บทที่ 412 ตายซะ

บทที่ 412 ตายซะ

“อย่าพูดแบบนั้นกับฉันสิน้องเซียวหลิง! ฉันกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์น่ะ สนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องอีกนะ! ถ้าเขารู้ว่าเธอไม่พาฉันไปเก็บเลเวลด้วยล่ะก็ เธอจะเป็นฝ่ายโดนดุเอานะ!”

“นายรู้จักเจ้าทาสโง่ของฉันด้วยเหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวหลิงก็รีบหันไปมองหานเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจคำพูดอื่นนอกจากเรื่องของเซียวเฟิงอยู่ดี นอกจากนี้เธอยังรู้ดีด้วยว่าเซียวเฟิงไม่มีทางดุเธอแน่ ๆ

“อ๊ะ… แน่นอนอยู่แล้ว พวกเรารู้จักกันนะ! เจ้าแห่งฮีลเลอร์กับฉันน่ะ ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอดเลยนะ! เธอเห็นชุดอาร์ติแฟกต์ของเขาหรือเปล่า? นั่นน่ะ เพราะฉันช่วยสู้เลยนะ!”

หานเฟิงรีบพูด เขาทำการบ้านมาดีและรู้ว่าเด็กสาวผมสีทองคนนี้เป็นน้องสาวของเจ้าแห่งฮีลเลอร์รวมถึงเป็นองค์หญิงของมิดซัมเมอร์กับร้านค้ามหาสมบัติด้วย

ดังนั้นแล้วเรื่องที่เขาพูดจึงประกอบไปด้วยความจริงค่อนข้างมาก เขาเคยช่วยเซียวเฟิงสู้กับผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพจริง ๆ

“ไม่เชื่อ เจ้าทาสโง่น่ะแข็งแกร่งจะตายไป ในเมื่อนายรู้จักเจ้านั่น ทำไมนายถึงยังแค่เลเวล 10 ได้? มองยังไงนายมันก็แค่ผู้เล่นใหม่ชัด ๆ!”

เซียวหลิงพูดหลังสังเกตชุดของอีกฝ่าย มันผิดปกติมาก ๆ

“ฉันถูกฆ่าจนต้องกลับไปเกิดใหม่ที่หมู่บ้านเริ่มต้น ก่อนหน้านี้ฉันเป็นคนที่แข็งแกร่งมากเลยนะ เป็นถึงหนึ่งในสิบผู้เล่นระดับสูงในเขตฮัวเซียเลยด้วยซ้ำ! ไม่งั้นแล้วฉันจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นพี่น้องกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์ได้ยังไงกัน?”

หานเฟิงพูดด้วยความภาคภูมิใจ โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าชุดที่ตัวเองใส่นั้นมันขัดกับสิ่งที่พูดมาก ๆ

“หือ?” สิ่งที่หานเฟิงพูดทำให้เซียวหลิงสนใจขึ้นมาอีกครั้ง “นายถูกฆ่าจนต้องกลับมาที่หมู่บ้านเริ่มต้นเลยเหรอ? ไม่ใช่ว่านายบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก ๆ หรือไง? ใครฆ่านาย? ถ้านายเคยติดอยู่ในอันดับยอดฝีมือล่ะก็ แสดงว่าคนที่ฆ่านาย… ก็ต้องเป็นยอดฝีมืออันดับอื่นล่ะสิ! คนนั้นคงไม่เก่งไปกว่าซือเยี่ยจิ่งหรอกใช่ไหม?”

“ม่าย… ไม่ใช่แค่คนเดียวหรอกที่ฆ่าฉันน่ะ ในเขตฮัวเซียนี้ ฉันกล้าพูดได้เลยว่าไม่มีใครที่ฉันจะสู้หนึ่งต่อหนึ่งแล้วแพ้จนต้องกลับมาหมู่บ้านเริ่มต้นนอกจากเจ้าแห่งฮีลเลอร์ ต่อให้เป็นเทพดาบก็ไม่สามารถเอาชนะฉันได้ เพราะตราบใดที่เราโจมตีอีกฝ่ายไม่ได้ เราก็อย่าให้ตัวเองโดนโจมตี แล้วก็อย่าหน้าด้านอยู่ให้เขาโจมตีด้วย หนีได้ก็หนี”

นิสัยกวนอวัยวะเบื้องล่างของหานเฟิงยังคงเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังชื่นชมเซียวเฟิงอยู่มาก ๆ นั่นเพราะเขาพูดความจริงเกี่ยวกับเซียวเฟิงทุกเรื่อง รวมถึงวิธีการต่อสู้นั้นด้วย แม้มันจะเป็นวิธีที่ไม่ซื่อก็ตาม แต่สำหรับคลาสของเขา มันไม่จำเป็นต้องยืนเผชิญหน้าก็ได้ เพราะทุกครั้งที่โจมตี มันจะเป็นการบอกตำแหน่งตนเองให้ศัตรูได้รับรู้ หากเลี่ยงการโจมตีไม่ได้ เขาก็ต้องถอยแล้วยิงโจมตีไปเรื่อย ๆ ดังนั้นแล้วการถอยจนมีโอกาสแล้วหนีจึงง่ายกว่าการสู้ไปเรื่อย ๆ แต่เซียวเฟิงถือเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากความเร็วของเสี่ยวเสวียนั้นสูงเกินไป สูงจนเขาไม่มีที่จะให้หนีและบีบบังคับให้ต้องสู้ ครั้นจะสู้ก็ไม่มีทางชนะได้

“ไม่ใช่คนเดียวเหรอ? นายสู้กับคนจำนวนมากมาก่อนเหรอ?” เซียวหลิงดูจะสนใจมากกว่าเดิม

“ไม่ใช่แค่จำนวนมาก แต่มาก ๆ เลยล่ะ!” น้ำเสียงที่เน้นคำท้ายของหานเฟิงค่อนข้างจะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกหนักใจของเขานิดหน่อย

“คนมาก ๆ? ขนาดไหน?” ยิ่งพูดเซียวหลิงก็ยิ่งสงสัย และยิ่งสงสัยเธอก็ยิ่งซักถาม

“น่าจะสักแสนคนหรือมากกว่าเลยมั้ง” หานเฟิงหลบสายตาแล้วพูดด้วยความไม่เต็มใจนัก

ก่อนหน้านี้เขาถูกห้อมล้อมไว้ด้วยผู้เล่นจำนวนมากและถูกฆ่าตาย ผู้เล่นเหล่านั้นขวางทางหนีเขาเอาไว้จนหมด พวกเขาไม่ได้ลงมืออะไรจนกระทั่งกลุ่มของนักบวชมาถึง

ถึงแม้ว่าหานเฟิงจะทำเรื่องบ้า ๆ ไว้ก่อนหน้าและอยากจะฝ่าวงล้อมนี้ออกไปมากขนาดไหน แต่เพราะจำนวนคนที่ล้อมเขามันมากเกินไป ท้ายสุดมันจึงจบลงด้วยการที่เขาต้องฆ่าผู้เล่นไปมากกว่าร้อยคน หากแต่เพราะอีกฝั่งมีมากดุจคลื่นมนุษย์ การสูญเสียสมาชิกหลักร้อยหน่วยจึงไม่ได้ทำให้มันดูจางลงเลย

และเมื่อกลุ่มนักบวชมาถึง โชคชะตาของหานเฟิงก็ถึงจุดพลิกผัน เขาถูกฆ่าอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ถูกชุบชีวิตขึ้นมาเรื่อย ๆ ด้วยฝีมือของนักบวชเหล่านั้นเพื่อให้กลับมาถูกฆ่าใหม่อีกนับร้อยครั้ง อุปกรณ์ทั้งหมดของเขาถูกทำลายไปจนหมด ค่าประสบการณ์เองก็ลดลงเรื่อย ๆ ด้วยจนกระทั่งเลเวลของเขากลับมาเหลือแค่ 9 เขาจึงได้กลับมาเกิดใหม่ที่หมู่บ้านเริ่มต้นแห่งนี้ ก่อนจะพบกับเซียวหลิงและหนิงเคอเค่อที่เผอิญมาเก็บเลเวลพอดี

หานเฟิงที่ไร้ซึ่งอุปกรณ์และเลเวลนั้นเป็นถึงคลาสลับ หากแต่เขาไม่มีโอกาสกลับไปเป็นคลาสนั้นเสียที เพราะจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงถูกตามล่าอยู่ ครั้งหนึ่งเมื่อตัวเองโดนพบตัว เขาก็จะถูกฆ่าแล้วกลับไปเกิดใหม่ยังหมู่บ้านเริ่มต้นอีกครั้ง

ขนาดตอนเลเวลเยอะยังเอาตัวรอดยาก นับประสาอะไรกับเลเวลยังเป็นแค่หลักหน่วยเช่นนี้

“มากขนาดนั้นเชียว? แล้วนายไปยั่วยุอะไรเจ้าพวกนั้นล่ะ?” เซียวหลิงถามต่อด้วยความสนใจ

“เรื่องมันยาว ถ้าจะเล่าต้องเท้าความ…“ น้ำเสียงของหานเฟิงแสดงความเศร้าใจออกมา แต่ขณะที่เจ้าตัวกำลังเตรียมจะพูดโม้อีกครั้ง แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป หานเฟิงเหลือบมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังรวมตัวกันจากในทุกทิศทาง เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่เสียด้วยซ้ำ “ไม่… ไม่ดีแล้ว! ฉันกำลังโดนล่าอีกครั้งแล้ว! น้องเซียวหลิง หนีไป! พวกนี้คือคนที่กำลังตามล่าฉันอยู่!”

ในตอนนั้น เซียวหลิงเองก็เริ่มรู้สึกได้เหมือนกันว่าผู้เล่นที่เข้ามาห้อมล้อมพวกตนนั้นดูจะไม่ได้หวังดีแต่อย่างใด หนิงเคอเค่อที่รับรู้ได้หลังสุดไม่รอช้าที่จะเข้ามาหลบอยู่หลังเซียวหลิงด้วยความตื่นกลัว แม้จะอยากหนีแต่มันก็สายเกินไปแล้ว

การล้อมกรอบครั้งนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ ทางหนีทีไล่ทั้งหมดถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว พวกผู้เล่นที่ไม่ประสงค์ดีทั้งหลายนี้เริ่มกระชับวงล้อมให้แคบขึ้นจนกระทั่งทั้งสามทำได้เพียงยืนหลังชนกันเท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งรูเล็ก ๆ ให้หนูมุดรอดได้เลย นอกจากผู้เล่นเหล่านี้แล้ว พวกเขายังมีแอสซาซินอีกเป็นจำนวนมากคอยดักซุ่มโจมตีอยู่อีกกรณีที่เกิดข้อผิดพลาด และเพราะผู้เล่นจำนวนมากกำลังเล็งสกิลไปที่หานเฟิง เซียวหลิงและหนิงเคอเค่อ มันเลยทำให้ทั้งสามตกอยู่ในสถานะต่อสู้ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ไม่สามารถใช้คัมภีร์วาร์ปกลับเมืองได้ด้วย

“แสดงว่าพวกมันจับตาดูฉันมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว! ไม่น่าลากพวกมันมาทำให้เธอทั้งสองลำบากเลย ชิ!”

หานเฟิงพูดด้วยความหนักใจ การที่ได้เห็นผู้เล่นแอสซาซินมากมายอยู่ในละแวกนี้ มันทำให้หานเฟิงรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญ เขาโดนจับตามองมาโดยตลอด และมันก็ยิ่งทำให้เขาเสียใจที่ทำให้สองสาวต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเธอไม่ได้ก่อ

“พวกนี้คือคนที่ฆ่านายจนต้องกลับไปหมู่บ้านเริ่มต้นเหรอ?” เซียวหลิงแสดงให้เห็นชัดว่าเธอไม่ได้กลัวอะไรเลย กลับกันเธอยังถามด้วยความอยากรู้ขณะที่มองไปยังกลุ่มคนมากมายที่กำลังล้อมกรอบพวกเธอเข้ามาอีก

ผู้เล่นเหล่านี้ดูต่างจากผู้เล่นทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างมาก นั่นเพราะพวกเขาทุกคนต่างขี่ม้าอยู่ ซึ่งม้าเหล่านั้นเองก็ค่อนข้างที่จะตัวสูงใหญ่มาก ๆ ด้วย อันที่จริงแล้วพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นคลาสอัศวิน และชื่อกิลด์บนหัวแต่ละคนก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน นั่นคือ ‘กางเขนเหล็ก!’

“ใช่ แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งน่ะ เพราะพวกที่ไล่ล่าฉันไปทั่วทั้งเขตมีจำนวนมากกว่านี้สักร้อยเท่าได้” หานเฟิงแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา

“ขนาดนี้แล้วนายยังคิดว่าตัวเองติดท็อปสิบของเขตอยู่อีกเหรอ?”

กลุ่มของผู้เล่นอัศวินเหล่านี้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเขตตะวันตก แต่มันถือเป็นคลาสที่หาได้ยากมาก ๆ ในเขตใต้เช่นนี้ อัศวินที่มาล้อมกรอบไว้นี่มีราว ๆ ห้าร้อยคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว แถมพวกเขายังมีกลุ่มของนักบวชกลุ่มเล็ก ๆ ติดมาด้วย ผนวกเข้ากับเหล่าแอสซาซินที่ทำหน้าที่ติดตามเป้าหมาย ชัดเจนเลยว่าผู้เล่นกลุ่มนี้คือกลุ่มนักล่าที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ!

ผู้เล่นเหล่านี้ดูจะค่อนข้างใจเย็น พวกเขาค่อย ๆ เขยิบกระชับวงล้อมเข้ามาช้า ๆ นั่นก็เพราะพวกเขามั่นใจว่าหานเฟิงไม่สามารถหลุดออกไปจากวงล้อมนี้ได้แล้ว จากนั้นผู้เล่นอัศวินคนหนึ่งก็เดินออกมาจากวงล้อมพร้อมกับพูดด้วยความใจร้อน ชื่อตัวละครของเขาคือ ‘อัศวินโต๊ะกลม’

“ฉันบอกให้แกรีบ ๆ ล็อกออฟออกจากเซิร์ฟไปได้แล้วไม่ใช่หรือไง? การมีอยู่ของแกน่ะ นอกจากจะเป็นปัญหากับพวกเราแล้วยังจะเป็นที่น่ารังเกียจของเขตฮัวเซียด้วยนะ”

“เดี๋ยวฉันจะจับย่าแกหักขาเล่นแล้วส่งไปสถานสงเคราะห์ให้ดู! คิดว่าคนเยอะกว่าแล้วจะข่มฉันได้หรือไงฮะ ไอ้เปาผีหลง! โชคยังดีที่ตาของฉันแค่เลเวล 10 ไม่งั้นพวกนายแค่นี้น่ะ ไม่พอที่จะฆ่าเขาได้หรอก! แล้วถ้าคิดจะใช้วิธีล้อมตาฉันล่ะก็ มันต้องใช้คนอย่างน้อยเป็นล้านคนโว้ย! นี่เพราะฉันบอกให้ตาไปฟาร์มเลเวลที่อื่นหรอกนะ ไม่งั้นคิดเหรอว่าพวกแกจะมีหน้ามายืนแหลมอยู่ตรงนี้ได้น่ะ? หัดสำเหนียกตัวเองแล้วจะไปไหนก็ไปไป๊”

หานเฟิงเท้าเอวและจ้องมองทุกคนที่มาล้อมเขา ระหว่างที่พูดเขาก็เบิกตากว้างไปด้วย

“หัวหน้าครับ อย่าไปสนใจเรื่องไร้สาระที่ไอ้หมอนี่พูดเลยครับ ไอ้นี่ปากมันร้าย ฟังไปก็เสียเวลาเปล่า”

ด้านหลังของอัศวินโต๊ะกลม ผู้เล่นฝั่งเขาเดินเข้ามาพูดราวกับได้ยินเรื่องที่หานเฟิงพูดจนชินชาไปแล้ว

“งั้นก็ลงมือเลย ทำแบบที่เราทำมาตลอด” อัศวินโต๊ะกลมเองก็ไม่ได้อยากจะฟังหานเฟิงโม้อะไรอยู่แล้ว อีกอย่าง เขาก็ขี้เกียจเปลืองน้ำลายด้วยเช่นกัน เพราะงั้นจึงโบกมือให้คนที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาจัดการแทน

“เดี๋ยวก่อนสิ! พวกนายกล้าดียังไงถึงเมินองค์หญิงเซียวหลิงฮะ! รู้หรือเปล่าว่าองค์หญิงเซียวหลิงเป็นใคร!”

เซียวหลิงที่ถูกเมินอยู่นาน ในที่สุดก็เริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา โดยไม่สนใจว่าหนิงเคอเค่อที่หลบอยู่ด้านหลังด้วยความหวาดกลัวนั้นจะกำลังกระตุกชุดของเธออยู่ก็ตาม

“หือ? สาวน้อยสองคนนี่… สมาชิกของมิดซัมเมอร์งั้นเหรอ? มีอะไรล่ะ?”

เพราะอัศวินโต๊ะกลมนั้นนั่งอยู่บนหลังม้าตลอดเวลา มันเลยทำให้ทั้งสองสาวไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย พวกเขาทั้งหมดไม่ได้สังเกตจริง ๆ ว่ามีสาวน้อยสองคนยืนอยู่ในวงล้อมนี้ด้วยจนกระทั่งตอนนี้ เขาหันกลับไปมองแอสซาซินที่คอยติดตามหานเฟิงราวกับจะถามว่าสองคนนี้เป็นใคร

“พวกเธอน่าจะเป็นคนรู้จักของเจ้านั่นนะ ไม่งั้นคงไม่มาอยู่ด้วยกันหรอก” แอสซาซินที่ถูกถามด้วยสายตากล่าวตอบ

“เฮ้ ๆ ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าฉันนี่ อย่าเอาคนอื่นมาเกี่ยว” พลันเมื่อรู้สึกว่าคนอื่นกำลังโดนลากมาเกี่ยว หานเฟิงก็อดที่จะร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ เขารู้อยู่แล้วว่าเซียวหลิงนั้นเป็นน้องสาวเซียวเฟิง ถ้าขืนปล่อยให้เธอคนนี้เป็นอะไรไปล่ะก็ เขาเองก็น่าจะศพไม่สวยด้วยแน่ ๆ

“ดูท่าพวกนี้จะเป็นคนรู้จักกันจริง ๆ นั่นแหละ งั้นก็ฆ่ามันไปพร้อม ๆ กันเลย คิดซะว่าสั่งสอนบทเรียนให้พวกนี้ไป ให้มันรู้ซะบ้างว่าถ้ามาแหยมกับกางเขนเหล็กแล้วจะอยู่ในโลกของเกมลำบากขนาดไหน”

อัศวินโต๊ะกลมมองไปยังเซียวหลิง เขาพินิจพิเคราะห์แล้วก็สรุปได้ว่าสองสาวนี้ไม่น่าจะใช่สมาชิกหลักของมิดซัมเมอร์ ดังนั้นหากฆ่าไปก็คงจะไม่เป็นอะไร

“ว่ายังไงนะ! ไม่เพียงแต่จะเมินองค์หญิงเซียวหลิง แต่นายยังคิดจะโจมตีใส่องค์หญิงด้วยงั้นเหรอ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวหลิงก็แทบจะกระโจนเข้าใส่ด้วยความโกรธทันที

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีโอกาสให้เด็กสาวได้แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาแต่อย่างใด นั่นเพราะเมื่อสิ้นเสียงสั่งการ พลธนูที่อยู่วงนอกก็พากันสาดศรเข้ามายังกลางวงทันที ศรเหล่านั้นเข้าโจมตีเซียวหลิงและหนิงเคอเค่อ พร้อม ๆ กับที่เข้าโจมตีหานเฟิงในเวลาเดียวกัน

ถึงแม้ว่าอุปกรณ์บนตัวเซียวหลิงและหนิงเคอเค่อนั้นจะนับว่าดี แต่เลเวลของพวกเธอก็ยังไม่สูงขนาดที่จะสามารถรับการโจมตีของเหล่าผู้เล่นระดับอีลีตได้ เพราะงั้นแล้วพวกเธอจึงไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลย

“กลับไปที่หมู่บ้านเริ่มต้นซะ ไอ้หมาปากมากนี่จะต้องกลับไปเกิดใหม่ที่นั่นเพราะมันไม่เหลือค่าประสบการณ์พอจะฟื้นคืนชีพนอกหมู่บ้านได้แล้ว”

“เอ่อ หัวหน้าครับ เราจำเป็นต้องฆ่าเด็กสาวสองคนนี้จริง ๆ เหรอครับ?” มองไปยังเซียวหลิงและหนิงเคอเค่อที่อยู่บนพื้น อัศวินคนหนึ่งก็พูดขึ้น

หลังจากที่ตายแล้ว ผู้เล่นจะไม่สามารถเลือกที่จะกลับไปเกิดใหม่ยังจุดเกิดที่เลือกไว้ได้ในทันที พวกเขาจะต้องรอจนกว่าเวลานับถอยหลังที่ให้เกิดใหม่ได้จะหมดลง ซึ่งอันที่จริงมันสั้นมาก เพราะเพียงแค่สามวินาทีเท่านั้น ดังนั้นแล้วผู้เล่นส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใส่ใจกันเว้นแต่คลาสนักบวช สามวินาทีของพวกเขามันมากพอที่จะทำให้สามารถร่ายสกิลเกิดใหม่ได้

“ไม่ต้อง พวกเธอไม่ใช่เป้าหมาย แถมพวกเธอยังเป็นคนของมิดซัมเมอร์อีก เราจะฆ่าจนพวกเธอกลับไปเกิดใหม่ที่หมู่บ้านเริ่มต้นไม่ได้” อัศวินโต๊ะกลมส่ายหน้าก่อนจะหันหน้าออกเพื่อเตรียมจากไป

จริง ๆ แล้วผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ใช่ว่าจะสามารถทำใจโจมตีเด็กสาวที่น่ารักทั้งสองคนนี้ได้อยู่แล้ว เพราะงั้นในเมื่อผู้เป็นนายไม่สั่งอะไรเพิ่มเติม พวกเขาก็ไม่โจมตีต่อและติดตามอัศวินโต๊ะกลมไป

“หนอยแน่ พวกแก! นี่กล้าที่จะลงมือฆ่าองค์หญิงเซียวหลิงจริง ๆ งั้นเหรอ!? พวกแกทั้งหมดไม่ได้ตายดีแน่ ๆ!”

ร่างของเซียวหลิงนอนไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวอยู่บนพื้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถส่งเสียงได้แล้ว แต่เธอก็ยังพิมพ์ถ้อยคำข่มขู่ได้อยู่

อย่างไรก็ตาม อัศวินโต๊ะกลมก็ไม่ได้สนใจทั้งสองและเดินจากที่นี่ไป ในความคิดของเขา พวกเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิง แถมไม่ใช่สมาชิกหลักของมิดซัมเมอร์ด้วย การลงไม้ลงมือกับเด็กนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมณ์นักหากมีคนอื่นรับรู้

ยังไงเสีย กางเขนเหล็กก็เป็นถึงผู้ปกครองฟากตะวันตก ยังไงมิดซัมเมอร์ก็คงไม่กล้าที่จะมาทำอะไรพวกเขาเพียงเพราะเด็ก ๆ สองคนนี้อยู่แล้ว

แต่เขาไม่คิดเลยว่าความคิดลวก ๆ เหล่านี้ จะกลายเป็นการกระตุกหนวดเสือตัวที่ใหญ่ที่สุดในเขตฮัวเซียให้ตื่นขึ้น นับตั้งแต่ที่เกมเปิดตัวมา!