หลังจากเทาเท่ได้เบอร์มาก็ไม่ได้จากไปทันที แต่พูดกับเจเทาวน์ว่า“ ไม่คิดว่าประธานเจเทาวน์จะเป็นคนตาถึงแบบนี้ ทุ่มเททุกอย่างกับการปั้นพนักงานใหม่ให้กับบริษัท”
เจเทาวน์ย่อมฟังออกถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเทาเท่ เทาเท่มองออกถึงความรู้สึกที่พิเศษของเขาที่มีต่อหลินจือ พูดเสียดสีเขาที่ส่งหลินจือไปฝึกอบรมพิเศษที่ต่างประเทศและยังให้โอกาสหลินจือได้เขียนบทละครนี้ด้วยตัวเองทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเพราะความรู้สึกที่พิเศษนี้
เจเทาวน์ส่ายหัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า“ประธานเทาเท่ ดูแล้วคุณคงไม่รู้จักอดีตภรรยาของคุณเอาซะเลยจริงๆ ไม่ใช่เพราะผมตาถึง แต่เพราะเธอเพียบพร้อมต่างหาก เพียบพร้อมถึงขั้นที่เรายินดีที่จะให้โอกาสเธอ”
“ตอนนั้นนานิเขาแนะนำหลินจือให้มาเป็นนักเขียนอิสระ ผมให้งานละครที่สนใจกับเธอไป ให้เธอไปเขียนโครงเรื่องเพื่อทดสอบ ผลคือโครงร่างที่เขียนโดย หลินจือนั้นน่าสนใจที่สุดในบรรดานักเขียนหน้าใหม่หลายคน และยังต้องตาต้องใจอาจารย์ครูสด้วย จนเขาเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับผมว่าอยากจะรับหลินจือมาเป็นลูกศิษย์ ”
แววตาของเทาเท่ มีความประหลาดใจผาดผ่าน ทุกคนต่างรู้กันดีว่าครูสแทบจะไม่เคยรับใครเป็นศิษย์เลย ไม่คิดว่าหลินจือจะเป็นคนที่เขาเอ่ยปากขอเอง
เจเทาวน์มองออกถึงความประหลาดใจในแววตาของเทาเท่ ก็จึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า“หลินจือเธอชอบวรรณกรรมมาตั้งแต่เด็ก ตอนประถมก็กวาดรางวัลจากการเขียนเรียงความมาแล้วมากมาย ตอนที่สอบเข้ามหาลัยก็ได้คะแนนอันดับหนึ่งในสาขาวิชาวรรณกรรมในเมืองเจสเวิร์ด และเรียนจบในสาขาวิชาวรรณกรรมการละครด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของรุ่น”
“ต่อให้จะไม่มีผมกับอาจารย์ครูส เธอก็จะยังเป็นดาวที่ทอแสงเจิดจรัสของวงการนักเขียนบท”
“และแน่นอนว่า หากเธอไม่ได้แต่งงานกับคุณเป็นเวลาสามปี ป่านนี้เธอคงโด่งดังไปแล้ว ”
เพราะต้องทำหน้าที่ของสะใภ้ตระกูลฟอเรนา ดังนั้นเธอก็จึงทำได้เพียงเขียนบทละครในช่วงที่ว่างเท่านั้น ไม่สามารถทุ่มเททั้งเวลาและแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีให้กับงานเขียนได้
คำพูดนี้ของเจเทาวน์ชี้ให้เห็นว่าเทาเท่เป็นตัวถ่วงความเจริญของหลินจือทำเอาเทาเท่จุกจนพูดไม่ออก
ถลึงตามองเจเทาวน์ด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์ เขาหันหลังแล้วจากไปพร้อมเบอร์โทรศัพท์มือถือในมือ
หลินจือได้อันดับหนึ่งในสาขาวิชาและได้เกียรตินิยมของรุ่น บวกกับพรสวรรค์ที่โดดเด่นจนครูสต้องขอตัวเธอมา ความเพียบพร้อมแบบนี้ทำเอาหัวใจเทาเท่ราวกับมีภูเขาลูกใหญ่มากดทับเอาไว้ หนักอึ้งจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
เขาไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆว่าหลินจือจะเก่งขนาดนี้ และไม่เคยรู้จักตัวตนของเธอเลยจริงๆ
ชีวิตในช่วงแรกเริ่มของการแต่งงาน เขาเอาแต่โกรธที่ถูกเธอกับพ่อของเธอคิดการวางแผน กับเธอก็จึงรู้สึกรังเกียจและเกลียดชังมาก
และวิธีการระบายอารมณ์ส่วนนี้ของเขาก็คือการทารุณกรรมเธอบนเตียงอย่างหนักหน่วง เมื่อเห็นเธอร้องไห้ตัวสั่นอยู่ใต้ร่างเขา เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก
หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง มันเป็นเพราะความเคยชินที่มักจะข่มเหงเธออยู่ตลอดจึงไม่สามารถปรับตัวให้ใช้ชีวิตที่ปรกติอย่างที่มันควรจะเป็นได้ ก็จึงทำให้ไม่เคยรู้และเข้าใจอะไรเธอเลย
เทาเท่เดินออกจากห้องทำงานของเจเทาวน์ด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด ซูซีเดินเข้ามาหาเขาและคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนม“คุยเรื่องบทละครกับประธานเจเทาวน์เสร็จแล้วเหรอ?”
เทาเท่ตอบอืมกลับมาคำหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า“ไปเถอะ ผมจะส่งคุณกลับก่อน”
ซูซีแนบไปกับแขนของเขาและพูดอย่างออดอ้อนว่า“ ฉันยังไม่อยากกลับ ฉันอยากอยู่กับคุณทั้งวันเลย”
เทาเท่หลุบตาลงแล้วตอบเธอ“ผมงานยุ่งมาก ใช่ว่าคุณไม่รู้ ”
ซูซีรู้ถึงความพอเหมาะพอควรก็จึงหยุด และเปลี่ยนเรื่องคุยว่า “งั้นคืนนี้เรากินข้าวด้วยกันนะ ? คุณไม่ได้กินข้าวกับฉันนานแล้ว”
เทาเท่รับคำ “ได้ กลับไปแล้วผมจะให้จอนห์จองร้านอาหารเสร็จแล้วจะโทรบอกคุณ ”
ซูซีพูดเสนอกับเขา“ฉันอยากกินสเต๊ก ไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เราไปกันบ่อยๆร้านนั้นได้ไหม?”
ขาของเทาเท่ ชะงักไป ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตั้งแต่ครั้งนั้นที่รู้ว่าหลินจือแพ้เนื้อวัวและเนื้อแกะ เขาก็รู้สึกว่าสเต๊กเนื้อทั้งหลายที่เขาเคยชอบก็ไม่ได้หอมหวนอีกต่อไป