บทที่ 411 หยิ่งผยอง

บทที่ 411 หยิ่งผยอง

“นายอยากจะพูดอะไรนะ?”

เซียวเฟิงป้องหูแล้วหันไปถามผู้เล่นนักธนูที่ชื่อฮันชิวเฟิง ที่ซึ่งดูจะมีชื่อเสียงในเขตฮันกึลนี้มาก ๆ ดูได้จากการที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ในบริเวณนี้ต่างเรียกร้องให้ฮันชิวเฟิงลงโทษเขาเสีย

“ฉันบอกว่า ผู้เล่นเขตฮัวเซียหยาบคายเหมือนแกทุกคนหรือเปล่า? ที่จะไม่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ ลงมือก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวแบบนี้กันหมดเลยไหม?”

ฮันชิวเฟิงมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความดูถูก สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความเหยียดหยาม

“ฉันต้องรอจนกว่าพวกนายจะพร้อมต่อสู้เหรอ? นี่คือที่อยากจะสื่อใช่ไหม?” เซียวเฟิงยิ้มและมองเวลานับถอยหลังของ PVP รอบต่อไป ซึ่งตอนนี้มันแสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ครั้งนี้เซียวเฟิงไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก เขาถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยความสนใจสิ่งที่อีกคนจะพูดต่อ

“ฮึ่ม! ฉันได้ยินมาว่านายเป็นอันดับ 1 ในเขตฮัวเซียสินะ?” ฮันชิวเฟิงไม่สนใจการหยอกล้อของเซียวเฟิง เขาเลือกที่จะถามกลับด้วยความหยิ่งยโส

“แล้วยังไงล่ะ?” เซียวเฟิงถาม

“ในเมื่อนายเองก็เป็นคนมีหน้ามีตา งั้นพวกเราคงจะสู้กันแบบธรรมดาไม่ได้หรอก” ฮันชิวเฟิงเสนอ

“โอ้ งั้นนายอยากได้แบบไหนล่ะ?” สิ่งนั้นทำให้เซียวเฟิงรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“แน่นอนว่ามันคือการเดิมพัน! ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายข้ามเส้นแบ่งเขตแดนเข้ามายังเขตฮันกึลได้ยังไง แต่ในเมื่อนายบุกรุกเข้ามาแล้ว นายก็ต้องรู้ตัวแล้วว่านายคือผู้บุกรุก เพราะงั้นถ้านายแพ้ในการประลองครั้งนี้ นายจะต้องกลับไปยังเขตฮัวเซียของนาย และอย่าได้เข้ามาเหยียบเขตฮันกึลอีกเป็นครั้งที่สอง”

ที่ฮันชิวเฟิงสามารถอวดดีและแสดงความหยิ่งผยองได้นั้น เพราะเขารู้ดีว่าตนเองเป็นนักธนู จะเรียกว่าคลาสของเขาได้เปรียบแทบจะทุกคลาสเมื่อต้อง PVP เลยก็ได้ เพราะแม้ว่าความเสียหายที่เซียวเฟิงทำได้จะสูงมากแค่ไหน แต่ด้วยระยะการโจมตีที่แตกต่างกัน เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเซียวเฟิงจะไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ ดังนั้นไม่ว่าการโจมตีจะรุนแรงขนาดไหน หากไม่โดน มันก็ไร้ความหมาย

พลันเมื่อข้อความนั้นลั่นออกมา มันก็ทำให้ฝูงชนเกิดการแตกตื่นกันขึ้นมา ชาวฮันกึลทั้งหลายต่างหันไปพูดคุยด้วยกันจนเกิดเป็นเสียงอื้ออึงไปทั่วสนามประลองเลยทีเดียว

“ท่านชิวเฟิงสุดยอดไปเลย!”

“ฉันเห็นด้วยกับท่านชิวเฟิง! จัดการผู้บุกรุกนั่นซะ! ให้มันกลับถิ่นของมันไป!”

“ท่านชิวเฟิงเก่งสุด ๆ!”

“พยายามเข้านะครับ ท่านชิวเฟิง!”

เซียวเฟิงเกือบจะถูกเสียงเยินยอและด่าทอรอบ ๆ ตัวกลบฝังลงไปแล้ว เขาหาโอกาสพูดให้ตนเองอีกครั้งก่อนจะถามกลับไปด้วยความใจร้อน “แล้วถ้านายแพ้ล่ะ?”

“หืม? ไม่มีทางที่ฉันจะแพ้หรอกนะ แต่ในเมื่อเป็นการเดิมพัน ฉันเองก็จะทำตามกฎด้วยก็แล้วกัน หากว่าฉันแพ้ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งย่ามกับการไล่ตามนายภายในเขตฮันกึลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแต่อย่างใด”

ฮันชิวเฟิงพูดด้วยท่าทีอวดเบ่งอีกครั้ง ราวกับว่าสิ่งที่พูดไปนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

“เดี๋ยวก็รู้ ว่าแต่จะเริ่มได้หรือยัง?” เซียวเฟิงส่ายหน้า เขารู้สึกผิดหวังน้อย ๆ และเสียความสนใจในตัวอีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น

“โอ้ ได้เลย อยากจะเปิดฉากก่อนก็เชิญเลย” ฮันชิวเฟิงพยักหน้า แววตาของเขาดูจริงจังขึ้นมาขณะที่บอกให้เซียวเฟิงเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน แต่ทันทีที่พูดไปเช่นนั้น เขากลับเป็นฝ่ายกระโดดถอยกลับไปเพื่อสร้างระยะห่างไว้เสียเอง

ทว่าขณะที่ร่างของเขาเพิ่งจะถึงพื้นจากการถอยหลัง ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้าง เพราะลำแสงสีทองอร่ามเส้นหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วยิ่งกว่าที่เขากระโดดถอยมาเสียอีก!

มันคือหอกสีทองที่ห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ มันราวกับสายฟ้าฟาดที่เร็วเกินกว่าจะมองเห็นได้ และก่อนที่จะได้โต้ตอบอะไร กลางอกของเขาก็โดนหอกดังกล่าวปักเข้ามาเต็ม ๆ และตรึงร่างของเขาไว้กับพื้นจนขยับไปไหนไม่ได้

-47!

[ท่านได้รับผลหยุดการเคลื่อนไหวของสกิลหอกแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ ผลของมันทำให้ท่านไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นเวลา 3 วินาที!]

ความเสียหายที่ปรากฏขึ้นเหนือหัวของฮันชิวเฟิงนั้นไม่ได้สูงอะไรนัก มันมีค่าเป็นเพียงหนึ่งในสิบของพลังชีวิตทั้งหมดของเขา แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกหวาดหวั่นก็คือเสียงของระบบที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ฮันชิวเฟิงโดนสกิลควบคุมเล่นงานเข้าให้แล้ว!

“แก… เดี๋ยว!” ฮันชิวเฟิงหันไปมองเซียวเฟิงที่กำลังค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาช้า ๆ ด้วยความสยดสยอง เขารู้อยู่แล้วว่าพลังโจมตีของเซียวเฟิงรุนแรงมาก และทางเดียวที่จะสามารถชนะอีกฝ่ายได้ก็คือการถอยแล้วยิงธนูสวนกลับไปเรื่อย ๆ แต่ในตอนนี้ฮันชิวเฟิงไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้! สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็มีเพียงการกรีดร้องออกมาเท่านั้น!

ค้อนแห่งการพิพากษา!

ในตอนนี้ เซียวเฟิงเลิกที่จะสนใจฟังสิ่งที่ฮันชิวเฟิงอยากจะพูดต่อแล้ว ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับค้อนสีทองขนาดใหญ่ในมือที่ถูกยกขึ้นสูงก่อนจะทุบลงไปยังร่างตรงหน้าเต็มแรง

-1,204! คริติคอล!

ตัวเลขแสดงความเสียหายรุนแรงสี่หลักปรากฏขึ้นเหนือหัวฮันชิวเฟิง เขาตายในทันทีโดยไม่มีโอกาสได้ทำอะไรทั้งนั้น หลังจากหอกแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์สลายไป ร่างของเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นสนามประลองก่อนจะล้มคว่ำไร้สัญญาณชีพ!

เสียงเชียร์และคำด่าทอที่อึกทึกไปทั่วสนามประลองพลันหายไปพร้อม ๆ กัน ภาพการต่อสู้บนสนามประลองนี้ประจักษ์ต่อสายตาของผู้เล่นเขตฮันกึลทุกคนแล้ว

ทว่าเซียวเฟิงไม่ได้สนใจอะไรคนเหล่านี้อยู่แล้ว อนึ่งนี่เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วด้วย ดังนั้นจึงออกจากสนามประลองและเตรียมตัวที่จะออฟไลน์ แต่ก่อนหน้านั้น เขาก็รีบตรงไปหา NPC ที่รับแลกเปลี่ยนแต้มชัยชนะให้เป็นค่าประสบการณ์ก่อน นี่เป็นสิ่งที่เซียวเฟิงคิดได้เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่ได้อ่านของรางวัลที่สามารถแลกได้จากการสะสมแต้มชัยชนะ ค่าประสบการณ์เองก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลย และสิ่งนี้มันจะทำให้การที่เขาต้องมาวนเวียนอยู่กับการ PVP นั้น ไม่ทำให้ตัวเขาเสียค่าประสบการณ์ไปมากอย่างที่คิด

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มาเยอะแยะเหมือนกับการที่เขาไปสู้กับมอนสเตอร์ด้านนอก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสามารถ PVP และเก็บค่าประสบการณ์ไปพร้อม ๆ กันได้ ดีกว่าได้อย่างเสียอย่าง เซียวเฟิงไม่ได้แลกของรางวัลอื่นมาเลย แต้มชัยชนะหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าตาของเขาทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนเป็นค่าประสบการณ์ ยังไงเสียตอนนี้เขาก็อยู่ที่เลเวล 36 โดยที่มีค่าประสบการณ์ครึ่งหนึ่งของหลอดเก็บแล้ว หากแลกได้มันน่าจะทำให้เขาเลเวลเพิ่มเป็น 37 เสียที

“ท่านชิวเฟิง… โดนโค่นอีกรอบแล้ว…”

“บ้าเอ๊ย อันดับหนึ่งของฮัวเซียแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ขนาดท่านชิวเฟิงยังไม่สามารถสู้ได้เลยงั้นเหรอ?”

“พูดอะไรอย่างงั้นน่ะ? นายไม่เห็นหรือไงว่ามันรีบออกจากสนามประลองไปแล้ว! มองก็รู้ว่ามันกลัวท่านชิวเฟิงจะกลับมาล้างแค้น! ถึงต้องรีบหนีไปก่อนไม่ใช่หรือไง?”

“ใช่แล้ว! ขี้ขลาด! เป็นถึงอันดับหนึ่งของเขตฮัวเซียแท้ ๆ! น่าขันจริง ๆ! หนีกันไปได้หน้าด้าน ๆ!”

ผู้เล่นฮันกึลนับไม่ถ้วนที่ได้สติหลังจากอ้ำอึ้งอยู่นานเริ่มที่จะพูดดูถูกเซียวเฟิงในทันที ซึ่งขณะนั้นเซียวเฟิงยังคงตามหา NPC ที่จะช่วยแลกเปลี่ยนแต้มชัยชนะให้ได้ มันแน่นอนว่าเขาย่อมต้องได้ยินเรื่องที่คนเหล่านี้พูด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้เล่นเขตฮันกึลถึงได้หยิ่งผยองกันขนาดนี้ ยังไงเสียเขาก็ยังคงต้องวนเวียนอยู่ในสนามประลองอีกหลายวัน ดังนั้นเขาน่าจะได้จัดการพวกปากมากพวกนี้ได้จนกว่าที่ตนจะได้อันดับหนึ่งในห้ามาครอง

เพราะฉะนั้น ตอนนี้เซียวเฟิงไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจคนเหล่านี้ก็ได้ เขากลับไปยังเมืองจักรวรรดิอีกครั้งและหาโรงแรมเพื่อเข้าพักเพื่อที่จะได้ล็อกออฟได้ โชคยังดีที่ NPC ในเขตฮันกึลไม่ได้ปฏิบัติกับเขาเหมือนอย่างที่ผู้เล่นทำกันนัก อันที่จริงภายในเขตเมืองจักรวรรดินี้เขายังคงปลอดภัยอยู่ ต่อให้จะมีคนมาเจอ พวกเขาเหล่านั้นก็ทำได้เพียงจ้องมองเท่านั้น เพราะไม่มีใครกล้าที่จะลงมือ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจำเป็นที่จะต้องหาโรงแรมที่ปลอดภัยเอาไว้ก่อน

ระหว่างที่ลงไปทานมื้อเย็น หลิวเฉียงเหว่ยและสามสาวยังคงไม่ได้ลงมาด้านล่างดังเดิม เขาไม่รู้ว่าอีกกี่วันพวกเธอจะสามารถลุกออกจากเตียงได้ จะมีก็แต่จืออี้ที่ตามลงมาทีหลัง เพราะเซียวหลิงก็ไม่ได้อยากจะเจอหน้าเธอขนาดนั้น ดังนั้นจึงรีบเร่งให้หนิงเคอเค่อรีบทานอาหารในจานให้หมด เด็กสาวแทบจะอดใจรอที่จะกลับไปอัปเกรดเลเวลตนในเกมได้อีกต่อไปแล้ว

ผิดกับหนิงเคอเค่อที่ไม่เพียงแต่มีลักษณะคล้ายกระต่ายน้อยขี้อาย แต่เธอยังเป็นคนทานข้าวช้าและพิถีพิถันในการทานอีกด้วย นอกจากนำอาหารขึ้นไปเสิร์ฟให้หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ แล้ว ความเร็วในการทำอย่างอื่นของเธอก็ช้ามากเลย ผิดกับเซียวหลิงที่ทานอาหารเย็นหมดอย่างรวดเร็ว หนิงเคอเค่อเพิ่งจะทานอาหารของตนได้เพียงคำเล็ก ๆ เท่านั้น หลังจากที่พยายามเร่งความเร็วตนเอง เมดสาวก็เผลอสำลักอาหารเพราะรีบกลืนมากเกินไป

“เซียวหลิง อย่าแกล้งเคอเค่อสิ”

เซียวเฟิงรีบส่งแก้วน้ำให้หนิงเคอเค่อและลูบหลังเธอเบา ๆ เพื่อให้เธอค่อย ๆ กลืนน้ำและอาหารลงไปได้ ขณะเดียวกันนั้นก็หันไปสอนเซียวหลิงไปด้วย

“ขอบคุณ… ขอบคุณค่ะ นายท่าน…”

หนิงเคอเค่อยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าสวยของเธอแสดงให้เห็นถึงความเขินอาย นั่นเพราะการสะอึกหลังรีบกลืนมากเกินไปนั้นกำลังทำให้เธอรู้สึกอับอาย แววตาของเด็กสาวแอบเหลียวมองเซียวเฟิงเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเธอก็ก้มหัวกลับลงไปดังเดิม

“ฮึ่ม! ไม่ต้องไปสนใจเรื่องหยุมหยิมหรอกน่า! ไอ้เจ้าทาสตัวผู้ที่มีแต่เรื่องผู้หญิงอยู่ในหัว!” ทว่าเซียวหลิงกลับไม่ได้รักษาหน้าให้เซียวเฟิงเลย หลังจากที่เธอหันไปจ้องมองวอร์สปิริตจืออี้แล้ว มือเล็ก ๆ ของเธอก็จับไปที่หางม้าสีทองทั้งสองข้างของตนด้วยความไม่พอใจ

พฤติกรรมเช่นนี้ เซียวเฟิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน เขาทำได้เพียงกลับไปยังห้องของตนหลังจากที่ทานอาหารเสร็จไปแล้วและออนไลน์ ตอนนี้ตัวเองยังคงอยู่ในอันดับราว ๆ หนึ่งล้านในอันดับผู้มีคุณสมบัติ และถ้าเขายังคงพยายามต่อทั้งวันทั้งคืน เขาน่าจะสามารถไต่ขึ้นเป็นอันดับสองแสนได้ อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ก็ยังเหลือเวลาอีกสองวันก่อนที่อีเวนต์จะเริ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ไม่อยากจะมากังวลทีหลัง

ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่เอ้อระเหยกับเรื่องใดอีก เมื่อเข้าเกมได้แล้ว เซียวเฟิงก็กลับไปยังสนามประลองต่ออย่างไม่รอช้า เพื่อที่จะเริ่มปัดเป่าผู้เล่นชาวฮันกึลต่อในทันที ครั้งนี้พิธีการภาคสนามคนเดิมก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการถ่ายทอดสดแบบเดิม ซึ่งพอการถ่ายทอดสดเริ่ม ผู้เล่นเขตฮันกึลและเขตฮัวเซียต่างก็พากันมาดูอย่างรวดเร็ว แถมเป็นจำนวนมากเหมือนครั้งก่อนด้วย

ขณะนั้นเองในเขตฮัวเซีย เซียวหลิงที่กำลังค่อย ๆ เก็บเลเวลก็เผอิญเจอเข้ากับปัญหานิดหน่อย

ในตอนนี้เซียวหลิงเลเวล 28 แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถเปลี่ยนคลาสครั้งที่สองได้ แต่เดิมแล้วซือเยี่ยจิ่งบอกไว้ว่าเธอจะเป็นคนพาเซียวหลิงไปเก็บเลเวลและช่วยทำภารกิจสำหรับเปลี่ยนคลาส แต่พอกลับมาออนไลน์คืนนี้ เซียวหลิงกลับเลือกที่จะปฏิเสธไม่ไปเก็บเลเวลกับเธอ แถมยังพาหนิงเคอเค่อหนีมายังเมืองหลักที่อยู่ไกลเพื่อที่จะเก็บเลเวลกันเองด้วย

มันเป็นเรื่องที่ไม่เลวร้ายอะไรหากจะพาผู้เล่นเลเวล 16 เข้าไปยังเขตของมอนสเตอร์เลเวล 20 แถมยังเป็นเรื่องง่ายเสียด้วย สำหรับเซียวหลิงแล้ว ตัวเธอเต็มไปด้วยอุปกรณ์ระดับสูงที่เฉียนโตวโตวจัดเต็มให้ ผนวกกับคลาสลับที่เธอเป็นอยู่นั้นมีพลังโจมตีที่สูงและทรงพลังมาก ๆ ดังนั้นต่อให้มอนสเตอร์เลเวลยี่สิบจะพากันมาเป็นฝูง เพียงสองสกิลก็สามารถปัดเป่าพวกมันได้หมดแล้ว

“เร็วเข้า! รีบร่ายบัฟเพิ่มพลังเวทให้ฉัน! ระยะเวลาของบัฟรอบก่อนจะหมดแล้ว! ยัยเอเลียนโคนม!”

สกิลระเบิดพลังธาตุของเซียวหลิงสามารถกำจัดมอนสเตอร์สามฝูงได้อย่างสบาย ๆ เด็กสาวหยิบเอาขวดน้ำแห่งชีวิตออกมาจากกระเป๋าและดื่มมันลงไป ซึ่งก็ทำให้มานา 50 หน่วยของเธอฟื้นกลับมา มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับเธอที่จะมียาหายากจำพวกนี้เยอะมาก ๆ เซียวหลิงหันกลับไปยังหนิงเคอเค่อก่อนจะพูดด้วยความเกรี้ยวกราด

“อะ… ค่ะ… ค่า!”

คลาสของหนิงเคอเค่อคือนักบวช เธอสวมชุดคลุมของนักบวชขนาดใหญ่แถมในมือก็ถือคทาเวทขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน มันเลยทำให้ภาพลักษณ์ของเธอนั้นดูจะค่อนข้างอุ้ยอ้ายไม่น้อยเลย ครั้นเมื่อได้ยินเซียวหลิงพูดเช่นนั้น เธอก็รีบกวาดคทาไปมาและร่ายสกิลให้ตามที่เซียวหลิงขอทันที ไม่ว่าจะเป็นสกิลเพิ่มพลังชีวิต โฮลีไลต์ และอวยพรอาวุธเพื่อเพิ่มพลังโจมตีทางกายภาพ หากแต่ไม่มีอวยพรความกล้ารวมอยู่ในบรรดาสกิลที่ร่ายไปนั้นด้วย

สิ่งนี้ทำเอาเซียวหลิงยกมือขึ้นแปะหน้าผากตนเองและถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่ในร่างของเด็ก ซึ่งมันทำให้ความตื่นตระหนกของหนิงเคอเค่อพลอยทะยานขึ้นสูงไปด้วยเพราะเธอกลัวว่าตนเองจะทำอะไรผิดไปอีกแล้ว

เพราะเสี่ยวไป๋ยังคงอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์และยังไม่กลับมา อีกทั้งเซียวหลิงก็ไม่อยากให้ซือเยี่ยจิ่งพาเธอไปเก็บเลเวลด้วย ดังนั้นจึงเลือกที่จะพาหนิงเคอเค่อออกมาเก็บเลเวลด้วยกันเพียงสองคน ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นภาพของเด็กสาวหน้าตาน่ารักสองคนช่วยกันเก็บเลเวลอย่างงดงามแท้ ๆ แต่จู่ ๆ บรรยากาศน่าชื่นมื่นนั้นก็พลันถูกทลายไปด้วยเสียงน่าอนาถที่แทรกเข้ามา

“อ๊า! ฉันเห็นนางฟ้า นี่ฉัน… เอ๊ะ พวกเธอ โธ่ ที่แท้ก็สาวน้อยน่ารักหรอกเหรอ… อ๊ะ! ไม่ใช่สิ นั่นมัน องค์หญิงเซียวหลิงที่งามสง่าและเลอค่า! ฉันเจอเธออีกครั้งแล้ว! นี่ต้องเป็นโชคชะตาที่พระเจ้าเขียนไว้ให้แน่ ๆ! ได้โปรด พาฉันไปเก็บเลเวลด้วยเถอะนะ!”

ทันใดนั้นเอง นักธนูที่สวมชุดเริ่มต้นก็กระโจนออกมาจากไหนก็ไม่รู้ เขาเป็นฝ่ายพูดนู่นพูดนี่ก่อนโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองสาวพูดอะไรเลย บุรุษหนุ่มพูดมากผู้นี้คือหานเฟิงที่เคยเจอกันเมื่อหลายวันก่อนหน้า

“ทำไมจู่ ๆ นายก็โผล่มาอีกแล้ว! กลับไปที่ที่นายมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่ามารบกวนองค์หญิงเซียวหลิงเชียว!”

เซียวหลิงแสดงความใจร้อนออกมาผ่านน้ำเสียง มือขาวประดุจหยกและอ่อนนุ่มเหมือนปุยนุ่นยกขึ้นชี้ไปทางหานเฟิงและไล่ให้เขาไปไกล ๆ เธอไม่อยากให้ใครมาเก็บเลเวลด้วยทั้งนั้น ยกเว้นหนิงเคอเค่อ ดังนั้นหานเฟิงจึงถูกเมินไป