ภาคที่ 2 บทที่ 118 การประลอง (4)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 118 การประลอง (4)

หลังจากได้เข้าการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนแล้ว การประลองก็ไม่ใช่การประลองแบบคัดออกอีกต่อไป

ศิษย์ 200 คนจะได้รับอันดับตามผลการประลองครั้งก่อน หลังจากนั้นจะสามารถท้าประลองคนที่มีอันดับสูงกว่าได้

การท้าประลองมีกฎหลักอยู่สามข้อ

  1. สามารถท้าประลองคนเดิมได้เพียงวันละครั้ง

  2. วันหนึ่งไม่อาจท้าประลองเกิน 5 ครั้งได้ หากถูกท้าประลองเกิน 6 ครั้งก็มีสิทธิ์ตอบปฏิเสธ

  3. ไม่อาจท้าประลองผู้ที่มีอันดับสูงกว่าตนเองเกิน 10 อันดับได้

หากท้าประลองแล้วชนะ ก็จะสามารถชิงเอาอันดับอีกฝ่ายมาได้ ในขณะที่อีกฝ่ายจะถูกลดอันดับลงหนึ่งอันดับ

การประลองสิ้นปีนั้นกินเวลายาวนาน 8 วัน โดย 2 วันแรกใช้ตัดสินว่าศิษย์คนใดจะมีโอกาสก้าวสู่การจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน ส่วนวันที่เหลือเป็นการประลองไต่อันดับ

ซูเฉินไม่ได้เข้าการประลองสิ้นปีมาถึง 8 ปีติดต่อกัน ดังนั้นจึงไม่มีผลเมื่อครั้งก่อน

เขาจึงได้รับอันดับ 200 ไปโดยปริยาย

ตามกฎแล้วเขาต้องเป็นคนแรกที่ท้าประลอง

“เช่นนั้นข้าขอท้าประลองอันดับที่ 190” ซูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากค่อย ๆ สู้ไปเช่นนี้ เป็นไปได้เขาอยากทำให้จบ ๆ ไปเลยยังดีกว่า

หากแต่สถาบันมังกรซ่อนเร้นตั้งกฎ ห้ามไม่ให้ศิษย์ท้าประลองผู้มีอันดับสูงกว่าตนเกิน 10 อันดับเพื่อไม่ให้เกิดการท้าประลองไร้สาระ

หากต้องการบรรลุจุดประสงค์ ย่อมต้องทำไปทีละขั้น คล้ายกับการขึ้นเขา

จะขึ้นเป็นหนึ่งใน 20 อันดับได้ เขาจำต้องประลองอย่างน้อย 18 สนาม ทั้งยังไม่อาจแพ้เลยด้วย

“งานหนักไม่น้อย” ซูเฉินครุ่นคิด

เมื่อเป็นเช่นนั้น ซูเฉินจึงเริ่มต้นการผจญภัยขึ้นเขาของตนเอง

แม้วันหนึ่งจะสามารถท้าประลองได้เพียง 5 คน หากแต่ซูเฉินได้ขึ้นประลองมากกว่าวันละ 5 ครั้งเป็นแน่ ด้วยเมื่อเขาประลองชนะไปในครั้งแรก คนลำดับต่อไปก็มีสิทธิ์ท้าประลองเขา

เคราะห์ดีที่หลังการประลองทุกครั้งยังเหลือเวลาพัก ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

แต่ถึงกระนั้น เมื่ออันดับเริ่มสูงขึ้น แต่ละวันต้องประลองไม่น้อยกว่า 10 คน

เป็นการแข่งขันที่เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก คนส่วนมากเพียงประลอง 5 ครั้งก็แทบรับมือไม่ไหว ไม่ต้องกล่าวถึงการประลอง 10 ครั้งที่เขาต้องพบเจอ

2 วันถัดมา ซูเฉินก็เข้าสู่100 อันดับแรก สะท้านสะเทือนไปทั้งสถาบันมังกรซ่อนเร้น

ซูเฉินเอาชนะทุกคนจนไต่ขึ้นอันดับ 100 ในที่สุดก็ทำให้ผู้อื่นสำนึกว่าแท้จริงแล้วเขาแข็งแกร่งเพียงไหน ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามองเขาเป็นไก่อ่อนอีกต่อไป

หลาย ๆ คนเริ่มคาดเดาว่าสุดท้ายซูเฉินจะได้อันดับใด เดิมพันข้างชายหนุ่มที่เรือนทรัพย์มั่งคั่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ อัตราเดิมพันพนันว่าเขาจะติด 20 อันดับยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก1:8 ไปเป็น 1:2.5 ยิ่งอันดับซูเฉินเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อัตรานี้ก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน

วันนี้เป็นวันที่ 6 อันดับของเขายังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่ว่าผู้ใดที่สามารถขึ้น 100 อันดับแรกได้นับว่าแข็งแกร่งทั้งสิ้น ต่างคนต่างมีไพ่ตายซุกซ่อนไว้ กระทั่งซูเฉินยังรู้สึกว่าหากไม่ใช่ไพ่ตายตนเองยังเอาชนะแต่ละคนได้ยากเย็นนัก

ผู้ประลองอันดับ 90 คือชายหนุ่มถือดาบรบสีดำ สายเลือดของเขาคือค้างคาวเมฆดำ ยามต่อสู้สามารถปล่อยหมอกดำเพื่อบดบังทัศนวิสัยออกมาได้

ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงไม่ค่อยชอบเขานัก จะมีใครชื่นชอบการต่อสู้ที่มองไม่เห็นอันใดเลยกันเล่า ?

หากแต่การต่อสู้ท่ามกลางหมอกดำไม่เป็นผลแต่ซูเฉินอย่างใด ด้วยแต่ก่อนเคยตาบอด ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญการต่อสู้ในความมืดมาก ไม่นานศิษย์ผู้นั้นก็ถูกคลื่นพลังส่งบินออกจากหมอกดำและออกจากสนามไป

ซูเฉินพยายามคุมพลังตนเองอย่างดีเพื่อที่อีกฝ่ายจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป

หลังจากนั้นเขาก็เอาชนะการประลองอีกครา ไต่ขึ้นเป็นอันดับที่ 80

ผู้ชมการแข่งขันเบื้องล่างต่างพากันส่งเสียงพูดคุยไม่หยุด

“ชนะอีกแล้ว ! ประลองแต่ละคราไต่ไป 10 อันดับจนถึงอันดับที่ 80 แล้ว ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่อาจเมินเฉยได้”

“หรือเขาคิดปิดบังตนเงียบเชียบนานถึง 8 ปีเพื่อต้องการทำให้ทุกคนตกตะลึงในคราเดียวเช่นนี้ ?”

“ดูท่าพวกเราจะมองเขาผิดไป”

“แต่ข้าคิดว่าชัยชนะเขาคงต้องถึงจุดจบแล้วกระมัง”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”

“ไม่เห็นหรือว่าหลิ่วเยวี๋ยนท้าประลองเขาแล้ว ?”

พวกเขาคุยกันไป ชายหนุ่มถือดาบก็มาปรากฏตัวบนสนามประลอง ใบหน้าเย่อหยิ่งจ้องมองซูเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ

เขายังไม่เริ่มต่อสู้ในทันที เป็นเพราะตามกฎแล้ว เวลาพักของซูเฉินยังไม่สิ้นสุดลง

เหล่าผู้ชมการประลองทั้งหลายเริ่มส่งเสียงโห่ร้องเมื่อเห็นว่าบนสนามประลองคือชายหนุ่มถือดาบ

“หลิ่วเยวี๋ยน ? เป็นดาบประกาสิทธิ์หลิ่วเยวี๋ยน คนผู้นั้นอยู่อันดับที่ 39 ไม่ใช่หรือ ? เหตุใดจึงร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 80 ได้เล่า ?”

“เป็นเพราะการประลองก่อนหน้าเขาเอาแต่ยอมแพ้มาตลอด ไม่เคยท้าประลองคนอื่นเลย” อีกคนที่รู้เรื่องเอ่ยขึ้น

ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ซูเฉินไต่อันดับขึ้นมาเรื่อย ในขณะที่หลิ่วเยวี๋ยนกลับอันดับตกลงมาเรื่อย ๆ

เหล่าคนฉลาดหัวไวจึงเข้าใจเรื่องบางอย่างในพลัน “ดูท่าหลิ่วเยวี๋ยนจะหมายหัวซูเฉินไว้”

“ฮ่า ๆ คงมีเรื่องสนุกให้ดูเป็นแน่”

“ถูกต้อง ดาบประกาสิทธิ์หลิ่วเยวี๋ยนนั้นไร้เมตตา การโจมตีทุกคราโหดเหี้ยม หวังโจมตีรุนแรง หากหมายตาซูเฉินเช่นนี้ คงไม่ได้มีเจตนาดีแน่”

“ถูกต้อง ซูเฉินนี่โชคไม่ดีนัก ไปทำอันใดจึงล่วงเกินหลิ่วเยวี๋ยนเข้า ?”

“เมื่อเจอหลิ่วเยวี๋ยนก็คงหมดหวังได้ไปต่อ ชัยชนะน่าประหลาดใจครั้งนี้คงต้องจบลงตรงนี้แล้วกระมัง”

“เท่านั้นยังนับว่าดีแล้ว ! หากถูกหลิ่วเยวี๋ยนทำให้บาดเจ็บ จะรักษาอันดับไว้ได้หรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อาจตกจาก 100 อันดับได้เลยกระมัง !”

เหล่าผู้ชมยังคงส่งเสียงอื้ออึง สนทนากันต่อไป

หลิ่วเยวี๋ยนส่งยิ้มเย็นให้ซูเฉิน

เขาเอ่ยขึ้น “ข้าพลาดไปเสียแล้ว”

“หือ ?” ซูเฉินเลิกคิ้วสูง “พลาดอะไร ?”

อย่างไรเวลาพักก็ยังไม่หมด เขาจึงอยากพูดคุยกับอีกฝ่ายเสียหน่อย ดาบประกาสิทธิ์หลิ่วเยวี๋ยนเป็นชื่อที่เขาเคยได้ยินมาก่อน เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังที่มีอันดับติด 40 อันดับแรกอยู่ตลอด ตอนนี้ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 80 ทั้งยังท้าประลองซูเฉินเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทำเช่นนี้เพื่ออยากประลองกับซูเฉินโดยเฉพาะ

หลิ่วเยวี๋ยนเอ่ย “ข้าดูถูกเจ้ามากไป เดิมทีข้าคิดว่าเข้ามาถึง 100 อันดับก็คงเป็นที่สุดของเจ้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงยอมแพ้มาโดยตลอดเพื่อลดอันดับลงแล้วมาเจอกับเจ้าให้ได้ หากแต่การต่อสู้ที่ผ่านมาของเจ้า ท่าทางเชี่ยวชาญมีวิชา เห็นได้ชัดว่าซ่อนความสามารถไว้ ดังนั้นข้าคิดว่าตนเองเสียเวลาเปล่า ไม่จำเป็นต้องแพ้การประลองมากขนาดนั้นก็ได้ สักอันดับที่ 50 หรือ 60 ก็มาประจันหน้ากับเจ้าได้แล้ว ทีนี้จะเลยต้องท้าประลองอีกมากเพื่อชิงเอาอันดับเดิมกลับคืนมา สร้างปัญหาให้ตนเองล้วน ๆ”

“เป็นเช่นนั้นเอง ข้าก็นึกว่าจะบอกว่าพลาดเพราะเจ้าคิดมาหาเรื่องข้าเสียอีก”

หลิ่วเยวี๋ยนหน้าเครียดขึง “ซูเฉิน อย่าผยองให้มากนัก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อ่อนแอ แต่ใครใช้ให้เจ้าล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ? มีคนจ้างให้ข้ามาทำให้เจ้าพิการ ดังนั้นเจ้ามาได้แค่อันดับ 80 เท่านั้น อย่าได้คิดหนีเชียว เผชิญหน้ากับดาบประกาสิทธิ์โลหิตของข้าเช่นนี้ เจ้าไม่มีโอกาสได้ยอมแพ้ด้วยซ้ำ !”

พูดจบก็ดึงดาบออกจากฝักดาบแล้วชี้หน้าซูเฉิน

ตัวดาบสะท้อนแสงสีแดงออกมา

“ถามได้หรือไม่ว่าเป็นใครที่จ้างมา ?” ซูเฉินเอ่ยถาม

“หากอยากรู้ ก็คิดให้มากอีกสักหน่อยว่าเจ้าล่วงเกินผู้ใดไปบ้าง”

ซูเฉินได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ “ก็ได้ หากไม่บอกก็ตีเจ้าจนยอมก่อนก็ได้ จำไว้ว่าถ้าเจ้าทนไม่ได้เมื่อไหร่ให้ตะโกนชื่อออกมา”

จากนั้นเขาก็ลงมือ