บทที่ 119 การประลอง (5)
ตูม !
ระเบิดเหยี่ยวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้า มุ่งหน้าเข้าหาศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้จักวิชานี้” หลิ่วเยวี๋ยนยิ้ม
ดาบประกาสิทธิ์ของเขาเริงระบำกรีดผ่านอากาศ ส่งคลื่นพลังสีเลือดไปทั่วทุกทิศ ปะทะเข้ากับเหยี่ยวเพลิง เมื่อเหยี่ยวเพลิงถูกคลื่นดาบก็ระเบิดออก ถูกทำลายลงในดาบเดียว
“ดาบพิโมกข์สามารถลบล้างการโจมตีประเภทพลังได้” หลิ่วเยวี๋ยนเอ่ยเสียงหยิ่งยโส ชี้ดาบไปทางซูเฉิน “ข้าศึกษาเรื่องเจ้ามาแล้ว เจ้าเชี่ยวชาญวิชาโบราณอาร์คาน่า คิดจะชุบชีวิตทักษะต้นกำเนิดเหล่านี้ที่ถูกกาลเวลากลบฝังขึ้นมาหวังว่าจะเจอสิ่งใดงั้นหรือ ? แค่ใช้ดาบพิโมกข์ของข้าก็ทำลายการโจมตีของเจ้าได้แล้ว !”
นี่เป็นเหตุผลที่หลิ่วเยวี๋ยนกล้าดูถูกซูเฉินมากมายถึงเพียงนี้
ดาบพิโมกข์ของเขาคือศัตรูคู่อาฆาตของวิชาโบราณอาร์คาน่าของซูเฉิน
ดาบสีโลหิตยังคงทิ่มแทงมาทางซูเฉินต่อไปหลังจากทำลายระเบิดเหยี่ยวเพลิงลง ปลายดาบสั่นสะท้านยามกรีดผ่านอากาศ ปล่อยคลื่นดาบออกมาไม่หยุด คลื่นพลังเคลื่อนไหวดั่งพายุเข้าปกคลุมร่างซูเฉิน
“เจ้าคิดจะใช้ดาบนั้นอย่างเดียวเลยหรือ ?” ซูเฉินกำหมัดแน่น
วินาทีที่คลื่นพลังซัดปะทะร่างซูเฉิน เขาก็คำรามเสียงดังออกมา
ราวกับมีเสียงฟ้าคำรามลั่นอยู่ข้างหูหลิ่วเยวี๋ยน กลิ่นอายซูเฉินพลันแปรเปลี่ยน คลื่นพลังไร้ขอบเขตไหลพล่านในร่าง มาพร้อมกับแรงกดดันยากจะทานทน
เขาจ้องหลิ่วเยวี๋ยน นัยน์ตาเป็นประกายดั่งหมู่ดาวพร่างพราว สีหน้าดูถูกอีกฝ่าย
หลิ่วเยวี๋ยนสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนจะปัดความรู้สึกตกใจทิ้งไป
ไม่ว่าเจ้าจะมีดีอะไร อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับดาบประกาสิทธิ์หลิ่วเยวี๋ยน !
คลื่นพลังวุ่นวายที่ดาบสีโลหิตปล่อยออกมามีเพิ่มมากขึ้น สร้างคมดาบมากมายกรีดผ่านอากาศไปยังซูเฉิน
พริบตานั้นเอง คลื่นพลังในร่างซูเฉินพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แสงสีทองแวววาวเริ่มเปล่งออกจากร่าง
ซูเฉินก้าวขึ้นหนึ่งก้าวแล้วส่งหมัดออกไป
คลื่นพลังปราณระเบิดออกจากหมัดนั้น แรงระเบิดเร่งความเร็วผ่านอากาศ ส่งคลื่นพลังปราณปะทะเข้ากับดาบของหลิ่วเยวี๋ยน ทำให้หลิ่วเยวี๋ยนพบว่าตนไม่อาจวาดดาบได้อีก เขารู้สึกราวกับตวัดดาบสู้กับภูผาแกร่ง คลื่นพลังหนักหน่วงดั่งภูผาลบล้างการโจมตีของเขาจนสิ้น การโจมตีอันดุดันนี้กดดาบของเขาไว้จนไม่อาจใช้การได้
ตูม !
หลิ่วเยวี๋ยนกระเด็นไป ระหว่างที่ลอยอยู่ในอากาศก็ถูกพลังซัดจนหมุนตลบหลายครา ไม่นานก็ร่วงลงพื้นสนามประลอง
เขายังไม่ถูกโจมตีจนกระเด็นออกนอกสนาม แต่นั่นก็เป็นเพราะซูเฉินไม่ต้องการให้เขาพ่ายแพ้ไปตอนนี้เท่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไร ?” หลิ่วเยวี๋ยนจ้องซูเฉินด้วยความตกตะลึง
แสงสีทองเรืองแวววาวออกจากกายซูเฉิน มันเป็นสีที่เปล่งออกมาหลังเปิดใช้วิชาเกราะรบเหล็กกล้า หากแต่นี่ก็ไม่ใช่เพราะเกราะรบเหล็กกล้าอย่างเดียวเท่านั้น
ยังมีคลื่นพลังสีขาวหมุนเวียนอยู่รอบกายซูเฉิน ซึ่งเมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็จะพบว่านี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแกร่งที่เพิ่มขึ้นของซูเฉิน
วิชาขุนเขากล้า !
เกราะรบเหล็กกล้าเมื่อใช้รวมกับวิชาขุนเขากล้าก็สามารถเปลี่ยนซูเฉินจากนักเวทย์โจมตีระยะไกลให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดได้ในพลันแล้ว !
ซูเฉินย่ำเท้าไปด้านหน้า ใช้ดาบอัสนีบาตฟันใส่หลิ่วเยวี๋ยน
ตูม !
คมดาบสะท้อนล้อแสง เฉือนผ่านอากาศไปยังหลิ่วเยวี๋ยน
หลิ่วเยวี๋ยนยกดาบขึ้นหมายจะปัดป้องการโจมตีนั้น สองแขนพลันรู้สึกถึงพลังปะทะหนักหน่วงรุนแรง ไม่อาจต้านทานไหว ตู้ม ! คลื่นพลังระเบิดออก ส่งร่างหลิ่วเยวี๋ยนกระเด็นไปอีกครั้ง ทำให้หลิ่วเยวี๋ยนแทบไม่อยากเชื่อตนเองว่าซูเฉินมีพลังมหาศาลเพียงไหน
เขาคิดอยากถอย หากแต่ตอนที่ร่างกำลังลอยอยู่นั่นเอง ซูเฉินก็คว้าร่างเขาไว้ “กลับมานี่”
ตู้ม !
หลิ่วเยวี๋ยนถูกฝ่ามือซูเฉินซัดร่าง ส่งให้ร่วงลงปะทะพื้นสนามอย่างแรง
หลิ่วเยวี๋ยนเข้าใจในที่สุดว่าตนเองทำสิ่งใดผิดพลาดไป
ซูเฉินนั้นเชี่ยวชาญวิชาโบราณอาร์คาน่าอย่างแท้จริง แต่ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยของเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน อีกทั้งยังนับว่าแข็งแกร่งกว่าคนส่วนมากอีกด้วย
หลิ่วเยวี๋ยนรู้ว่าตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทันใดนั้นดาบสีโลหิตก็พลันเปล่งแสงเรืองขึ้น
“ดาบอำพันจรัสแสง !” หลิ่วเยวี๋ยนเสือกดาบเข้าไปอีกครา
แสงประกายพร่าวพราวออกจากตัวดาบ สะท้อนเข้าตาซูเฉิน ทันใดนั้นเสียงประหลาดคล้ายเสียงเสื้อฉีกขาดก็ดังขึ้น
ใบหน้าหลิ่วเยวี๋ยนบิดเบี้ยวไปด้วยความดุร้าย
เจ้าคิดว่าข้ารับมือง่ายหรือ ? ข้าจะควักลูกตาเจ้าออก แล้วเดี๋ยวจะได้รู้กันว่าเจ้าจะยังหยิ่งผยองพองขนไปได้อีกสักเท่าไร !
แสงเรืองจากดาบส่องเป็นคลื่นออกมา พลังคลื่นดาบถูกส่งออกมาพร้อมกับแสงสว่างที่เปล่งจ้า
หลิ่วเยวี๋ยนมั่นใจในดาบอำพันจรัสแสงของตนมาก ระยะเท่านี้ไม่อาจมีใครหลบดาบทัน มีเพียงต้องฝืนรับดาบไปเท่านั้น
ซูเฉินเพิ่งจะทุ่มพลังต้นกำเนิดจำนวนมากเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างไป ไม่อาจสร้างเกราะป้องกันได้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรับการโจมตีนี้ได้แน่
พริบตานั้นหลิ่วเยวี๋ยนก็เห็นว่าตนแทงเข้าที่ตาของซูเฉินได้ สำเร็จภารกิจที่ตนได้รับมาในที่สุด
ฟ้าว !
หากแต่ดาบของเขากลับตัดผ่านเพียงอากาศ
ไปไหนแล้ว ?
หลิ่วเยวี๋ยนชะงักค้างไป
แย่ล่ะ !
เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้น แรงปะทะหนักหน่วงหนึ่งก็ถูกส่งมาที่หลัง ส่งร่างเขากระเด็นลอยไป
วิชาเคลื่อนกาย
หลิ่วเยวี๋ยนพลันได้สติ บัดซบ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าซูเฉินมีทักษะต้นกำเนิดประเภทนี้ด้วย ?
หลิ่วเยวี๋ยนร่างกระแทกลงกับพื้น กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง
ซูเฉินย่างกรายเข้ามาอีกครา รอบหมัดมีลมหมุนวนเวียนเยียบเย็น จากนั้นเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พูด ใครจ้างให้เจ้ามาจัดการข้า ?”
“ข้า……” หลิ่วเยวี๋ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ” ซูเฉินกำหมัดแน่นแล้วส่งหมัดออกไป
บัดซบ ข้ายังคิดไม่ทันจบ ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะไม่บอกเจ้า ?
หลิ่วเยวี๋ยนยกดาบขึ้นป้องกัน ความหยิ่งผยองที่เคยมีหายไปจนสิ้นเมื่อต้องต่อสู้เอาชีวิตรอด เขาตวัดดาบออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ปล่อยคลื่นพลังมหาศาลที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมา
ตู้ม !
หนึ่งดาบหนึ่งหมัดเข้าปะทะกัน คลื่นพลังระเบิดออกกระจายไปรอบทิศ
คลื่นดาบปะทะร่างซูเฉิน ส่งผลให้เกิดบาดแผลเปิดขนาดเล็กทั่วร่าง หลิ่วเยวี๋ยนยังถอยไม่หยุด ทั้งยังกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา
ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูเฉินไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไป ส่งอีกหนึ่งหมัดปะทะร่างหลิ่วเยวี๋ยน
ดาบสีโลหิตยังคงเสือกออกไปอย่างดุร้าย ในขณะที่หมัดของซูเฉินเองก็พุ่งออกไปเช่นกัน ส่งผลให้คลื่นดาบถูกทำลายจนค่อย ๆ สลาย ในขณะที่หมัดสีขาวดั่งเหล็กอันเกิดจากเกราะรบเหล็กกล้าก็เริ่มถูกทำลายด้วยคลื่นดาบขนาดใหญ่เช่นกัน ทิ้งไว้เพียงรอยแผลนับไม่ถ้วนไว้
ทั้งเลือดทั้งเนื้อถูกฟันแทงจนแทบหลอมรวมกัน
พลังหมัดยังคงพุ่งเข้าต่อไป ในที่สุดก็ปะทะร่างหลิ่วเยวี๋ยน
ดังนั้นหลิ่วเยวี๋ยนจึงรีบใช้เกราะ ทว่าพลังจากหมัดก็ส่งผลให้เกราะเขาสั่นสะท้านรุนแรง
ซูเฉินส่งหมัดออกไปอีก 13 ครั้ง
ร่างชายหนุ่มเลือดชุ่มไปทั่วจากดาบนับไม่ถ้วนของหลิ่วเยวี๋ยน หากแต่เมื่ออีกฝ่ายถูกหมัดจากเขาไปไม่หยุด ในที่สุดเกราะของหลิ่วเยวี๋ยนก็ไม่อาจต้านทานได้ แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ
หมัดซูเฉินปะทะเข้ากับอกหลิ่วเยวี๋ยน โลหิตกระฉูดขึ้นฟ้า
“ข้ายอม……” หลิ่วเยวี๋ยนกู่ร้องขึ้นด้วยความกลัว
หากแต่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ดาบอัสนีบาตของซูเฉินก็ซัดลงมา เสียงฟ้าคำรามดังกลบเสียงสุดท้ายของเขา ปะทะเข้าร่างหลิ่วเยวี๋ยน ส่งร่างเขาลอยกระเด็นไป
ซูเฉินตามไปติด ๆ มอบลูกเตะกลางอากาศให้อีกครา
ซี่โครงหลิ่วเยวี๋ยนหักจากลูกเตะนี้ ร่างเขายังคงหมุนคว้างกระเด็นไปไกลไม่หยุด
ครั้งนี้ซูเฉินไม่หยุดหลิ่วเยวี๋ยน ทำให้ร่างเขากระเด็นออกนอกสนามไปในที่สุด
เมื่อเห็นว่าหลิ่วเยวี๋ยนร่างหล่นกระแทกพื้น ซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “อย่างเจ้าว่า เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้ยอมแพ้ด้วยซ้ำ”