพวกเขา พวกเขาเป็นกลุ่มนักศึกษาที่เขาไม่คุ้นเคย เขาไม่รู้ว่าทำไมพวกนี้ถึงต้องการที่จะพบเขา

“มีอะไร?”

เมื่อพวกเขาเห็นว่าเสี่ยวหลัว นั้นไม่มีความกลัวหรือประหม่าเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับแสดงถึงท่าทางที่สูงส่งแทน ดวงตาของพวกเขาแสดงความไม่พอใจออกมา ผู้ชายเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตตะโกนเสียงดังว่า“ไอแม่เย๊…ด * เสี่ยวหลัว ใช่ไหม? ตอบคำถามมา มิฉะนั้นฉันจะทุบสมองหมูของแกให้เละ!”

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจมาหาเรื่อง

“ดูเหมือนเสี่ยวหลัวจะมีปัญหา!”

ไป่หลิง ซึ่งนั่งรับประทานอาหารอยู่อีกด้านหนึ่ง เห็นสถานการณ์แปลกๆที่ตรงเสี่ยวหลัว เธอก็กระซิบบอกคนข้างๆในทันที

ชูเยว่ทัดผมที่ข้างหูแล้วพูดออกมา “พวกนั้นมารุมรังแกคนแบบนี้ ฉันรู้สึกชินกับมันแล้ว” เธอดื่มน้ำส้มหนึ่งแก้วลงไปแล้วเหลือบมองดูพวกเขาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คนพวกนั้นมาจากชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า ตอนนี้ดูเหมือนพวกของ ซ่ง เจียหนาน กำลังบีบบังคับให้เขาลงมือ”

ฮวาง รั่วหราน เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและจ้องมองไปเสี่ยวหลัว โดยที่ใบหน้าของเธอไม่ปรากฏถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ มันยากที่จะบอกจากการแสดงออกของเธอว่าเธอกำลังมีความสุขหรือเศร้า

อันหวนยืนขึ้นและจ้องตรงไปที่ชายในเสื้อเชิ้ตลายสก๊อต “จ้าว ชิงเหอ นายกำลังทำอะไร ต่อหน้าผู้คนมากมาย นายอยากที่จะต่อสู้ในโรงอาหารงั้นเหรอ?”

“มันไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ เราไม่ได้มาที่นี่เพราะผู้หญิงที่โลเลอย่างเธอ” จ้าว ชิงเหอ เตือนขณะที่เขาชี้นิ้วใส่เธอ

จากนั้นเขาก็กระแทกโต๊ะด้วยกำปั้นของเขาและตะโกนไปที่ เสี่ยวหลัว จูเสี่ยวเฟยและเติ้งไค “ใครคือเสี่ยวหลัว ยืนขึ้นเดี๋ยวนี้!”

จูเสี่ยวเฟย ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา

ดวงตาห้าหรือหกคู่หันมาหาเขา“นายคือเสี่ยวหลัว?”

“ไม่ใช่” จูเสี่ยวเฟย โบกมือของเขาปฏิเสธ

เติ้งไค ก็ยังยืนขึ้นในเวลานี้ เมื่อมี เสี่ยวหลัว อยู่ที่นี่ความกล้าหาญของเขานั้นใหญ่มาก

ชายห้าหรือหกคนจ้องมาที่เขา: “นายงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่” เติ้งไค ส่ายหัวของเขา

“แล้วพวกแก จะยืนขึ้นมาทำแปะอะไร!”

จูเสี่ยวเฟย คว้าคอของ เติ้งไค มากอดจนเกือบจะยกตัวของเขาลอยขึ้นมาจากพื้น

“พวกฉันเป็นนักศึกษาที่มีอารยธรรม ฉันกำลังนำซ้อมและจานของฉันไปเก็บ เพื่อลดภาระให้กับป้าในโรงอาหาร” เติ้งไค กล่าว

“ไอเหี้..ย พวกแกกำลังกวนตีนข้างั้นเหรอ!”

จ้าว ซิงเหอ รู้สึกโกรธมาเขาผลักเติ้งไคอย่างรุนแรง

เติ้งไค เป็นเหมือนกับใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม เขากระเด็นถอยกลับ โชคดีที่จูเสี่ยวเฟยจับตัวของเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงล้มลงไปที่พื้นแล้ว

“แกทำอะไร แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาผลักคนอื่น” จูเสี่ยวเฟย พูดตำหนิอย่างโกรธเคือง

“ฉันไม่ได้ผลัก เพียงแต่ว่าแขนของฉันมันหนา ฉันแค่แตะตัวมันเบาๆ แล้วฉันผิดงั้นเหรอ?” จ้าว ซิงเหอ พูดพร้อมกับแบ่งกล้ามของเขา

จูเสี่ยวเฟย รู้สึกหงุดหงิด ตัวเขามีเพียงไขมัน แน่นอนว่าไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบกับ จ้าว ชิงเหอ ได้ เมื่อเขาเห็นกล้ามแขนของมัน เขาก็หยุดพูดในทันที

ชายอีกคนหนึ่งชี้ไปที่เสี่ยวหลัวผู้ที่กำลังทานอาหารกลางวันอยู่ “พี่ชายจ้าว เขาคือเสี่ยวหลัว!”

ชายคนนี้มาจากกลุ่มเดียวกันกับ ถัง หยู่เจ๋อ ที่เสี่ยวหลัว ได้ทุบตีเขาบนดาดฟ้าของหอพักชาย ชายคนนี้จดจำรูปร่างลักษณะของเสี่ยวหลัวได้ จนขึ้นใจไปชั่วชีวิตแม้ตายก็ไม่ลืมเลือน!

“นายคือเสี่ยวหลัว?”

จ้าว ชิงเหอ ตบไหล่ของ เสี่ยวหลัว สองครั้งแล้วพูดด้วยใบหน้าที่อึมครึม“ทำไมนายไม่ตอบ เมื่อฉันเรียก? นายทำอย่างกับพูดของฉันเหมือนผายลม?”

“ตอนนี้ในเมื่อนายพูดถึงมัน ฉันชักจะได้กลิ่นเหมือนใครบางคนกำลังผายลมออกมาบ้างแล้ว กลิ่นไม่ดีเลยจริงๆ!” เสี่ยวหลัว โบกมือไปมา ด้านหน้าจมูกของเขา

อันหวนหัวเราะ“ฮาฮ่า เทพหลัว คุณเป็นคนที่ตลกจัง”

การแสดงออกของ จ้าว ชิงเหอ เปลี่ยนไปจากที่ขบขันกลายเป็นน่ากลัว เขายกเท้าขึ้นและกระทืบมันลงไปบนเก้าอี้ของเสี่ยวหลัว “นายเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม?”

“มีอะไรจะพูด ก็พูดไป แต่อย่ามายกเท้าแกว่งไปมาแถวนี้!” เสี่ยวหลัว พูดพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชา

“โอ้ ตอนแรกพี่ใหญ่หนานบอกว่านายมันเป็นบ้า แต่ฉันก็ไม่เชื่อหรอกในตอนแรก แต่ใครจะคิดหละว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ฉัน….”

เสียงของเขาหยุดลงในทันที

เสี่ยวหลัวลุกขึ้นยืนห้านิ้วของเขากางออกและพุ่งตรงไปคว้าจับที่คอของ จ้าว ชิงเหอ ก่อนที่เขาจะมีเวลาตอบสนอง จ้าว ซิงเหอ ก็รู้สึกว่าเท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้นดินแล้ว คอของเขาถูกกำแน่น เขารู้สึกหายใจไม่ออกและเริ่มสำลัก

อย่าว่าแต่เพื่อนของ จ้าว ชิงเหอ เลยพวกนักศึกษาทุกคนในโรงอาหารต่างก็ตกใจที่ได้เห็นฉากนี้ ต้องใช้ความแข็งแกร่งมากขนาดไหนกัน ในการยกคนๆหนึ่งด้วยมือเพียงข้างเดียว?

เสี่ยวหลัวเงยหัวขึ้นและจ้องไปที่ จ้าว ซิงเหอ อย่างเย็นชา: “ตอนนี้นายบอกฉันได้หรือยังว่าทำนายถึงต้องมาตามหาฉัน?”

จ้าว ชิงเหอ พยักหน้าด้วยความกลัวและรีบหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าของเขา ซึ่งหน้าซองมันเขียนคำว่า: จดหมายท้ารบ

“นี่คือจดหมายท้ารบจากพี่ใหญ่หนาน เขาจะรอนายอยู่ที่ชมรมซานต้า ในคืนวันเสาร์”

“จดหมายท้ารบ?”

ตาของเสี่ยวหลัวประกายดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็คลายมืออกจาก จ้าว ซิงเหอ “กลับไปถามประโยคกับ ซ่ง เจียหนาน ถามเขาว่าสมองของเขาโง่หรือว่าเขาอายุสามขวบ? ตอนนี้เราอยู่ในยุคสมัยไหนกันแล้ว เขายังคงกลับทำสิ่งนี้อยู่อีก?”

“นายจะไม่ยอมรับงั้นเหรอ” จ้าว ชิงเหอ ที่ถูกปล่อยถาม

“ฉันไม่มีเวลามาเล่น สำหรับเรื่องไร้สาระพวกนี้!” เสี่ยวหลัวกล่าวอย่างเย็นชา

จ้าว ชิงเหอ จ้องมองไปที่ อันหวน พร้อมกับเยาะเย้ย“นายมีความกล้าพอที่จะฉกแฟนของพี่ใหญ่หนาน แต่นายกลับไม่มีความกล้าพอที่จะตอบรับจดหมายท้ารบของเขา เสี่ยวหลัวปรากฎว่านายมันเป็นแค่คนที่ไร้สมองคนหนึ่ง!”

“โทษทีนะ การพูดถากถาง มันไม่ได้ผลกับฉัน นอกจากนี้ฉันต้องกินอาหารกลางวันให้เสร็จ ไปอยู่ไกลๆจากฉันเท่าที่นายจะทำได้ และอย่ามาทำลายความอยากอาหารของฉัน”เสี่ยวหลัวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร

มุมปากของ จ้าว ชิงเหอ ขบแน่น ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกอาวุโสของชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า มีเมื่อไหร่กันที่เขาถูกทำให้โกรธเช่นนี้?

“เสี่ยวหลัว นายควรรู้ว่าอะไรดีสำหรับนาย พวกเรามีทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบคนในชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า หากทุกคนถ่มน้ำลายใส่นายมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นายจมน้ำตาย นายเคยคิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาจากการปฏิเสธท้ารบของพี่ใหญ่หนาน บ้างไหม?”

เสี่ยวหลัว กล่าวอย่างเย็นชา พร้อมกับถ่มน้ำลายออกมา: “ออกไป!”

จูเสี่ยวเฟยและเติ้งไค ต่างก็รู้อารมณ์ของเสี่ยวหลัวดี แม้ว่าเขามักจะดูดีและยิ้มแย้มอยู่เสมอๆ แต่เมื่อเขาโกรธเขาก็จะกลายร่างเป็นจ้าวปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อให้เสี่ยวหลัวมีพื้นที่เพียงพอที่เขาต้องการ พวกเขายังมองไปที่ อันหวน และส่งสัญญาณให้เธอหลบออกไปให้ห่างๆอีกด้วย

“ดีมาก นายมันบ้าและกล้าหาญมาก!”

จ้าว ซิงเหอ แม้จะรู้สึกประหลาดใจที่โดน เสี่ยวหลัว ยกตัวเขาขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งในตอนแรก แต่ตอนความโกรธของเขามันพุ่งไปที่หัวจนสมองของเขามันคิดอะไรไม่ได้ เขาเหยียดมือออกแล้วหยิบซ้อมพร้อมกับจานอาหารจากนั้นก็ตีลงไปที่ศีรษะเสี่ยวหลัวอย่างรุนแรง พร้อมกับคำรามออกมาเสียงดัง“ฉันจะฆ่าแก!”

แต่ในทันทีที่เขายกช้อนส้อมขึ้นสูง เสี่ยวหลัว ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และกวาดลูกเตะออกไปอย่างแรงตรงไปที่ช่องท้องของเขา

เมื่อออกลูกเตะ เสมือนพื้นดินทั้งหมดสั่นสะเทือน

จ้าว ซิงเหอ และร่างกายของเขาราวกับถูกรถไฟพุ่งชน เขากระเดนถอยหลังไปกระแทกกับเพื่อนของเขาที่อยู่ด้านหลัง

เพื่อนของเขาพยายามเอื้อมมือออกไปจับเขา แต่ก่อนที่พวกเขาจะยกแขน จ้าว ซิงเหอ ก็บินพุ่งลอยเข้ามาเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่และพุ่งเข้ากระแทกของพวกเขาจนล้มลงไปที่พื้น ข้าวของบนโต๊ะอาหารแตกกระจาย ส่งเศษอาหารลอยกระจายออกไปทั่วทิศทาง

ช่างน่าอับอายจริงๆ! พวกเขาห้าหรือหกคนล้วนล้มตัวนอนอยู่ที่พื้น อดไม่ได้ที่พวกเขาจะสูดลมหายใจที่เย็นยะเยือกเข้าไป พวกเขามองไปที่เสี่ยวหลัวด้วยความรู้สึกขนพองสยองเกล้า