บทที่ 469 ค้างคาวกลายพันธุ์
บทที่ 469 ค้างคาวกลายพันธุ์
ณ ชั้นใต้ดินของฐานที่มั่นแก๊งพยัคฆ์เวหา
“ฮี่ฮี่ แกว่าวันนี้ไอ้แก่มันจะปิดปากเงียบอีกไหมวะ?”
“นี่ผ่านมากี่วันแล้ว? มันยังจะมีแรงสู้อีกเหรอ”
สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องใต้ดิน
ทันใดนั้นขณะที่ประตูเปิดออก ค้างคาวตัวสีดำทะมึนจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ค้างคาวตัวใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามือ มีฟันแหลมคมเริ่มแทะกินคนทั้งสองทันที
“เชี่ย! อะไรเนี่ย?”
“แม่งเอ๊ย! กลับ กลับไป…อ๊าก!”
สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหากำลังคิดหาทางหนี แต่วินาทีต่อมาพวกเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย!
“อ…อ๊าก! พวกมันกำลังดูดเลือดฉัน!”
“ช่วยด้วย…”
ทั้งสองคนกรีดร้องขอความช่วยเหลือขณะถูกรายล้อมไปด้วยค้างคาวดำนับไม่ถ้วน!
แต่เสียงกรีดร้องก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเสียงแทะเล็กเนื้ออันน่าสยดสยองเท่านั้น!
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฝูงค้างคาวดำก็สลายตัวไปทุกทิศทางราวกับได้รับคำสั่งบางอย่าง ก่อนบินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
เหลือเพียงซากศพที่ถูกดูดเลือดจนแห้งและรอยเลือดสาดกระเซ็นบนพื้น!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา โจวเฟยหู่เร่งรีบไปสถานที่เกิดเหตุด้วยใบหน้าถมึงทึง
“บัดซบ! เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นซากศพที่น่าสะพรึงกลัว เขาก็ก้าวถอยหลังสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว
ซากศพของทั้งสองน่าเกลียดน่ากลัวอย่างมาก ตามร่างกายพวกเขาถูกรอยฟันขนาดเล็กแทะกิน ขณะถูกสูบเลือดจนร่างกายแห้งติดกระดูก
“ลูกพี่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นฝีมือของฝูงค้างคาว เพราะก่อนหน้านี้มีคนเห็นฝูงค้างคาวบินออกมาจากห้องใต้ดินครับ”
สมาชิกแก๊งคนหนึ่งรายงานเรื่องที่เขาสอบสวนมา
“ค้างคาว? มันแข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
หลังจากโจวเฟยหู่ฟังรายงานจากลูกน้อง เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“แม่งเอ๊ย! ไม่ใช่ว่าค้างคาวในจีนเชื่องมาก แถมพวกมันยังกินแค่แมลงหรอกเหรอ?”
“นั่น…”
ลูกน้องคนนั้นไม่รู้จะตอบอย่างไร
“เอาล่ะ ระวังตัวไว้ก็แล้วกัน ตอนนี้นายเข้าไปข้างในกับฉันก่อนเถอะ”
โจวเฟยหู่โบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ เข้าไปในห้องขังด้วยกัน
ขณะเดียวกัน เขาก็ตั้งท่าป้องกันตัวเองเอาไว้
“ครืน!”
ประตูเหล็กห้องใต้ดินถูกเตะอย่างแรงจนเปิดออก แสงสว่างสาดส่องเข้าไปข้างในทันที
ห้องใต้ดินเงียบเชียบจนผิดปกติ เมื่อลูกน้องของโจวเฟยหู่เปิดไฟ พวกเขาทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าหลูชิงหยวนยังอยู่ที่เดิม แต่ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะมีชะตากรรมโหดร้ายอย่างนี้
ตอนนี้ร่างกายเขาเหลือเพียงกระดูกเปื้อนเลือดเท่านั้น
ผู้คนที่พบเห็นต่างขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน!
“เชี่ย มันไม่ได้ส่งค้างคาวมาช่วยไอ้แก่ แต่ส่งมาฆ่างั้นเหรอ?”
โจวเฟยหู่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น ใบหน้าของเขามืดมนกว่าเดิม ยังไงก็ตามนี่เป็นภารกิจที่อวี้ฮ่าวหรานมอบหมายให้เขาทำ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดอย่างนี้ แม้แต่ผู้คุมทั้งสองคนก็ถูกฝูงค้างคาวลึกลับฆ่าไปด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างของหลูชิงหยวนถูกกัดกินจนเหลือเพียงกระดูก คนตายไปแล้วจึงไม่สามารถพูดได้!
หลังจากคิดหาทางออกอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดโจวเฟยหู่ก็กดโทรออก
“ลูกพี่อวี้ ผมขอโทษจริง ๆ ครับ”
เมื่ออีกฝ่ายกดรับสาย เขาพูดขอโทษทันที
“มีอะไร?”
“ผู้นำองค์กรอสรพิษที่ลูกพี่สั่งให้ผมจับตัวไว้ตายแล้วครับ แต่โชคร้ายที่ฝั่งเราไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลย”
“ตายแล้ว? ตายได้ยังไง?”
หลังจากได้ยินรายงาน อวี้ฮ่าวหรานก็ตกตะลึงทันที
“เป็นฝีมือของค้างคาวครับ ลูกน้องของผมสองคนถูกฆ่าไปด้วยเหมือนกัน พวกเขาถูกค้างคาวแทะกินจนจำศพแทบไม่ได้ แปลกมาก”
“ค้างคาว? โอเค เข้าใจแล้ว”
“ผมขอโทษจริง ๆ นะครับลูกพี่อวี้ ผมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เป็นเพราะพวกเราประมาทเกินไป”
โจวเฟยหู่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจจึงขอโทษอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ไปจัดการศพลูกน้องนายเถอะ ฉันไม่โทษนายหรอก”
อวี้ฮ่าวหรานตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จากนั้นถามรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนวางสาย
“พี่เขย เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่หรงที่สวมชุดนอนผ้าไหมเดินออกมาจากห้องนอน กลิ่นกายหอมเย้ายวนทำให้ชายหนุ่มตอบสนองทันใด
“เปล่า ไม่มีอะไร เรื่องเล็กน้อยน่ะ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ทันสังเกตว่าร่างกายตัวเองตอบสนองต่อกลิ่นหอมเย้ายวนของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ แต่ทันใดนั้นเขาก็ใช้พลังวิญญาณระงับความต้องการนั้นไว้…
“อ๋อ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พี่รีบเข้านอนเถอะ”
หลี่หรงมีท่าทีผิดหวังเล็กน้อยก่อนลุกยืนขึ้น
อวี้ฮ่าวหรานตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ ก่อนตอบอีกฝ่าย
“อืม เธอเข้านอนก่อนเถอะ”
ไม่นาน ภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียว
“ค้างคาว? นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย?”
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องแปลกประหลาดที่โจวเฟยหู่รายงาน
เขาไม่คิดว่าจะมีคนที่อาฆาตชายแก่ผู้ที่ถูกทำลายจุดตันเถียนจนไม่สามารถใช้งานได้ แถมยังวางแผนฆ่าปิดปากด้วยวิธีพิสดารอย่างนี้
ชายหนุ่มประมาทเกินไปจนทำให้เกิดเรื่องผิดพลาด เขาไม่ได้กลัวฝูงค้างคาวกลายพันธุ์ แต่กลับรู้สึกเสียดายมากกว่า
“น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้เค้นถามที่ตั้งองค์กรอสรพิษ”
หลังจากถอนหายใจ เขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน
ค่ำคืนเงียบสงัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากเดินทางไปส่งถวนถวนที่โรงเรียน เฉิงชิวอวี้ก็โทรมาหาเขา
“ฮ่าวหราน เมื่อวานนี้ฉันบอกพ่อตามที่คุณขอเอาไว้แล้ว คุณจะมาเมื่อไรเหรอคะ?”
“ผมกำลังไปครับ”
อวี้ฮ่าวหรานตอบพร้อมพยักหน้า
เรื่องนี้เร่งด่วนอย่างมาก บริษัทในเครือตระกูลหลี่ต่างเริ่มเซ็นสัญญาแล้ว ขณะที่ผู้บริหารหลายคนทยอยมารอที่อาคารบริษัทเครือฮ่าวหราน
การประชุมจบลงด้วยความราบรื่น หลังจากคัดเลือกผู้บริหารระดับสูงแล้ว พวกเขาจะถูกส่งไปทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชิงปัง ซึ่งเปิดทำการเป็นปกติแล้ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ข้างนอกอาคารบริษัทชิวเฮิง
“ทำไมการประชุมจบเร็วจังล่ะคะ ฉันคิดว่าจะรอเก้อซะแล้ว”
ดูเหมือนว่าเฉิงชิวอวี้จะมาดักรอเขาอยู่ข้างนอกอาคารนานแล้ว เมื่อเจอหน้าเขา หญิงสาวจึงทักทายด้วยรอยยิ้ม
“คุณมารอผมเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ เปล่าหรอกค่ะ ฉันเพิ่งมาถึงออฟฟิศแล้วนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คุณไปบริษัทเรา ฉันเลยรออยู่ที่นี่ค่ะ”
เสียงหัวเราะของเฉิงชิวอวี้เปรียบเสมือนดอกไม้เบ่งบาน ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกผ่อนคลาย
ภายใต้แสงแดดร้อนระอุ ชุดเดรสสีน้ำเงินดูสง่างามเป็นพิเศษ แถมยังรัดรูปเผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างชัดเจน
พวงแก้มแดงระเรื่อ ดวงตากลมโต ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงน่าหลงใหล ทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้
“วันนี้คุณแต่งตัวสวยมาก แต่คุณไม่ไปทำงานเหรอครับ?”
อวี้ฮ่าวหรานออกปากชมอีกฝ่าย
“ไปสิคะ แต่ฉันแวะมาหาคุณก่อน”
พูดจบ เธอก็เดินเข้าไปใกล้รถสปอร์ตสีเหลืองสดใส
“ฉันอยากชวนคุณไปกินข้าวหลังจากเสร็จงานน่ะค่ะ”
ขณะพูดอยู่นั้น เธอยื่นใบหน้าสวยงามเข้าไปใกล้เขา ทำให้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ตกลงครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
มุมปากอวี้ฮ่าวหรานกระตุกยิ้มเล็กน้อย
“ขึ้นรถสิครับ ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่บริษัทพ่อของคุณดีกว่า”