ภาคที่ 2 บทที่ 121 สว่านทะลวงเกราะ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 121 สว่านทะลวงเกราะ

ซูเฉินคว้าร่างคนที่ลอบโจมตีเขา คิดจะหาอะไรคลุมหัวอีกฝ่ายแล้วหมายจะลากกลับไป แต่กลับปรากฏว่าดันพบเข้ากับคนที่เขาไม่เคยพบมาก่อน โดยคนคนนี้นั้น เขาน่าจะเป็นศิษย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น แต่ซูเฉินจำหน้าเขาไม่ได้

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจซูเฉิน เขาคว้ามือของคนผู้นั้น ทีหลังมือมีลายสลักหนึ่งอยู่ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ “คงได้รับการว่าจ้างให้มาสังหารข้ากระมัง ?”

ศิษย์ผู้นั้นจ้องซูเฉินด้วยความหวาดกลัว “ข้า……”

ซูเฉินเอ่ยตัดบท “เจ้าไม่ต้องบอกว่าใครสั่งเจ้ามาหรอก ข้าไม่อยากรู้”

เขาคว้าร่างศิษย์ผู้นั้นและแมวดำแล้วเดินทางกลับหอพลังต้นกำเนิด

เมื่อซูเฉินกลับไปยังหอพลังต้นกำเนิด กังเหยียนก็ออกมาต้อนรับ ก่อนเหลือบมองแมวและคนที่ซูเฉินลากมา “ใครหรือขอรับ ?”

“ตัวทดลองใหม่” ซูเฉินตอบ

ได้ยินแล้วกังเหยียนก็เผยรอยยิ้ม

ตัวทดลองคนก่อน หงหมิง ทนได้ไม่นานนัก ผ่านไป 3 ปีก็สิ้นใจ จากนั้นซูเฉินจึงไม่มีใครให้ทดลองวิชาอีก แม้ซูเฉินจะซื้อทาสมาใช้ทดลองได้ แต่เขาก็หมายจะทำตามความตั้งใจเดิม นั่นก็คือเขาจะนำคนที่หมายสังหารเขามาทำตัวทดลองเท่านั้น นับเป็นจุดที่สุดของเขา

เคราะห์ร้ายที่หลายปีมานี้ไม่มีใครคิดหาเรื่องเขาเท่าไร ดังนั้นจึงยังหาตัวทดลองที่เหมาะมือไม่ได้

วันนี้มีคนมาสักที ทั้งซูเฉินและกังเหยียนรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก

ในที่สุดการทดลองที่ต้องหยุดค้างมานานก็สามารถกลับมาทำต่อได้แล้ว

มือสังหารไม่รู้ว่าต่อไปตนต้องเจอกับอะไร ในใจยังมีหวังให้ซูเฉินเมตตาเขาบ้าง

โชคไม่ดีที่ซูเฉินไม่ได้ใส่ใจว่าใครส่งมือสังหารมาในครานี้ ไม่ใส่ใจว่าตอนนี้ตนเองมีค่าหัวเท่าไร เขาเพียงต้องการมนุษย์มาทดลองเท่านั้น

เขากระทั่งไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่ามือสังหารผู้นี้มีนามว่าอะไร

หลังจากลากมือสังหารเข้าห้องทดลอง และบังคับให้กินยาขวดใหญ่เข้าไปแล้ว ซูเฉินก็โยนร่างเขากองไว้ในหลุมดินก่อนจะกลับห้องไป

จากนั้นเขาก็คว้ายาสีเขียวหยกขึ้นมาจิบเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าซีดขาวของเขาเริ่มกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง

“นายท่านใช้สว่านทะลวงเกราะหรือ ?” กังเหยียนถามเมื่อเห็นสีหน้าซูเฉิน

สว่านทะลวงเกราะคือทักษะต้นกำเนิดที่หม่าเหรินเจ๋อเคยใช้

นับเป็นทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่ทรงพลังมาก สามารถทะลวงผ่านร่างหรือเกราะหนักได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าสว่านทะลวงเกราะ

แท้จริงแล้วทักษะต้นกำเนิดนี้สมควรจะฝึกได้หลังจากทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณแล้วเท่านั้น อีกทั้งยังกินพลังงานสูง หากแต่ซูเฉินสามารถทำลายข้อจำกัดตรงนั้นลงได้ ทำให้เขาสามารถใช้วิชานี้ได้แม้จะยังอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ

ทว่าข้อด้อยที่ร้ายแรงที่สุดของซูเฉินนั้นคือการที่เขาไร้สายเลือด ดังนั้นพลังจากทักษะต้นกำเนิดจึงมีจำกัด

แม้เขาจะพัฒนาระเบิดเหยี่ยวเพลิงขึ้นมาแล้ว พละกำลังของมันก็ทำให้เขาเทียบเท่าได้กับคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หากเขาต้องการแข็งแกร่งเหนือผู้เชี่ยวชาญมีสายเลือดก็ยังนับว่ายากแสนสาหัสนัก

หากซูเฉินต้องการทำลายข้อจำกัดทางสายเลือด เขาก็ยังจำเป็นต้องทะลวงผ่านระดับของทักษะต้นกำเนิดด้วย เขาจำต้องมีท่าสังหารที่เป็นของตนเอง ไม่ใช่เอาชนะคนอื่น ๆ ด้วยการใช้ทักษะต้นกำเนิดหลายวิชามาผสมรวมกัน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจึงพยายามลดข้อกำหนดในการใช้สว่านทะลวงเกราะมาโดยตลอด

สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ

หากเปรียบกำลังของระเบิดเหยี่ยวเพลิงกับหมีแล้ว ระเบิดเพลิงปักษาจะเทียบได้กับแรงจากหมี 12 ตัว ระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงเท่ากับหมี 18 ตัว ระเบิดเหยี่ยวเพลิงเท่ากับหมี 26 ตัว และระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงเท่ากับหมี 36 ตัว

ส่วนสว่านทะลวงเกราะนั้นแกร่งมาก เท่ากับหมีถึง 72 ตัว แกร่งเป็น 2 เท่าของเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุง หากวิเคราะห์จากความสามารถในการทำลายล้างของมัน จะนับว่าเป็นวิชาที่น่าเกรงขามมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจทำลายเครื่องมือต้นกำเนิดในการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้

แต่การใช้วิชาสว่านทะลวงเกราะแต่ละครั้งนั้นสร้างภาระหนักหน่วงให้ร่างกายมาก

จริง ๆ แล้วซูเฉินใช้ทักษะต้นกำเนิดนี้ด้วยการยอมเสียพลังชีวิตไป

โชคยังดีที่หากไม่ใช้มากเกินไป เขาก็ยังสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตด้วยการดื่มยาเสริมกำลังได้

“อืม เจ้านั่นไม่แข็งแกร่งเท่าไร่ แต่วางกับดักได้ดี ความมั่นใจของข้าเกือบทำให้ข้าพลาดท่า การวางกับดักลวงให้ผู้อื่นติดนั้นน่าสนุกนัก แต่หากเจ้าเป็นคนติดกับเสียเองคงไม่น่าสนุกเท่าไร ใช่แล้ว อวิ๋นเป้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”

กังเหยียนส่ายหัว “ชนะ 4 ครั้ง แพ้ 5 ครั้ง ดังนั้นจึงอยู่ที่อันดับ 37 กำลังนั่งเงียบขรึมอยู่ในห้องขอรับ”

“ขอรายการอันดับให้ข้าหน่อย”

กังเหยียนส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ซูเฉิน

เมื่อกวาดตาผ่านรายชื่อทั้งหลาย ใบหน้าคุ้นตาหลากหลายหน้าก็ผุดขึ้นในหัวซูเฉิน

เขามองดูอยู่นานก่อนเอยขึ้น “ดูท่าตอนนี้จะทำได้เพียงเท่านี้……”

ในเช้าวันที่ 7 การประลองสิ้นปีก็กลับมาอีกครั้ง

เป็นเช่นดังเดิม ซูเฉินท้าประลองอันดับที่ 40 หลังจากเอาชนะอีกฝ่ายไปได้อย่างง่ายดาย เขากลับไม่ได้ท้าประลองอันดับที่ 30 หากแต่เป็นอันดับที่ 34 แทน

คนผู้นั้นมีนามว่าหลงฮวน เป็นศิษย์สถาบันที่เอาชนะอวิ๋นเป้าไปได้เมื่อวันก่อน

เมื่อซูเฉินก้าวเท้าขึ้นสนามประลองก็ไม่เอ่ยคำใด ซัดระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงออกไปทันที

หลังจากพัฒนามันมาหลายปี ระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกเพลิงในการใช้วิชาอีกต่อไป

เหยี่ยวเพลิงขนาดยักษ์พุ่งออกไป เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้ หลงฮวนจึงถูกบีบให้ล่าถอย ดาบในมือตวัดผ่านอากาศ ปะทะเข้ากับระเบิดเหยี่ยวเพลิง เปล่งแสงสว่างจ้าออกมา

กับผู้ที่เป็น 1 ใน 40 อันดับนั้น นับว่าเป็นบุคคลที่สวรรค์สรรค์สร้าง ทั้งสัญชาตญาณ ความแข็งแกร่ง และประสบการณ์การต่อสู้นั้นเหนือกว่าศิษย์คนอื่น ๆ มาก

ดังนั้นหลงฮวนจึงไม่ใช่คนอ่อนแอ การเคลื่อนไหวมั่นคง ทุกดาบที่ตวัดลงส่งผลให้ลมปั่นป่วน แผ่กลิ่นอายดุดัน แม้จะยังอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ แต่ก็มีท่วงท่าสง่าผ่าเผย

เคราะห์ร้ายที่ต้องมาเจอกับซูเฉิน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทั้งสงบเยือกเย็นและมั่นคงเช่นนี้ ซูเฉินก็ถอนหายใจออกมา “ขออภัยด้วย”

พริบตาต่อมา ระเบิดเหยี่ยวเพลิงหลายลูกก็ผุดขึ้นในมือซูเฉิน

“นี่มัน……” หลงฮวนเบิกตามองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง

สกัดเหยี่ยวเพลิงลูกเดียวทำเขาเสียงกำลังไปมาก ตอนนี้ซูเฉินกลับส่งระเบิดเหยี่ยวเพลิงออกมาอีกสายหนึ่ง

แม้เหยี่ยวเพลิงเหล่านี้จะไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย แต่เขาไม่อาจต้านมันได้หมดแน่

เพียงไม่นาน เหยี่ยวเพลิงนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในมือซูเฉิน

หลงฮวนรู้ทันทีว่าตนเสียเปรียบ ไม่อาจปล่อยให้ซูเฉินสร้างระเบิดเหยี่ยวเพลิงหลายลูกเช่นนี้ต่อไปได้ ดังนั้นจึงตวัดดาบ ส่งคลื่นพลังบ้าคลั่งซัดเข้าใส่ซูเฉิน

นักรบย่อมต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อนยามประมือกับนักเวทย์

แต่กระนั้น ยามเขาซัดพลังออกมา นัยน์ตาซูเฉินก็ส่องประกายวาบ หลงฮวนรู้สึกคล้ายกับมีบางอย่างยับยั้งการเคลื่อนไหวร่างกายตนไว้จึงชะงักไปเพียงพริบตา แต่เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินวาดแขนออกไป “ไป ! ฝูงเหยี่ยว โจมตี !”

ฟ้าว ! เหยี่ยวเพลิงกลุ่มใหญ่ถูกซัดออกไปอย่างต่อเนื่อง กลืนกินคลื่นพลังของหลงฮวนจนหายไปสิ้น

แรงโจมตีจากฝูงเหยี่ยวส่งร่างหลงฮวนลอยไปไกล

ยามอีกฝ่ายหมดสติไป สิ่งสุดท้ายที่ผุดขึ้นในใจหลงฮวนคือ ช่างเป็นการโจมตีที่ทรงพลังเสียจริง เรื่องราวต่อจากนี้ไปคงจะซับซ้อนยิ่ง