ตอนที่ 377 แว้งกัด
“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด ! ที่ท่านแม่ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้า ! ”
อันหลิงอีเห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามาจึงเอ่ยประโยคที่หลี่ซื่อสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ข้าน่ะหรือ ? ”
“อีเอ๋อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ” อันอิงเฉิงก็สงสัยเช่นกันเพราะนักฆ่าตั้งใจมาสังหารเขานี่
“ท่านพ่อคงมิรู้ว่าเพราะท่านแม่ได้ยินสาวใช้ของพี่หญิงใหญ่คุยกัน นางจึงรีบวิ่งเข้าไปปกป้องท่านไว้เจ้าค่ะ ! ”
คุยกันหรือ ?
หมายความว่าสองแม่ลูกตั้งใจแว้งกัดนางหรือ ?
“ก่อนหน้านี้สาวใช้ข้างกายและข้าอยู่ที่เรือนของท่านย่าด้วยกัน มิทราบว่าน้องหญิงสามไปได้ยินตอนไหนและได้ยินจากที่ใด ? ” อันหลิงเกอก็มิยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน
หากนางยังขลาดกลัวเหมือนในชาติก่อน มิกล้ามีปากมีเสียง สองแม่ลูกคงบีบนางให้ตายอย่างแน่นอน
“พี่หญิงยังคิดแก้ตัวอีกหรือ ! ” อันหลิงอีกล่าวไปพลางเกาะแข้งเกาะขาอันอิงเฉิงไว้ด้วยท่าทางน่าสงสาร การแสดงของนางมิต่างจากหลี่อี๋เหนียงเท่าไร
“หากมิใช่เพราะคนของพี่หญิงกล่าวออกมา ท่านแม่จักรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ! หรือพี่หญิงสงสัยว่าท่านแม่ยอมใช้ชีวิตเพื่อเล่นละครตบตา ! ”
มิว่ากล่าวอย่างไรก็เอาดีเข้าตัวได้หมด ช่างวางแผนได้แยบยลและรอบคอบเสียจริง
หากคำเช่นนี้ยังกล้ากล่าวออกมาได้ แสดงว่าท่านพ่อคงมิได้สงสัยพวกนางจริง ๆ
“อีเอ๋อ…” หลี่ซื่อฟื้นขึ้นมาพอดี อันหลิงอีจึงร้องห่มร้องไห้ทั้งยังรีบไปหาทันที
“ท่านแม่เจ้าคะ ! ” สายสัมพันธ์แม่ลูกช่างแน่นแฟ้นเหลือเกิน !
อันหลิงเกอเพียงยิ้มเยาะออกมา จากนั้นก็สบเข้ากับแววตาของอันอิงเฉิง
“เจ้าตามข้ามา” อันอิงเฉิงมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่สุดท้ายก็ข่มอารมณ์ไว้ได้ก่อนเอ่ยปากกับอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธพร้อมเดินตามออกไปด้วยท่าทีสบาย
แต่ไหนแต่ไรมานางมิเคยเห็นด้วยกับความคิดที่ว่า ‘*ตัวตรงมิหวั่นเงาเฉเฉียง’ นางรู้ดีว่าต่อให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทว่าย่อมจักมีคนคอยจ้องทำร้ายอยู่ดี
ดังนั้นเรื่องทุกอย่างต้องสู้เพื่อตัวเองเท่านั้น !
“ก่อนที่ท่านพ่อจักกล่าวสิ่งใด ลองไปที่หนึ่งกับลูกดีหรือไม่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยขึ้น
อันอิงเฉิงแม้อยากสอบถามความจริงแต่ก็มิได้ปฏิเสธและก้าวตามบุตรีไป
“นี่คือ…” อันอิงเฉิงมิได้โง่ เมื่อเห็นกำแพงสีแดงก็รู้ได้ทันที เพียงแต่เมื่อครู่หลี่ซื่อบาดเจ็บอยู่ เขาจึงยังไร้โอกาสมาตรวจสอบก็เท่านั้น
“รอยเท้าที่ปรากฏบนพื้นยืนยันว่ามีคนภายในจวนร่วมมือกับคนนอกอย่างแน่นอน นี่เป็นแผนลอบสังหารที่วางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อ้อ มิใช่สิ ต้องบอกว่านี่คือละครฉากหนึ่งต่างหากเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอหัวเราะออกมาเบา ๆ และก้าวออกจากดินชื้นแฉะ
“นี่เป็นแค่การคาดเดาของเจ้าเท่านั้น ! ”
แค่ถ้อยคำนี้ของอันอิงเฉิงก็แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของเขาแล้ว
เขามิได้สงสัยอันหลิงเกอและมิได้สงสัยหลี่ซื่อสองแม่ลูก เขายังคงวางตัวเป็นกลาง
“ท่านพ่อน่าจักเข้าใจทุกอย่างดีที่สุด และตอนนี้ภายในจวนมิมีผู้ใดจำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนี้เพื่อเอาชนะใจท่านพ่อเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอพูดมาก็มีเหตุผล หากกล่าวถึงแรงจูงใจแล้วคนในจวนล้วนถูกตรวจสอบประวัติโดยละเอียดตั้งแต่เข้ามาในจวน ตามหลักแล้วจึงไร้คนคิดมิซื่ออยู่ในจวนโหว
เช่นนั้นหากบอกว่าเป็นละครฉากหนึ่งจึงสมเหตุสมผลเสียมากกว่า
“ที่จริงแล้วการลอบสังหารท่านพ่อภายในจวนมิใช่สถานที่ดีเลย ท่านพ่อเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะ ? ”
จุดนี้อันหลิงเกอก็เอ่ยได้ตรงประเด็นเช่นกัน
ทุกเวลาที่เขาจักเข้าวัง ระหว่างทางมักมีทางเดินที่สงบเงียบเล็ก ๆ อยู่
นี่เป็นความตั้งใจตอนที่สร้างจวนในแรกเริ่ม เพื่อให้คนในจวนได้เดินทางอย่างสงบมิต้องคอยหลบฝูงชนโดยรอบจึงมีเส้นทางเช่นนี้อยู่
และทางเส้นนั้นเหมาะสมที่สุดหากต้องการลอบสังหาร
“นางถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตช่วยพ่อ แล้วพ่อจักสงสัยนางได้อย่างไร ? ” คำที่กล่าวออกมาของอันอิงเฉิงบอกให้รู้ว่าตอนนี้ในใจของเขาเริ่มเกิดความลังเล แค่ฝืนยืนกรานว่าหลี่ซื่อมิผิดก็เท่านั้น
อันหลิงเกอส่ายหน้าและมิได้กล่าวเรื่องนั้นต่อ
“หากท่านพ่อเชื่อเกอเอ๋อก็ร่วมแสดงละครกันสักฉากดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอเห็นสีหน้าของอันอิงเฉิงดูลังเลจึงเดินเข้าไปหาแล้วกระซิบแผนการของนางออกไป
“นี่…หากท่านย่ารู้เข้าอาจตกใจได้” อันอิงเฉิงคิดไปคิดมาก็มีเพียงเรื่องนี้ที่น่าเป็นห่วง
ส่วนเรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องภายในจวน มิมีทางแพร่งพรายออกสู่ภายนอกได้อย่างแน่นอน
“เกอเอ๋อแค่อยากรู้ว่าใครมีใจคิดร้ายต่อท่านพ่อกันแน่เจ้าค่ะ”
คำพูดของอันหลิงเกอทำให้อันอิงเฉิงสั่นคลอนมิน้อย ท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าตกลง
“นายหญิงหลี่ คุณหนูสาม ที่สวนเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินเสียงของสาวใช้ อันหลิงอีจึงรีบออกไปดูทันที นางอยากรู้จริง ๆ ว่าครั้งนี้อันหลิงเกอจักแก้ตัวว่าอย่างไร
“นางลูกอกตัญญู ! ”
ฝ่ามือนั้นฟาดบนใบหน้าของอันหลิงเกอ ท่าทีของนางยังสงบนิ่ง เพียงเซถอยหลังไปก่อนจักล้มลงพื้นเท่านั้น
“ท่านพ่อ เกอเอ๋อถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ เกอเอ๋อมิได้ทำ ! ” อันหลิงเกอได้เห็นการแสดงของหลี่อี๋เหนียงเป็นประจำจึงเรียนรู้วิธีของพวกนางและนำมาใช้บ้าง
ทว่ายามที่แสร้งทำตัวน่าสงสาร นางก็นึกรังเกียจที่ต้องเอาตนไปเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายเหลือเกิน
“เจ้ากล้าลอบสังหารพ่อหรือ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งเสียจริง ! พวกเจ้า…”
“หยุดก่อน ! ” ในตอนนั้นเองเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าก็ดังขึ้นมา
อันหลิงเกอแอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว นางมิได้บอกท่านย่าไว้ก่อนจึงมิรู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ท่านย่าโกรธท่านพ่อหรือไม่
อันหลิงอีที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก็เชื่อว่าครั้งนี้แม้แต่ท่านย่าก็มิมีทางเข้าข้างอันหลิงเกอแน่นอน
“เกอเอ๋อทำสิ่งใดผิด โหวอันจึงทำกับนางถึงเพียงนี้ ! ” เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าดังกังวานทำให้อันหลิงเกอรู้สึกปวดใจขึ้นมา
ภายในจวนนี้ผู้ที่เป็นห่วงนางจริงก็มีเพียงท่านย่า แม้นี่เป็นการเล่นละครตบตา แต่นางก็รู้สึกดีใจที่ท่านย่าเป็นห่วงอย่างมาก
“ท่านแม่คงยังมิทราบว่านักฆ่าที่บุกเข้ามาวันนี้เป็นนางลูกอกตัญญูวางแผนทั้งหมดขอรับ ! ” ท่าทางของอันอิงเฉิงสมจริงมาก
“ขอข้าคุยกับเกอเอ๋อก่อน ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าเดินมาหาอันหลิงเกอแต่มิได้ประคองนางขึ้น เพียงก้มมองเท่านั้น
“ท่านย่า…เกอเอ๋อผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอคุกเข่าแล้วจับที่ปลายชุดคลุมของฮูหยินผู้เฒ่าไว้ จากนั้นก็อาศัยความใหญ่ของเสื้อคลุมช่วยปิดบังสีหน้าที่ส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า
“ช่างเถิด เอาตัวให้ท่านโหวจัดการก็แล้วกัน ! ” ผ่านไปครู่หนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าจึงเข้าใจทุกอย่างและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ลูกทราบแล้วขอรับ ! ” อันอิงเฉิงกล่าวจบก็หันไปถลึงตาใส่อันหลิงเกอ
“พวกเจ้า เอาตัวนางไปขังไว้ในคุกของจวนและเรื่องนี้ห้ามรู้ถึงหูคนนอกเด็ดขาด ! ”
อันหลิงเกอทราบดีว่าหลายวันนับจากนี้นางคงต้องลำบากมิมากก็น้อย แต่หากอยู่ภายในจวนนี้แล้วจักอยู่ตรงไหนก็คงมิต่างกัน
นางนั่งพิงข้างประตูคุกด้วยท่าทีผ่อนคลาย มิได้รู้สึกว่ากำลังถูกคุมขังแม้แต่น้อย
ทว่าอีกด้านกลับมีคนที่ยังมิรู้สาเหตุ
“เจ้าพูดใหม่อีกรอบ ! ” มู่จวินฮานที่อยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง เพิ่งได้รับข่าวจากสายลับ
เขาส่งคนคอยดูสถานการณ์ของอันหลิงเกออย่างลับ ๆ เพราะเกรงว่านางจักพบเรื่องที่คาดมิถึง แต่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง เขาก็ได้รับข่าวร้ายเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้นางผ่านทุกอย่างได้อย่างราบรื่น มิกลัวความลำบากใด ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นเช่นนี้เสียได้
แต่เขามิมีเวลามาสงสัยอีก ตอนนี้เขารู้แค่ว่าอยากไปพบหน้าผู้หญิงของตนโดยเร็วที่สุด
…
*ตัวตรงมิหวั่นเงาเฉเฉียง หมายความว่า ตราบใดทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง