ตอนที่ 216 โดนตลบหลังอีกแล้ว

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 216 โดนตลบหลังอีกแล้ว

“อะไรเสียอย่างงั้นหรือ” ซูหวานหว่านเอ่ยถาม

“กลีบดอกไม้ที่นางใช้ทั้งหมด มันน่าจะเป็นว่านฮวาหง” เป่ยฉวนเฟิงหลิวขมวดคิ้ว “ประสิทธิภาพของว่านฮวาหงนั้นไม่ธรรมดา ท่านอาจารย์ได้บอกว่าหากใช้สิ่งนี้ไปนานเข้าจะเกิดอาการคัน หลังจากผ่านไปสักระยะแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในกลีบจะสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายของคนเราเพื่อขยายพันธุ์ได้ จะทำให้คนนั้นทรมานและตายไปในที่สุด”

“อะไรนะ?” เหตุใดผลของมันถึงได้รุนแรงมากเพียงนี้! เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่อาจจะเป็นผลลัพธ์ในช่วงแรก ๆ ของมันเท่านั้น? ซูหวานหว่านเกิดอาการตกใจ

สายตาของเป่ยฉวยเฟิงหลิวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง “เราจะต้องหาว่านฮวาหงมาให้ได้”

ซูหวานหว่านพยักหน้า ทำการสั่งให้ใครซักคนไปตรวจสอบซูเสี่ยวเหยียน แต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วกลับไม่พบเจอเบาะแสใดที่เป็นเงื่อนงำ ส่วนเป่ยฉวนเฟิงหลิวก็ได้ไปที่ตลาดมืดเพื่อไปหาข่าวคราวของเรื่องนี้

ซูหวานหว่านกำลังจะเดินเข้าไปในห้อง ภายในใจนางเต็มไปด้วยความกังวล

ควรจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี? ซูหวานหว่านรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก นางจับนกจากมิติฟาร์มมาปล่อยไว้ข้างนอกเพื่อให้นกไปหาข่าวสารเกี่ยวกับที่อยู่ของซูเสี่ยวเหยียน

ทันทีที่นกถูกปล่อยออกไป นางก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่หน้าร้านเจวียเซ่อ “เป่ยฉวนเฟิงหลิว! เจ้าขายอะไรให้เรา! เจ้าขายของเสียใช้ไม่ได้มาให้พวกเรางั้นเหรอ? น้ำศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเหรอนี่มันน้ำพิษชัด ๆ! ข้าซื้อมันมาไม่ใช่ถูก ๆ นะ กว่าจะแย่งมันมาได้ลำบากแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่!”

“ส่วนข้าซื้อมันมาในราคาสามสิบตำลึง! แต่ใครจะไปคิดได้กันว่าหน้าที่เกือบจะหายดีของข้า วันนี้มันกลับเกิดอาการคันและคันมากขึ้นกว่าเดิม! ข้ารู้สึกคันยิบ ๆ เหมือนมีแมลงอยู่ในผิวหนังเสียด้วยซ้ำ!”

“…”

ซูหวานหว่านเดินสอดส่องดูสถานการณ์อยู่บริเวณหน้าต่าง นางเห็นเป่ยฉวนเฟิงหลิวที่เพิ่งจะเดินออกไปจากร้านกำลังถูกพวกชาวบ้านรุมล้อม เสื้อผ้าสีขาวของเขาก็เปื้อนไปด้วยไข่เน่าและผักเน่า!

ซูหวานหว่านเดินลงไปที่ชั้นล่างทันที เมื่อทุกคนเห็นซูหวานหว่านก็หมายหมั้นปั้นมือปาของใส่ แต่เป่ยฉวนเฟิงหลิวกลับเข้ามากอดซูหวานหว่านเอาไว้ในอ้อมแขน “ทุกคน พวกเราควรมาพูดจากันดี ๆ! อย่ามาทำอะไรน้องสาวข้าเลย! และข้าสัญญาจะจับคนที่ทำแบบนี้กับพวกเจ้ามาให้ได้!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ทุกคนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น พวกเขาปาผักเน่าใส่ทั้งสองคนอีกครั้ง ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็รู้สึกด้านชาขึ้นมาทันที

เดิมทีนางวางแผนเอาไว้ที่ว่าหาวิธีช่วยชีวิตคนเหล่านี้ แต่เมื่อเห็นสิ่งที่พวกเขาทำกับนาง แผนเหล่านั้นที่อยู่ในหัวของก็พลันหายไปทันที

ความจริงนั้นชัดเจนและง่ายมาก! เหตุใดพวกเขาถึงยังมาใส่ร้ายนางอยู่อีก ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มชา “จะพูดหรือใส่ความผู้ใดล้วนแต่ต้องมีหลักฐาน พวกเจ้ามีหลักฐานหรือไม่ว่าข้าและพี่ชายเป็นคนทำเรื่องนี้?”

“คือ…” ทุกคนต่างเกิดความกังวลขึ้นมา พวกเขาจะไปมีหลักฐานได้อย่างไรกัน! ใบหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไปในทันใด

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ ซูหวานหว่านก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พวกเรามีวิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเรา! พวกเจ้าอย่าเอาโรคที่เป็นอยู่มาใส่ร้ายพวกเรา!”

แววตาของนางเต็มไปด้วยโทสะขณะที่พูดออกมา มันดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมากกว่าคนใหญ่คนโตในเมืองแห่งนี้เสียอีก ทุกคนเกิดความตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นจำนวนคนและมีอาการไม่ต่างจากตนจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์! เช่นนั้นก็เอาหลักฐานมาให้พวกเรา! อย่ามามั่วพูดจาไร้สาระอยู่เลย!”

ในเมื่อมีคนหนึ่งพูดออกมาและแน่นอนว่าคนที่เหลือทั้งหมดจะเห็นด้วย “ใช่แล้ว! หากพวกเจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ อย่าเปิดร้านอาหารนี้อีกเลย! พวกเราจะขับไล่เจ้าออกไปจากเมืองนี้เอง!”

“…”

คนเหล่านี้พูดออกมาราวกับว่าพวกเขามีเหตุผลมาก มุมปากของซูหวานหว่านยกขึ้นเล็กน้อย นางหัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน “โง่เง่าสิ้นดี!”

ซูหวานหว่านกล้าดีอย่างไรถึงมาด่าว่าพวกเขาโง่เง่า พวกเขาโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียดอยากจะด่าซูหวานหว่านออกมา แต่ก็เห็นนางเดินเข้าไปหาคนที่ใช้น้ำงามแล้วพูดว่า “ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าได้เห็น”

หลังจากพูดจบนางก็เปิดจุกที่ปากขวดและส่องมองดูน้ำข้างใน ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา นางก็เห็นแมลงที่ลำตัวเรียวอยู่ภายในน้ำ! แท้จริงมีแมลงอยู่ในน้ำจริง ๆ ด้วย!

ซูหวานหว่านจึงขอให้คนใช้ไปหยิบกระดาษสีแดงออกมาสักสองสามแผ่น นางจัดการม้วนกระดาษขึ้นเป็นกรวย แล้วเทน้ำงามนี้ลงไป เนื่องจากกระดาษเป็นสีแดงจึงทำให้ตัวแมลงยิ่งปรากฏตัวชัดขึ้นภายใต้แสงแดด

ทุกคนอ้าปากค้างออกมาเมื่อเห็นแบบนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อมัน ซูหวานหว่านจึงพูดออกมาว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงยังไม่เชื่อข้าอีก?”

ซูหวานหว่านขอให้เด็กภายในร้านไปหยิบชามผลไม้ออกมา จากนั้นนางก็วางผลส้มเอาไว้ข้าง ๆ ไม่นานแมลงเหล่านั้นก็ว่ายน้ำไปเกาะอยู่บนผลส้ม เจาะและหายเข้าไปในผลส้มทันที

เวลาเพียงพริบตา ซูหวานหว่านก็หยิบมีดออกมาผ่าส้มแบ่งออกเป็นสองส่วน และก็พบว่าเนื้อสีส้มด้านในนั้นดูนุ่มก็จริงแต่ว่ามันได้เน่าเสียไปหมดแล้ว!

น่ากลัวมาก!

พลังทำลายของมันร้ายแรงมาก เช่นนี้แล้วผิวของคนเราจะทนได้อย่างไร ซูหวานหว่านเองก็ตกตะลึงและกลัวว่าสิ่งนี้จะแพร่ระบาดไปสู่คน นางจึงนำผลส้มและน้ำไปทำลายทิ้งทันที

“นี่…มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น! เป็นไปได้หรือไม่ว่าใบหน้าของเราจะถูกเจาะเข้าไปด้วยเช่นกัน?” ใครคนหนึ่งพูดออกมา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บที่ใบหน้าและกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจว่า “กรี๊ด! มีแมลงอยู่ภายในหน้าของข้า! ข้ากำลังจะตาย!”

ซูหวานหว่านจ้องเขม็งไปยังฝูงชน ดวงตาของนางนิ่งสงบเหมือนน้ำที่ไร้การเคลื่อนไหว มันทั้งสงบนิ่งไม่สั่นไหวกับสิ่งใด ๆ ตอนนี้นางไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจใดต่อคนเหล่านี้ หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ได้ขอให้นำว่านฮวาหงไปคืน นางจะไม่สนใจมันด้วยซ้ำ!

ซูหวานหว่านแสยะยิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่าตอนนี้ทุกคนก็น่ารู้ความจริงกันหมดแล้ว ข้าอยากจะบอกกับพวกเจ้าทุกคนว่าคนที่ทำให้พวกเจ้าเป็นแบบนี้นั่นก็คือจูเหยียน หรือว่าซูเสี่ยวเหยียน! นางเป็นคนหลอกลวงทุกคน! พวกเราควรหาตัวนางให้เจอแล้วจับนางเอาไว้ จากนั้นค่อยมาชำระแค้นที่มีต่อนางที่หลัง!”

“…”

เหล่าชาวบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเขานึกถึงร้านเครื่องประทินโฉมที่ซูหวานหว่านเป็นเจ้าของและยังคิดถึงประสิทธิภาพของมัน หลายคนจึงได้มาขอความช่วยเหลือจากซูหวานหว่านทัน และนางเองก็ตอบตกลงที่จะช่วยแต่พวกเขาต้องให้ความร่วมมือกับนาง

ซูหวานหว่านใช้โอกาสนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันติดประกาศตามหาตัวซูเสี่ยวเหยียนตามท้องถนน และตรอกซอกซอยทั้งหมดในเมืองนี้ โดยขอให้ทุกคนช่วยกันป่าวประกาศออกไป

มีคนบางส่วนไปร้องเรียนเรื่องนี้ที่ศาลาว่าการ ตอนนี้ซูเสี่ยวเหยียนเป็นบุคคลที่ผู้คนต่างต้องการตัวมากที่สุดในเมืองนี้

เป่ยฉวยเฟิงหลิวไปยังตลาดมืดเพื่อจ้างนักล่าหัวจำนวนมากตามหาซูเสี่ยวเหยี่ยน แต่ดูเหมือนว่านางจะหายตัวไปจากโลกนี้อย่างไร้ตัวตน ไม่มีใครในเมืองนี้พบเห็นนางเลยสักคนเดียว! แต่ว่าซูต้าเฉียงและเจิ้นซิวซิวนั้นกลับถูกคนอื่นพบเจอในทุก ๆ วันตามข้างทาง อีกทั้งยังถูกมองด้วยสายตารังเกียจ

ซูหวานหว่านพยายามค้นคว้าเกี่ยวกับยารักษาโรค แต่อย่างไรก็ยังทำไม่สำเร็จ เป่ยฉวนเฟิงหลิวมองดูซูหวานหว่านที่นั่งผสมยาอยู่ในห้อง ก็รู้สึกเศร้าโศกมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง ตกเย็นในตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะไปกินข้าวกัน พวกเขาสองคนก็ได้เดินชนชาวประมงคนหนึ่งเข้า

“พวกท่านทั้งสองเกิดเรื่องไม่ดีแล้ว! ข้าเพิ่งไปที่แม่น้ำมา และก็พบเห็นซูเสี่ยวเหยียน นางกำลังจะนั่งเรือไปที่เมืองหลวง! ข้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมให้เรือออกช้าที่สุด แต่ว่าอีกหนึ่งเค่อเรือลำนั้นก็จะออกแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรดี?”

อะไรนะ? ซูเสี่ยวเหยียนจะหลบหนีอย่างงั้นหรือ?

ซูหวานหว่านและเป่ยฉวนเฟิงหลิวสบตากัน หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้ขอบคุณชาวประมงคนนั้นและรีบเดินไปที่แม่น้ำทันที

ทั้งสองเดินทางไปที่แม่น้ำด้วยความเร่งรีบ โดยไม่ทันเห็นว่าชายชาวประมงคนนั้นกำลังยืนยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เขาหยิบเงินสองตำลึงที่อยู่ในมือของเขาออกมาก้มมองด้วยความปีติยินดี “แม่นางคนนั้นดูท่าจะลำบากไม่น้อย ให้เงินมาสองตำลึงเพื่อให้ข้ามาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้!”

ในตอนนี้ซูหวานหว่านและเป่ยฉวนชวนเฟิงหลิวก็ได้เดินทางมาถึงที่แม่น้ำ พวกเขาได้ยินเสียงคนบังคับเรือลำหนึ่งกำลังตะโกนเรียกลูกค้า ทำให้พวกเขาแน่ใจว่านี่เป็นเรือลำสุดท้ายที่จะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงลำที่ช้าที่สุดของวันนี้

ในตอนที่พวกเขากำลังจะขึ้นเรือไป เรือกลับแล่นออกไปทันที และเวลานี้ก็เริ่มมืดขึ้นแล้ว

เรือลำนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีคนยืนอยู่บนเรือประมาณร้อยคนน่าจะได้ อีกทั้งห้องรับรองหลายห้อง มีห้องกินข้าว และมีห้องพัก มีคนบังคับเรือไว้ผลัดเปลี่ยนประมาณยี่สิบคน

ซูหวานหว่านและเป่ยฉวนเฟิงหลิวพยายามหาวิธีขึ้นไปบนเรือเพื่อหาตัวของซูเสี่ยวเหยียน แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดออกมาว่า “เป่ยฉวนเฟิงหลิว เป่ยฉวนเฟิงอวิ๋น ข้าอยู่ที่นี่แล้ว! แต่ว่าข้ามีของขวัญชิ้นใหญ่ที่จะมอบมันให้แก่พวกเจ้า และพวกเจ้าก็ควรรับมันเอาไว้ด้วย!”