บทที่ 470 แบกรับความเสี่ยงสูง

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 470 แบกรับความเสี่ยงสูง

บทที่ 470 แบกรับความเสี่ยงสูง

เมื่อถูกอวี้ฮ่าวหรานชักชวน เฉิงชิวอวี้จึงเดินไปขึ้นรถด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสเคลื่อนตัวออกจากอาคารบริษัทชิวเฮิงอย่างช้า ๆ พนักงานที่เห็นเหตุการณ์หลายคนต่างมีสีหน้าอิจฉา

“ไอ้หนุ่มคนนั้นพาท่านประธานของเราไปอีกแล้วเหรอ เขาเป็นใครกันแน่ ฉันอิจฉาจริง ๆ!”

“เทพธิดาของฉัน! เธอขึ้นรถสปอร์ตของคนอื่นไปแล้ว!”

“…”

หลังออกจากบริษัทชิวเฮิง ทั้งสองคนต่างนั่งเงียบตลอดทาง

อวี้ฮ่าวหรานใจเต้นแรงอย่างมากเมื่อมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยราวเทพธิดานั่งอยู่ข้าง ๆ

แม้แต่โลกเทวะก็ยังไม่มีหญิงสาวหน้าตางดงามและรูปร่างเย้ายวนอย่างนี้

แน่นอนว่าเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดอย่างนี้ย่อมหักห้ามใจไม่ได้

“ฮ่าวหราน มองอะไรเหรอ? ตั้งใจขับรถสิคะ เรายังต้องเดินทางอีกไกล”

เฉิงชิวอวี้พูดด้วยความเขินอาย

พอสังเกตจากสายตาอีกฝ่าย ในที่สุดเธอก็กลับมามั่นใจในเรือนร่างเหมือนเดิมแล้ว

เพราะเมื่อก่อนอีกฝ่ายมักไม่สนใจสิ่งนี้

“อืม วันนี้คุณสวยมาก”

อวี้ฮ่าวหรานหันมองอีกฝ่ายพร้อมออกปากชม

“ฉันสวยตลอดแหละค่ะ คุณแค่ไม่สนใจฉันต่างหาก”

เมื่อได้ยินคำชมเชย เฉิงชิวอวี้ก็อดมองค้อนเขาไม่ได้

“แค่ก ๆๆ ตอนนี้สายแล้ว เรารีบไปบริษัทที่คุณบอกกันเถอะครับ”

เมื่อต้องเผชิญกับปฏิกิริยาดังกล่าว อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกผิดที่เคยเมินเฉยเธอ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองก็เดินทางมาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

ข้างนอกอาคารมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งคนนั่งอยู่ตรงประตู ดอกไม้ในกระถางเหี่ยวราวกับไม่ได้รับการดูแลเป็นเวลานาน แถมตัวอาคารยังทรุดโทรมไม่น่ามอง

“โอ้! คุณเฉิง! มาถึงแล้วเหรอครับ!”

“ค่ะ ไม่ต้องออกมาต้อนรับก็ได้นะคะ”

เมื่อเฉิงชิวอวี้เดินมาถึงหน้าประตูอาคาร ชายอายุสี่สิบรูปร่างท้วมก็เข้ามาทักทายเธอ

“ฮ่า ๆ ไม่ได้หรอกครับคุณเฉิง พ่อของคุณช่วยเหลือผมไว้มากมาย เขาเป็นเหมือนผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ผม!”

ชายวัยกลางคนพูดด้วยความเคารพ จากนั้นก็มองอวี้ฮ่าวหรานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉิงชิวอวี้

“นี่ใครเหรอครับ?”

“นี่คืออวี้ฮ่าวหราน ประธานบริษัทเครือฮ่าวหราน เขาอยากซื้อบริษัทของคุณน่ะค่ะ”

เฉิงชิวอวี้แนะนำตัวอีกฝ่าย

ชายวัยกลางคนมีสีหน้ากระตือรือร้นทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

“ฮ่า ๆ ประธานอวี้นี่เอง ผมหยาบคายแล้ว!”

“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะครับ”

อวี้ฮ่าวหรานยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เพราะเขาไม่รู้จักอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว

“โอเค! ไม่มีปัญหาครับประธานอวี้ ผมเตรียมพร้อมตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์เมื่อวานแล้ว”

พูดจบ เขาก็รีบเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในอาคารทันที

ห้องประชุมชั้นบนสุดของอาคาร

“ประธานอวี้ นี่คือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเราครับ”

“สวัสดีครับประธานอวี้!”

หลังจากชายวัยกลางคนแนะนำตัวอวี้ฮ่าวหราน เหล่าผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ในห้องประชุมก็ลุกขึ้นยืนทักทายเขาพร้อมกัน

ถึงคนตรงหน้าจะอายุน้อยกว่า แต่มีแนวโน้มสูงว่าชายคนนี้อาจเป็นเจ้านายในอนาคตของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าทำตัวหยาบคาย

“ครับ นั่งลงเถอะ ผมเข้าใจสถานการณ์ของบริษัทพวกคุณดี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ยังไงซะผมก็จะซื้อบริษัทนี้อยู่ดี”

อวี้ฮ่าวหรานเดินไปนั่งตรงหัวโต๊ะ จากนั้นโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงอย่างไม่เป็นทางการ

“นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทเราครับ ประธานอวี้ลองพิจารณาดูได้ครับ”

ชายวัยกลางคนรีบยื่นเอกสารให้เขาอย่างรวดเร็ว

อวี้ฮ่าวหรานหยิบเอกสารขึ้นมา ก่อนพลิกอ่านอย่างตั้งใจแม้จะรู้สถานการณ์คร่าว ๆ มาบ้างแล้ว

“ภาพรวมถือว่าดีมาก”

เขาพยักหน้าเบา ๆ พร้อมแสดงสีหน้าพึงพอใจกับเอกสารรายงาน

“ฉันขอดูหน่อยค่ะ”

เฉิงชิวอวี้ขอเอกสารแล้วอ่านอย่างละเอียด

เธอรู้จักบริษัทนี้มาก่อน ดังนั้นจึงสามารถยืนยันได้ว่ารายงานเหล่านั้นเป็นจริงหรือเท็จ

“ไม่มีปัญหา ข้อมูลเป็นความจริง”

เธอพยักหน้ายืนยันหลังอ่านเอกสาร

“คุณเฉิงไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะกล้าปลอมแปลงเอกสารมาหลอกพวกคุณได้ยังไง ครั้งนี้ผมอยากขายบริษัทจริง ๆ เพราะรับมือไม่ไหวแล้วครับ”

เจ้าของบริษัทวัยกลางคนรีบอธิบายทันที

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย เอกสารในมือแสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนบริษัทแห่งนี้มีผลประกอบการที่ดีมาก แต่หลังจากหลายบริษัทล้มละลายและถูกตรวจสอบ พวกเขาก็ไม่สามารถหาที่ดินทำเลทองมาครอบครองได้อีก

“เจอปัญหาเดียวกับตระกูลหลี่สินะ”

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็นึกถึงบริษัทของตระกูลหลี่ที่พวกเขาพูดถึงเมื่อคืนนี้ ดูเหมือนว่าจะเจอปัญหาเดียวกันไม่มีผิด

ในเมื่อบริษัทตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้จึงจำเป็นต้องมีคนมารับช่วงต่อ ซึ่งเจ้าของบริษัทคนใหม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องการขาดทุนสูงมาก

“โอเค สถานการณ์บริษัทไม่ได้แย่เท่าไหร่ คุณอยากได้เป็นหุ้นหรือเงินสดดีล่ะ?”

“เงินสดครับ ขอเป็นเงินสดจะดีที่สุด!”

เจ้าของบริษัทวัยกลางคนตอบอย่างรวดเร็ว

“ผมท้อแท้กับอุตสาหกรรมนี้มากเลยไม่กล้าลงทุนต่อ”

“อืม ไม่มีปัญหาครับ”

อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลง จากนั้นจึงโทรหาหวังจุนเพื่อสั่งให้เขาพานายหน้ามาเจรจาเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

“เอาล่ะ ในเมื่อเราตกลงกันแล้ว คนของผมจะมาเจรจาเรื่องที่เหลือเร็ว ๆ นี้ ผมหวังว่าเราจะหาข้อตกลงได้ก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้นะครับ”

“ผมจะแก้ไขให้เร็วที่สุดครับ”

เจ้าของบริษัทรับปากทันที

หลังจากพูดคุยกันแล้ว เรื่องทั้งหมดก็จบลงด้วยดี จากนั้นทั้งสองจึงออกไปจากบริษัท

เหตุผลหลักที่อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลงอย่างง่ายดายคือบริษัทของเขากำลังขาดแคลนพนักงาน

หลังจากเปลี่ยนชื่อและระบบบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์จื่อจินเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชิงปัง บริษัทของเขาก็เติบโตเป็นเท่าตัว แต่ผู้บริหารระดับสูงและพนักงานที่มีประสบการณ์กลับน้อยกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเดิม

มันคือปัญหาใหญ่ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชิงปังไม่สามารถเปิดทำการได้

และตอนนี้ปัญหานั้นได้ถูกแก้ไขแล้ว

เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ณ ร้านอาหารชั้นนำในละแวกเดียวกัน

“อืม พอแล้วค่ะ ถ้าสั่งมาเยอะกว่านี้ เราต้องกินไม่หมดแน่นอน”

เฉิงชิวอวี้ยื่นเมนูให้พนักงานเสิร์ฟ ก่อนหันไปพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ฮ่าวหราน ฉันชวนคุณมาเลี้ยงข้าว แต่ฉันก็เอาแต่สั่งคนเดียวเลย”

เธอหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะใสกังวานทำให้รู้สึกเหมือนดอกไม้หลายพันดอกกำลังเบ่งบาน จึงเรียกความสนใจของทุกคนในร้านให้มองมายังเธออย่างช่วยไม่ได้

“สั่งมาเลยครับ พวกเราไม่ได้มาที่นี่บ่อยสักหน่อย”

อวี้ฮ่าวหรานพูดอย่างสบาย ๆ

“อืม ฮ่าวหราน คราวที่แล้วฉันยุ่งมากเลยดูแลหลิวว่านฉิงได้ไม่ค่อยดี แต่ฉันไปเยี่ยมเธอทีหลังสองครั้ง คุณไม่โกรธฉันใช่ไหมคะ”

เขาไม่รู้ว่าทำไมเฉิงชิวอวี้ถึงพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องคิดมาก ผมส่งคนไปดูแลเธอแล้วล่ะ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจ เขารู้ดีว่าเฉิงชิวอวี้เป็นคนใจกว้าง

ถ้าเขาให้น้องภรรยาจัดการเรื่องนี้แทน มีหวังเธอคงงอนเขาไประยะหนึ่ง

“ดีแล้วล่ะค่ะ ครั้งที่แล้วฉันไม่ได้หาข้อมูลก่อนเลยไม่รู้ว่าแม่หลิวว่านฉิงป่วยและไม่มีใครดูแลเหมือนกัน ฉันเลยอยากขอโทษคุณ”

เฉิงชิวอวี้ขอโทษ

สิ่งนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออก เขารู้ว่าผู้หญิงตรงหน้ามั่นใจในตัวเองอย่างมาก แต่ในกรณีนี้ เธอกลับถ่อมตัวและใส่ใจคนอื่นมากกว่าที่เขาคิด

ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกดีกับเธอมากกว่าเดิม…