ตอนที่ 375 เสียโฉม
“ว้าย ! ”
น้ำชาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ อุณหภูมิยังลดมิถึงครึ่ง ภายนอกถ้วยยังร้อนอยู่เพราะความร้อนที่คายออกมา
บัดนี้น้ำชาถูกสาดไปที่ใบหน้าของหลี่ซื่อ แม้มิมากแต่ก็ลวกผิวได้มิน้อยเลยทีเดียว
ใบหน้าของหลี่ซื่อจึงแดงขึ้นภายในพริบตา มิหลงเหลือผิวเนียนนุ่มอย่างเช่นวันวาน แถมยังมีรอยจากที่โดนเม็ดหมากกระเด็นใส่เมื่อครู่จนทำให้นางแทบเสียโฉมอยู่แล้ว
แต่อันอิงเฉิงมิได้รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย เขามองนางที่กำลังลูบใบหน้าอย่างเย็นชา
“ท่านพ่อ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือการแก้ไขความเข้าใจผิดของจวนอ๋องอี้เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอกล่าวออกมาอย่างมีเหตุผลซึ่งอันอิงเฉิงรู้ดีว่าความเข้าใจผิดนั้นหมายถึงสิ่งใด !
หลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ เขามิมีทางไปรองรับความโกรธของจวนอ๋องอี้เป็นแน่
“ท่านพี่ ท่านต้องช่วยอีเอ๋อนะเจ้าคะ ! ” ตอนนี้หลี่ซื่อก็หาได้สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตัวเอง เมื่อได้ยินว่าอันหลิงอีลอบสังหารสามี นางก็รู้ได้ถึงผลที่จักตามมาทันที
“ข้าหรือ ? หึ ข้าจักช่วยได้อย่างไร ? บุตรสาวคนดีที่เจ้าสอนมากับมือ เจ้าก็หาวิธีเอาเองแล้วกัน ! ”
อันอิงเฉิงถีบนางกระเด็นออกไปและมิหันกลับไปมองอีก
“หลี่อี๋เหนียงลองไปขอร้องตระกูลหลี่ดีหรือไม่เจ้าคะ ? ” สมองของอันหลิงเกอคิดหาวิธีได้อย่างรวดเร็ว นางคุกเข่าลงแล้วสนทนากับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“เจ้าจักไปรู้อันใด ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า ! ” หลี่ซื่อจับที่ข้อเท้าของอันหลิงเกอไว้ ดีที่อันอิงเฉิงไวกว่าจึงสั่งให้สาวใช้กดนางไว้ก่อนทันทำร้ายอันหลิงเกอ
“ท่านพ่อ ลูกคิดว่าเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องให้ตระกูลหลี่ออกหน้า น้องหญิงสามจึงจักปลอดภัยเจ้าค่ะ”
นางพูดถูกและอันอิงเฉิงเองก็คิดเช่นนั้น
หากต้องผิดใจกับจวนอ๋องอี้ก็ควรให้ตระกูลหลี่ออกหน้าเอง
ยิ่งตระกูลหลี่มีศัตรูมากเท่าไรก็ยิ่งดีต่อพวกเขาเท่านั้น
“หลี่อี๋เหนียง ท่านลองไปพูดกับตระกูลหลี่เองเถิด หากหลี่กุ้ยเฟยยอมออกหน้าแทน น้องหญิงสามต้องปลอดภัยแน่”
อันหลิงเกอทำเป็นใจดี แต่ความหมายที่แสดงออกมานั้นชัดเจนอยู่แล้ว อย่างแรกคือให้หลี่อี๋เหนียงเป็นคนไปขอร้องเอง อย่างที่สองคือต้องให้ตระกูลหลี่เป็นคนออกหน้า
หากเป็นเช่นนี้อีกมินานตระกูลหลี่ต้องทอดทิ้งสองแม่ลูกแน่นอน คนที่ไร้ค่าแล้วยังมีปัญหามากมายให้สะสางมิรู้จบ ต่อให้ตระกูลหลี่ช่วยพวกนางในครั้งนี้ได้ก็คงมิมีครั้งต่อไปเป็นแน่
ถึงตอนนั้นหากจักบีบหลี่ซื่อและอันหลิงอีก็มิใช่เรื่องยาก
“ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะ…”
“เจ้าจัดการเอาเองแล้วกัน ! ”
หลี่ซื่อยังอยากขอร้องต่อ ทว่าอันอิงเฉิงมิได้สนใจนางอีก
หลี่ซื่อก็คาดมิถึงว่าอีเอ๋อที่เพิ่งกลับเข้าจวนได้มิกี่วันจักตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ แถมครั้งนี้ยังรันทดกว่าเดิม
แต่เพื่อบุตรสาวแล้ว นางจึงมิสามารถปัดความรับผิดชอบได้ นางรอจนทุกคนออกไปหมดจึงพลิกตัวนอนคว่ำกับพื้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
…
“จดหมายจากพี่หญิงอย่างนั้นหรือ ? ” ภายในวังหลัง ยามที่หลี่กุ้ยเฟยได้รับจดหมายก็เห็นถึงความหงุดหงิดได้อย่างชัดเจน
เพราะที่ผ่านมาหลี่ซื่อสร้างปัญหาให้นางมิน้อย
จวนอ๋องอี้น่ะหรือ ?
เมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายอย่างละเอียดแล้ว หลี่กุ้ยเฟยก็กำหมัดแน่นจนจดหมายในมือโดนขยำเป็นก้อน
มีเรื่องมิหยุดหย่อน อีกทั้งครั้งนี้อันหลิงอียังสร้างปัญหาใหญ่มากทีเดียว
“ไปเชิญอี้หวางเฟยเข้าวังเพื่อคุยกับข้าที” สุดท้ายหลี่กุ้ยเฟยก็เลือกให้ความช่วยเหลือ แต่ครั้งนี้จักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจดหมายที่นางตอบกลับได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
‘ครั้งนี้น้องจักช่วยอย่างสุดความสามารถ หวังว่าวันหน้าพี่หญิงจักดูแลตัวเองให้ดี’
ยามที่หลี่ซื่อเห็นจดหมายตอบกลับ แม้รู้อยู่เต็มอกก็ยังอดรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมามิได้
ครั้งนี้นางคงไร้ญาติให้พึ่งแล้วจริง ๆ บุตรสาวก็แต่งออกไป นางเองก็สูญเสียการช่วยเหลือจากตระกูลหลี่ ภายภาคหน้าคงยากที่จักยืนหยัดในจวนโหวได้อีก
“เด็กเด็ก” หลี่ซื่อตะโกนเรียกสาวใช้ เมื่ออีกฝ่ายเห็นท่าทางลำบากใจของนางก็รู้ทันทีว่านางต้องมีแผนร้ายอย่างแน่นอน
เวลานี้ภายในวังหลวง อี้หวางเฟยก็ได้เข้าวังตามคำเชิญของหลี่กุ้ยเฟย แม้นางอยากปฏิเสธแต่ก็ยากที่จักทำได้
“วันนี้ที่ข้าเชิญอี้หวางเฟยมา ก็เพราะมีเรื่องที่จะขอร้อง” หลี่กุ้ยเฟยเองก็ลำบากใจที่จะเอ่ยปาก แต่อี้หวางเฟยเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของนางอยู่แล้ว
“เชิญกุ้ยเฟยตรัสได้เลยเพคะ”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวยังให้ตระกูลหลี่ออกหน้า อี้หวางเฟยคงทำได้เพียงยอมไกล่เกลี่ยเท่านั้น แต่เรื่องของอันหลิงอี นางจักมิมีทางปล่อยไปโดยง่าย
“เรื่องของอีเอ๋อ ที่จริงนางมิได้มีจิตใจคิดร้าย ครั้งนี้นางต้องถูกคนอื่นหลอกใช้เป็นแน่”
ทุกประโยคที่หลี่กุ้ยเฟยเอ่ยออกมา อี้หวางเฟยทำได้เพียงพยักหน้ารับ
ก่อนที่จักเข้าวังมา ตัวนางได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว
“เช่นนั้นกุ้ยเฟยคิดว่าควรจัดการเช่นไรดีเพคะ ? ” อี้หวางเฟยมิได้โง่เขลา ออกจักเป็นคนที่ฉลาดมากด้วยซ้ำ
“จัดการภายในจวนย่อมดีที่สุดเพราะเรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไปอาจทำให้จวนอ๋องอี้เสียหน้าได้”
หึ อี้หวางเฟยหัวเราะออกมาเสียงเย็นแต่สุดท้ายก็ตอบตกลง
ส่วนหลี่ซื่อคาดมิถึงว่า ‘การไกล่เกลี่ย’ ของจวนอ๋องอี้จักหมายถึงการส่งตัวอันหลิงอีคืนจวนโหว
มีประกาศออกสู่สังคมภายนอกแค่ว่าฮูหยินของคุณชายรองอายุยังน้อยและคิดถึงครอบครัวเป็นอย่างมากจึงอนุญาตให้กลับมาอยู่จวนโหวได้ 3 เดือน หลังจาก 3 เดือนแล้วค่อยรับตัวกลับจวนอ๋องอี้อีกครั้ง
ทำเช่นนี้ก็มิต่างจากประกาศความจริงให้ทุกคนได้รับรู้
ในเมืองจิงมิเคยเกิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้มาก่อน เจ้าสาวที่ไหนแต่งงานแล้วจักถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดในวันที่สอง ?
แม้บอกว่าคิดถึงครอบครัว แต่ที่จริงคือต้องการให้จวนโหวสั่งสอนบุตรีให้ดีต่างหาก !
“ท่านพ่อ ท่านย่า อีเอ๋อโดนใส่ร้ายเจ้าค่ะ ! ”
เมื่อกลับมาถึงจวน อันหลิงอีที่ยังสวมชุดแต่งงานสีแดงเหมือนเมื่อวานช่างดูน่าเวทนาดีแท้
ตั้งแต่เมื่อคืนจนบัดนี้นางยังมิได้นอนด้วยซ้ำ นางถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนและหน้าประตูมีเสียงร้องตะโกนจากเจ้าโง่นั่นตลอดเวลา
“ครั้งนี้เจ้าทำให้จวนโหวอับอายขายหน้าจนมิเหลือชิ้นดี ! ”
อันอิงเฉิงมิสนใจนางอีก ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มิคิดยุ่งกับนางเช่นกัน ภายในห้องโถงจึงเหลือเพียงอันหลิงอีและอันหลิงเกอที่สบตากันด้วยความเคียดแค้น
อันหลิงเกอมิคิดว่าวิธีแก้ปัญหาในครั้งนี้ของจวนอ๋องอี้จักเป็นเช่นนี้ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะนางจักได้มีเวลาแก้แค้นสองแม่ลูกไปอีกหลายวัน
“เป็นเพราะเจ้า ! ” อันหลิงอีลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินเข้าหาอันหลิงเกอ
หมิงซินจึงรีบกันอันหลิงอีเอาไว้เพื่อมิให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้
“หากน้องหญิงว่างก็รีบไปดูท่านแม่ของเจ้าดีกว่า สถานการณ์ของนางมิดีกว่าเจ้าเท่าไรหรอก”
กล่าวจบอันหลิงเกอก็เดินออกจากห้องโถงทันที “หมิงซิน พวกเราไปกันเถิด ! ”
อันหลิงอีได้ฟังก็ยังมิเข้าใจความหมายของอันหลิงเกอ แต่ก็รีบกลับไปที่เรือนเพื่อดูมารดาทันที
หลี่ซื่อมิได้นอนมาทั้งคืน รวมทั้งมิได้ทานข้าวสักเม็ด แผลพุพองบนใบหน้ามองแล้วช่างน่าสงสาร ทว่าแฝงความน่ากลัวไว้อีกด้วย
“ท่านแม่ ท่านแม่ ! ” อันหลิงอีเห็นหลี่ซื่อก็รีบวิ่งเข้าหาทันที ขณะกำลังจักประคองมารดาขึ้นมาก็ได้เห็นใบหน้าของหลี่ซื่อ และนางก็ตกใจจนเผลอปล่อยมือ
“ว้าย ! ”
หลี่ซื่อนึกมิถึงว่าบุตรีจักปล่อยมือเช่นนี้จึงล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“ท่านแม่ ! ” อันหลิงอีรีบเข้าไปประคองขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นบาดแผลบนในหน้าของหลี่ซื่อ นางก็เข้าใจความหมายของอันหลิงเกอทันที