“ฉันแย่ตรงไหนกันล่ะ แล้วลูกชาวของฉันมันแย่มากนักเหรอ ยังไงเธอเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือไง เราไม่ได้ตกลงกันแล้วเหรอว่าเธอจะไม่มาตามรังควานชีวิตของพวกเราอีก แต่ก็ยัง…”
ลู่เช่อยกแขนโอบไหล่หลงเจี่ยพร้อมรอยยิ้ม “เราก็ไม่ได้ผิดสัญญาของเรานี่ครับ”
“แต่ว่า…”
“เดี๋ยวเรื่องนี้จะถูกจัดการเองแหละครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ลู่เช่อลูบศีรษะเธอก่อนรั้งเธอเข้ามาในอ้อมกอด “ผมจะไม่เข้าข้างพ่อแม่ของผมเด็ดขาด เชื่อใจผมนะครับ”
“แต่งตัวสวยๆ ไปงานฉลองครบหนึ่งร้อยวันเถอะครับ ผมจะพาคุณไปกับผมด้วย!”
เมื่อเธอนึกถึงเรื่องเด็ก หลงเจี่ยหยิบผลตรวจออกมาจากกระเป๋า “จริงๆ แล้ว…คุณกำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งแล้วนะคะ”
เขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนความตื่นเต้นจะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจขณะที่มองหน้าหลงเจี่ย “คุณกำลังจะพูดว่าอะไรนะครับ”
“ฉันกำลังจะบอกว่าฉันท้องอีกแล้วไงคะ”
ได้ยินดังนั้น ลู่เช่อก็อุ้มหลงเจี่ยขึ้นในอ้อมแขนอย่างดีใจเหมือนเช่นในครั้งแรก
“วางฉันลงได้แล้วค่ะ!”
เขาไม่ได้ทำตามที่เธอบอกพร้อมอุ้มเธอเข้าไปในห้องนอนก่อนวางลงบนเตียง “ถ้าเป็นอย่างนี้การแสดงที่กำลังจะมาถึงคงน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเดิมแล้วล่ะครับ”
เมื่อแม่ต้องการที่จะควบคุมลูกชายของตัวเองกลับมีลูกชายที่ไม่ยอมโอนอ่อนตาม สุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายชนะกัน
…
หันซิวเช่อตีกับแฟนๆ ถังหนิงอยู่หลายวัน แต่ไม่นานเขาก็รู้ตัวว่าถังหนิงคงไม่มีทางมาตอบโต้กับเขาด้วยตัวเอง เธอไม่ได้กลัวการถูกใส่ความและต่อว่า รวมถึงการที่หม่าเวยเวยจะใช้จู้ซิงมีเดียในการข่มขู่เธอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกกว่าการโจมตีของเขาไม่มีประโยชน์และไม่อาจทนรับได้
พี่ชายของเขาเงยหน้าขึ้นมาระหว่างที่กำลังยุ่งอยู่กับงาน ก่อนเหลือบมองเขาและหัวเราะออกมา “ตอนนี้เลิกคิดถึงเรื่องอื่นแล้วสนใจแค่เรื่องถังหนิงแต่งงานมาหลายปีแล้วก็พอ ต่อให้เธอจะเป็นที่ชื่นชอบหรือเปล่า เธอก็ไม่มีทางชายตามองนายหรอก
“ทำไมนายต้องดื้อด้านขนาดนี้ด้วยล่ะ”
“พี่…พี่ไม่เข้าใจหรอก ถ้าทุกคนคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนดีและยุติธรรม แต่พี่เป็นคนเดียวที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอแย่ขนาดไหน พี่ก็คงอยากกระชากหน้ากากของเธอและแฉให้คนทั้งโลกรู้เหมือนกันนั่นแหละ
“เธอไม่เหนื่อยที่ต้องเสแสร้งบ้างหรือยังไงกัน”
“แต่การวิ่งวุ่นไปมาอย่างกับแมลงสาบหลงทางก็ไม่ได้เป็นวิธีโจมตีที่ดีที่สุดสักหน่อย!” พี่ชายของเขาขำออกมา “ตอนนี้นายทำอะไรเธอไม่ได้ แล้วอนาคตของนายล่ะ ไม่อยากมีอนาคตแล้วหรือยังไง”
“พี่ พี่ก็รู้จักผมดีนี่ ถ้าผมไม่ได้กระชากหน้ากากของผู้หญิงคนนี้ ผมคงไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่ๆ ”
หลังจากได้ยินดังนี้ พี่ชายของเขาพยักหน้ารับ “โอเค อย่างนั้นเพื่อช่วยให้นายเป็นคนปกติขึ้นมาบ้าง ฉันทำได้แค่ยอมรับในสิ่งที่นายเป็นสินะ
“ถ้านายอยากรู้ข่าวล่าสุดของถังหนิง นายจะลองแฝงตัวเข้าไปเป็นแฟนคลับของเธอก็ได้ ส่วนใหญ่กลุ่มแฟนคลับก็เป็นคนแรกๆ ที่ได้ข่าวทั้งนั้นแหละ”
เมื่อได้ฟังคำแนะนำของพี่ชาย หันซิวเช่อลุกขึ้นนั่งทันทีเพราะเขากำลังคิดหาวิธีอื่น
พี่ชายคอยปกป้องเขามาตั้งแต่เกิด เขาจึงสามารถทำอะไรได้ตามใจต้องการ ทว่าหม่าเวยเวยไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
เธอถูกเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นศิลปินชั้นสองและชั้นสาม ด้วยถังหนิงที่อยู่เหนือเธอ เป็นไปไม่ได้ที่หม่าเวยเวยจะได้ก้าวขึ้นมาสู่ชั้นแนวหน้า ถึงอย่างไรผู้จ้างงานโฆษณาที่มีหัวคิดก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับถังหนิง ดังนั้นต่อให้ไม่ได้ตัวถังหนิงมาพวกเขาก็แค่เลือกคนอื่นแทน ไม่จำเป็นต้องเลือกตัวปลอมไร้ราคา
สถานการณ์ของหม่าเวยเวยทั้งน่าหดหู่และยากเกินจะหาทางออก
ระหว่างนี้เองที่ต้นสังกัดของเธอพยายามอย่างหนักในการคิดหาวิธีหากแต่โชคกลับไม่เข้าข้างพวกเขาแม้แต่น้อย
นี่เป็นผลที่ตามมาจากการอาศัยกระแสของถังหนิง มีได้ก็ต้องมีเสีย และย่อมตกลงมาในไม่ช้าก็เร็วเมื่อไปขี่หางของคนอื่น หม่าเวยเวยสมควรที่จะโดนอย่างนี้แล้ว
เพราะหม่าเวยเวยการกระทำของเธอเมื่อเร็วๆ นี้ ต้นสังกัดจึงเริ่มไม่พอใจเธอ อย่างไรพวกเขาก็รู้มาตลอดว่าเธอคงจะอยู่ได้ไม่นาน พวกเขาแค่นึกไม่ถึงว่ามันจะสั้นถึงเพียงนี้
ถังหนิงไม่จำเป็นต้องลดตัวมาจัดการทำลายตัวปลอมคนนี้ เธอไม่จำเป็นต้องมาให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าหม่าเวยเวยจะพยายามวางแผนเล่นงานเธอเท่าไรก็ตาม
“สถานการณ์ของหม่าเวยเวยถึงขีดจำกัดแล้วนะ เธอไม่มีโอกาสที่จะได้ขึ้นไปอยู่ชั้นแนวหน้าแล้ว เพื่อชดเชยความเสียหายของเรา คุณต้องแนะนำเวยเวยให้คนใหญ่คนโตในวงการบ้างนะ รู้ใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”
เมื่อได้ยินเจ้านายพูดดังนี้ ผู้จัดการของหม่าเวยเวยก็พยักหน้ารับ “ค่ะ ฉันเข้าใจ”
“ดี”
อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าผู้จัดการของเธออาจดูซื่อบื้อแต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนเจ้าแผนการคนหนึ่ง
อีกเหตุผลที่เธอยินดีที่จะทิ้งหม่าเวยเวย เพราะรู้ว่าถังหนิงมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าก่อนหน้านี้หันซิวเช่อกับหม่าเวยเวยแอบนัดพบกัน ในเมื่อเธอไม่มั่นใจว่าระเบิดเวลานี้จะหมดเวลาเมื่อไร เธอจึงต้องหนีออกไปให้เร็วที่สุด
หม่าเวยเวยไม่รู้ว่าต้นสังกัดของตัวเองได้ทิ้งเธอแล้ว เธอยังคงคิดว่าตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบกับพวกเขา ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้จัดการมองไปที่เธอ บางครั้งสายตาก็ฉายแววสมเพชขึ้นมา
ความจริงแล้วเธอช่วยคิดหาทางออกให้หม่าเวยเวยด้วยซ้ำ
“ในเมื่อเก็บจู้ซิงมีเดียไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ทำไมเธอไม่ขายมันในตอนที่มันยังมีชื่อเสียงอยู่ล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำแนะนำของผู้จัดการ หม่าเวยเวยครุ่นคิดอย่างหนัก “แต่ฉันไม่ได้มีหุ้นทั้งหมดนะ”
“เธอก็แค่ขายที่มีอยู่ในมือเธอซะสิ!
“เธอควรทำในตอนที่ยังมีคนพูดถึงมันอยู่นะ ใครจะไปรู้ว่า มันอาจจะมีชื่อเสียงมากกว่านี้ก็ได้!”
หม่าเวยเวยชั่งใจระหว่างข้อดีข้อเสียของคำแนะนำจากผู้จัดการ และรู้สึกว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า “ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่จะได้เงินมาบ้าง ยังไงฉันก็ทำให้จู้ซิงมีเดียประสบความสำเร็จไม่ได้อยู่แล้ว เธอจัดการเรื่องนี้แทนฉันได้เลย ประกาศออกไปแล้วดูกันว่าใครจะสนใจบ้าง”
“โอเค” ผู้จัดการพยักหน้ารับ
หากแต่จู้ซิงมีเดียมีข้อดีอะไรบ้างล่ะ ทั้งซิงหลานกับลัวเซิงก็ย้ายไปอยู่ไห่รุ่ยแล้ว ผู้จัดการจึงรู้ว่าสิ่งเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่ก็คือลัวอิงหง
หากนี่เป็นธุรกิจที่ล้มละลาย คนอื่นก็อาจจะไม่สนใจมันแล้ว หากแต่นี่เป็นสิ่งที่ถังหนิงสร้างขึ้นมา มันจึงยังมีคุณค่าอยู่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ทว่าทันทีที่ผู้จัดการของหม่าเวยเวยประกาศขายหุ้น หม่าเวยเวยก็ได้รับสายจากหันซิวเช่อ “เห็นแก่เงินจนเสียสติไปแล้วหรือไง”
“ถ้าฉันเก็บไว้แล้วจะทำอะไรกับมันได้ล่ะ ฉันบริหารไม่เป็นหรอกนะ! อีกอย่างนะ หันซิวเช่อ คุณเองก็ยกมันให้ฉันแล้ว คุณไม่มีสิทธิ์มาสงสัยในสิ่งที่ฉันทำสักหน่อย!”
“สมองกลับหรือยังไง ถ้าขายจู้ซิงมีเดียไป คุณจะสูญเสียโอกาสทุกอย่างที่จะได้เกาะถังหนิงเลยนะ!”
“แค่เอาตัวรอดฉันยังทำไม่ได้เลย ทำไมฉันต้องสนใจเรื่องเกาะถังหนิงด้วยล่ะ” พูดจบ หม่าเวยเวยก็เขวี้ยงโทรศัพท์ด้วยความโมโห “ฉันจะขายมันซะ!”
แน่นอนว่าการตัดสินใจนี้คงลงเอยด้วยการกลายเป็นเรื่องน่าขบขันที่ทำลายตัวเธอเอง!