บทที่ 120 ลอบสังหาร
นานแล้วที่ซูเฉินไม่ได้ต่อสู้จนสมใจเช่นนี้
นี่นับเป็นลักษณะพิเศษของทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย หากสู้กันโดยใช้วิชาโบราณอาร์คาน่า การต่อสู้ก็คงน่าตื่นเต้นพอประมาณ ทว่าก็คงไม่อาจเรียกความตื่นเต้นสมใจได้ถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นว่าหลิ่วเยวี๋ยนพ่ายแพ้ไป ฝูงชนก็ส่งเสียงอื้ออึ้งขึ้นอีกครา
เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ดาษดื่นทั่วไป แต่เป็นหลิ่วเยวี๋ยนที่มีอันดับติด 1 ใน 40 อันดับของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน แต่กลับถูกซูเฉินตีเสียจนต้องยอมแพ้
หลายคนเริ่มยอมรับว่าพวกตนดูถูกซูเฉินเกินไป
อีกทั้งดูถูกเกินไปไม่น้อย แต่ดูถูกมากเกินจะกล่าว
ชายหนุ่ม 2 คนยืนอยู่ใต้ต้นหลิว กำลังมองภาพการต่อสู้อยู่
ชายหนุ่มร่างสูง บนหลังแบกดาบขนาดใหญ่เกินตัวไว้ เสื้อเปิดเห็นอกอยู่ครึ่งหนึ่งเอ่ยขึ้น “แม้จะเอาชนะหลิ่วเยวี๋ยนได้ แต่บาดเจ็บไม่ใช่น้อย ดูท่าหลิ่วเยวี๋ยนคงจะทำให้เขาเค้นพลังทั้งหมดออกมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ที่สุดแล้วคงได้เพียง 1 ใน 30 อันดับ”
ชายหนุ่มชุดม่วงที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “ต้วนเจียงซาน อย่าลืมวิชาโบราณอาร์คาน่าของเขาสิ ดาบพิโมกข์ของหลิ่วเยวี๋ยนสามารถสยบวิชาโบราณอาร์คาน่าได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่น ๆ จะสามารถทำได้ หากซูเฉินรวมวิชาโบราณอาร์คาน่าเข้ากับทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย ไม่แน่ว่าอาจไปได้สูงกว่านั้น”
“เขาก็ทำเช่นนั้นแล้ว เขาใช้วิชาเคลื่อนกายตอนต่อสู้กับหลิ่วเยวี๋ยน คงจะเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าแน่ ในเมื่อมีเพียงแต่วิชาเช่นนั้นที่ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณสามารถใช้ได้”
“คงจะเป็นจุดแข็งของคนผู้นี้กระมัง วิชาของเขานั้นซับซ้อนนัก แต่ก็ไม่นับว่าแปลก อย่างไรคนไร้สายเลือดที่ไม่ได้มีทักษะต้นกำเนิดทรงพลังใช้ ก็ได้แต่เอาจำนวนวิชาเข้าสู้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งเท่านั้น”
“แม้จะมีวิชานับพัน ข้าตวัดดาบคราหนึ่งก็กำจัดพวกมันจนสิ้นได้ หากไร้วิชาสะท้านสวรรค์สยบปฐพี มีทักษะต้นกำเนิดมากมายแล้วได้อันใด ?” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยเสียงดูถูก จากนั้นหันหลังทำท่าจะเดินจากไป “ไปเถอะ เจียงซีสุ่ย ข้าคิดว่าเจ้านั่นหลบมา 8 ปีเต็ม น่าจะมีของดีสักหน่อย แต่ดูท่าจะมีแค่เท่านี้ อย่างไร 1 ใน 3 อันดับปีนี้ก็คงไม่เปลี่ยนคน คือข้า เจ้า แล้วก็เหอนิ่วหลิว”
น้ำเสียงที่เอ่ยเจือแววผิดหวัง
“จะไม่ดูแล้วหรือ ? ไม่แน่ว่าเจ้านี่อาจจะซ่อนสิ่งใดไว้อีกก็เป็นได้” ชายหนุ่มชุดม่วงเอ่ย
“ไม่จำเป็น ในเมื่อหลิ่วเยวี๋ยนยังพ่ายแพ้ก็คงไม่มีใครกล้าท้าเขาประลองแล้ว จับตามองกู่ชิงลั่วดีกว่า อย่างไรนางก็มาจากตระกูลกู่ สมควรจับตามองไว้ให้ดี”
เจียงซีสุ่ยขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกว่าคนตระกูลกู่เป็นคนที่สมควรจับตามองจริง ๆ”
ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่สุดท้ายก็เดินจากไปพร้อมต้วนเจียงซาน
ต้วนเจียงซานกล่าวอย่างหนึ่งได้ถูกต้อง ความพ่ายแพ้ของหลิ่วเยวี๋ยนแสดงให้คนอื่น ๆ เห็นถึงความแข็งแกร่งของซูเฉิน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าท้าซูเฉินประลองอย่างไม่ประมาณตนอีกต่อไป
ดังนั้นการต่อสู้ครั้งต่อมาของซูเฉินจึงผ่อนคลายไม่หนักหน่วงมาก คนที่เขาท้าประลองสองคนยอมแพ้ไปทั้งที่การต่อสู้ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
ไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นอีก ในที่สุดซูเฉินก็ไต่ขึ้นเป็นหนึ่งใน 50 อันดับ
ไป๋อี่หงโกรธแค้นยิ่งนัก
แต่ไม่ว่าจะโกรธเคืองอย่างไรก็ไร้ค่า แม้หลิ่วเยวี๋ยนจะทำงานไม่สำเร็จ แต่ก็บาดเจ็บหนัก ไป๋อี่หงต้องจ่ายให้อีกฝ่ายบ้าง ไม่เช่นนั้นหากหลิ่วเยวี๋ยนไม่พอใจแล้วบอกซูเฉินว่าเป็นไป๋อี่หงที่จ้างวานให้ทำเช่นนี้ เขาไม่รอดแน่
หลังจากการประลองเสร็จสิ้นแล้ว ซูเฉินก็ไม่คิดจะดูคนอื่นประลองต่ออีก ดังนั้นจึงกลับหอพลังต้นกำเนิดไปเพียงลำพัง
สำหรับชายหนุ่มแล้ว การเข้าร่วมการประลองสิ้นปีก็เพื่อทำตามคำสั่งอาจารย์เท่านั้น อย่างไรเขาก็ยั่งมุ่งหน้าทำการค้นคว้าทดลองของตนเองต่อไป
ยามเขาเดินไป ตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง เขาก็เดินเข้าใกล้ป่าไผ่เข้ามาทุกครา ถัดจากผ่าไปก็จะถึงหอพลังต้นกำเนิด
ซูเฉินกำลังจะเดินเข้าไป หากแต่สายตากลับเห็นแมวดำตัวหนึ่งเผยตัวออกมา
ขนดำของแมวตัวนั้นมันวาว นัยน์ตาสีเขียวหยกสว่างเรืองรอง มันนอนหมอบอยู่ในป่าไผ่ จ้องมาทางซูเฉินนิ่ง
ซูเฉินเห็นแล้วก็หัวเราะ “เจ้ามาจากไหนกัน ?”
พูดแล้วเขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวมัน
แต่ตอนที่เขาก้มตัวลงหมายจะลูบหัวมันนั่นเอง เจ้าแมวดำก็ตะปบกรงเล็บใส่ ซูเฉินไม่ใส่ใจ เพียงหลบกรงเล็บมันตามปกติเท่านั้น หากแต่ยามเอี้ยวตัวหลบกลับพบว่ากรงเล็บนั้นเพิ่มความเร็วขึ้น จุดหมายคือที่ใบหน้าของซูเฉิน เขาพลันรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่างอาบไปทั่วร่าง
เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ซูเฉินรีบเอนตัวไปด้านหลัง เร่งความเร็วจนสุด หลบกรงเล็บแมวเกือบไม่พ้น
กรงเล็บนั้นเฉือนผ่านใบหน้าเขาไปเพียงนิด ทิ้งรอยเลือดสามทางไว้ คลื่นพลังทะลุทะลวงพลุ่งพล่านเข้ามาในร่าง ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาได้รับบาดเจ็บ
แต่ก็ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ยามเขาหลบกรงเล็บ ซูเฉินก็ได้ยินเสียงลมประหลาดพัดหวีดหวิว
เสียงลมนั้นค่อยมาก หากไม่ใช่เพราะซูเฉินฝึกทักษะการฟังมานานถึงสิบปีก็คงไม่อาจได้ยิน
เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง หากแต่ทิศทางของมันพุ่งตรงมาทางเขา
มีคนซุ่มโจมตี !
ซูเฉินเพิ่งหลบกรงเล็บแมวมาได้ แต่ตอนนี้เท้าทั้งสองยังไม่แตะถึงพื้น ไม่อาจใช้พลังใดได้
หากแต่การโจมตีนั้นส่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่อาจหนีไปทางไหนได้อีก !
ในจังหวะสำคัญนั้นเอง ซูเฉินก็ยกหมัดขึ้นแล้วส่งหมัดหนึ่งออกไป !
ตู้มมม !!!
เสียงฟ้าคำรามลั่นระเบิดออกจากหมัดของซูเฉิน
คล้ายกับเสียงของดาบอัสนีบาตแต่กลับไม่ใช่
เสียงระเบิดฟ้าคำรามเมื่อครู่ไม่ได้มาจากดาบอัสนีบาต หากแต่เป็นผลมาจากการระเบิดของพลังต้นกำเนิดที่ถูกบีบอัดจนขั้นสุดต่างหาก
เคร้ง !!
หมัดของเขาปะทะเข้ากับวัตถุที่กำลังพุ่งเข้ามา
คือดาบ
ดาบสีดำเล่มบางเล่มหนึ่ง
ดาบเล่มนี้เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่คมอย่างเหลือเชื่อ
แรงปะทะระหว่างดาบและหมัดของซูเฉินแผ่คลื่นพลังรุนแรงออกรอบทิศ
หลังจากปะทะกันเพียงชั่วครู่ ดาบเล่มบางสีดำก็บังเกิดรอยแตกขึ้น
รอยแตกเหล่านั้นกระจายตัวออกไปเรื่อย ๆ จนทั่วดาบ
เปรี๊ยะ !
จากนั้นมันก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เศษดาบกระจายไปทั่ว
เจ้าของดาบถึงกับใจหล่นวูบ
ดาบลอบสังหารของเขาถูกอีกฝ่ายทำลายในหมัดเดียวอย่างนั้นหรือ ?
หมัดดั่งเหล็กกล้าของเขายังคงทลายเศษดาบไปเรื่อย ๆ คลื่นพลังปะทะร่างอีกฝ่ายราวกับคลื่นยักษ์ซัดเข้าร่าง ส่งร่างเขาให้กระเด็นไปไกล
พริบตานั้นเท้าซูเฉินก็แตะพื้นในที่สุด หลบการโจมตีจากเจ้าแมวอีกทีแล้วคว้าคอมันไว้แน่น สายตาเหลือบมองรอบกาย
แถวนี้ไม่มีค่ายกลพลังต้นกำเนิด
ซูเฉินชะงักไป สงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีอาจารย์ผู้ดูแลอยู่สักคน แต่ไม่นานก็รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้เป็นช่วงการประลอง มีการต่อสู้อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ความผันผวนของพลังต้นกำเนิดนั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่ กระทั่งอาจารย์ผู้ดูแลยังไม่อาจตรวจจับได้ง่าย
ไม่แปลกที่มือสังหารเลือกลงมือในสถานที่นี้ พวกเขาเตรียมตัวมานานแล้ว
มือสังหารรอบคอบนัก คิดถึงจุดเล็กน้อยถึงเพียงนี้
คิดได้ดังนี้ เขาก็หันไปเผชิญหน้ากับคนที่คิดลอบโจมตีเขา
มือสังหารถูกหมัดของซูเฉินไปจนบาดเจ็บหนัก
เขานอนแผ่อยู่กับพื้นแล้วตะโกนขึ้น “เป็นไปได้อย่างไร ? เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ? นั่นมันวิชาอะไรกัน ? เหตุใดจึงสามารถทำลายดาบลอบสังหารของข้าในคราเดียวได้ ?”
เขาเห็นการต่อสู้ระหว่างซูเฉินกับหลิ่วเยวี๋ยน มั่นใจแล้วว่าแม้หมัดของซูเฉินจะทรงพลังมาก แต่ก็น่ามาถึงขั้นนี้
มากจนถึงขั้นทำลายเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 9 ได้ในหมัดเดียว
ความแข็งแกร่งเช่นนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว
เช่นนี้ไม่ใช่พลังที่คนด่านก่อเกิดลมปราณมีแม้แต่น้อย
ซูเฉินไม่ตอบ หากแต่สูดลมหายใจเข้าลึกแทน ตอนกำลังสูดลมหายใจอยู่นั้น หน้าครึ่งที่ไม่ถูกโจมตีก็ซีดขาวไปเล็กน้อย
ซูเฉินถอนหายใจเบาก่อนเอ่ย “ลงมือครั้งนี้เจ้าทำข้าเสียแรงไปไม่น้อย ตอบมาว่าเจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร ?”