บทที่ 422 วางแผน

บทที่ 422 วางแผน

อสูรแห่งภัยพิบัติ

เลเวล : ???

ระดับ : ???

ธาตุ : ???

พลังชีวิต : ??? / ??? หน่วย

พลังโจมตีกายภาพ : ??? – ??? หน่วย

พลังโจมตีเวทมนตร์ : ??? – ??? หน่วย

พลังป้องกันกายภาพ : ??? – ??? หน่วย

พลังป้องกันเวทมนตร์ : ??? – ??? หน่วย

สกิล : ???

คำโปรย : ???

ชัดเจนเลย เจ้าลูกชิ้นยักษ์นี่เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับไอ้ตัวน่ารังเกียจนั่น ขนาดชื่อยังเหมือนกันเลย แต่โชคร้าย ที่นอกจากชื่อแล้วข้อมูลส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปิดบังไว้จนหมด

“เจ้าผู้ครอบครองธาตุศักดิ์สิทธิ์อันน่าขยะแขยงเอ๋ย บอกความต้องการของเจ้ามาเสีย จากนั้นก็รีบ ๆ ไปพร้อมกับพลังที่น่ารังเกียจนี่”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาอีกครั้ง และด้วยสกิลปัดเป่าของเซียวเฟิง เจ้าอสูรภัยพิบัติตนนี้ก็ดูจะรังเกียจเอาเสียมาก ๆ เซียวเฟิงสามารถได้ยินเสียงนี้ชัดเจน และถึงจะไม่เห็นว่าตัวอสูรภัยพิบัติพูดอยู่ แต่ก็รับรู้ได้ว่าเสียงนี้มาจากมันเนี่ยแหละ

“บอกข้ามา ว่าครั้งนี้เจ้าต้องการให้ข้าช่วยโจมตีเมืองไหน? วิธีที่เจ้าคุ้นชินดี พวกคนหลอกลวง โอ้ ถ้าข้านับดูดี ๆ แล้ว จากช่วงเวลาที่หลับใหลมา นี่ก็น่าจะได้เวลาเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งใหม่แล้วสินะ?”

อสูรกายตนนี้ดูจะไม่ได้รอฟังเซียวเฟิงตอบเลย เพราะหลังจากหยุดพูดไปเพียงครู่เดียว มันก็เริ่มพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันพูดนั้นกลับทำให้นัยน์ตาของเซียวเฟิงหดเล็กลง ความคิดมากมายเข้ามาบรรจบในหัวเขาราวกับหนังสือที่กำลังถูกซ่อมแซมขึ้นมาใหม่

เมื่อครั้งยังอยู่ในฮัวเซีย เขาก็พอจะรู้มาคร่าว ๆ แล้วว่าวิหารแห่งแสงนั้นไม่ได้ใสสะอาดอย่างที่ควรจะเป็น แต่พอได้เข้ามาอยู่ในเขตฮันกึลแล้วก็ยิ่งได้ข้อมูลสมทบเพิ่มมากขึ้นไปอีก อย่างเช่น บันทึกของซอมบี้คิงในค่ายที่ถูกทำลายภายในป่ารัตติกาลที่เริ่มชี้เบาะแสบางอย่างให้

แล้วพอมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เขาก็ต้องตกใจมากขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่เขาสงสัยนั้นเป็นความจริง วิหารแห่งแสงและทัพแห่งความมืดมีความเกี่ยวพันกันจริง ๆ! ทั้งสองฝ่ายนี้มีการติดต่อกันเรื่อย ๆ และไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้สาธารณะได้รับรู้!

คำพูดของอสูรภัยพิบัติตนนี้ถือเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี!

“เป้าหมายต่อไป คือ โจมตีเมืองเซียนรี่ เพื่อช่วยให้มีผู้ศรัทธาในวิหารแห่งแสงเพิ่มมากขึ้นและเข้าไปอยู่ในเมืองเซียนรี่ได้” เซียวเฟิงคิดตามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปคร่าว ๆ โดยอิงเอาจากข้อมูลที่เคยรับรู้มาก่อนหน้า

“ฮึ่ม เป็นความต้องการที่น่ารังเกียจเหมือนที่ผ่าน ๆ มาจริงด้วย แล้วนี่วิหารแห่งแสงของพวกเจ้ายังไม่สามารถปกครองดินแดนแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้อีกงั้นหรือ?” อสูรภัยพิบัติพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“สนใจเรื่องที่ควรทำก็พอ” เช่นเดียวกับเซียวเฟิง เขาเองก็ไม่ได้อยากจะแยแสเรื่องนี้มากนักด้วย

“งั้นข้าเองก็หวังว่าเทพเจ้าแห่งแสงจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเราเผ่าสัตว์อสูรหรอกนะ เพราะข้าคิดว่าวันในคำสัญญาก็น่าจะอีกไม่นานแล้วด้วย” อสูรกายยักษ์พูดทิ้งท้าย

อีกครั้งที่คำพูดของมันทำให้เซียวเฟิงใจสั่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะยังมีความลับขนาดใหญ่ซ่อนอยู่อีก! แถมมันยังเกี่ยวกับพระเจ้าเลยด้วย!

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เซียวเฟิงเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…คำสัญญาระหว่างพระเจ้ากับเผ่าสัตว์อสูรพวกนี้ คืออะไรกันแน่นะ!

“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ให้สัญญาไว้ ท่านจะต้องไม่ลืมอย่างแน่นอน” สีหน้าอารมณ์ของเซียวเฟิงยังคงรักษาไว้ซึ่งความสงบไว้ได้

“เจ้ามาปลุกข้าให้ตื่นถึงที่นี่ แต่เป้าหมายกลับมีเพียงแค่เมืองหลักเนี่ยนะ? ไม่เอาน่า ข้าไม่อยากจะต้องมาหลับ ๆ ตื่น ๆ บ่อย ๆ เพราะพวกคนหลอกลวงอย่างเจ้าหรอกนะ ถ้าเจ้ามีอะไรที่จำเป็นต้องให้ทัพแห่งความมืดเคลื่อนทัพ ก็บอกรวม ๆ กันมาเลย”

อสูรภัยพิบัติพูดต่อ แล้วมันก็ยิ่งแสดงให้เห็นอีกว่าตัวมันสามารถบงการทัพแห่งความมืดได้

“แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เมืองเซียนรี่ แต่เพราะพวกเราต้องได้เมืองเซียนรี่มาก่อนเพื่อที่จะยึดครองอาณาจักรนี้น่ะ”

เซียวเฟิงไม่พลาดที่จะคิดล่วงหน้าไว้แล้ว เพราะงั้นเขาจึงสามารถพูดตอบได้ทันที

“อาณาจักรงั้นเหรอ…เจ้าหมายถึงเฮียรอนแห่งชีวิตสินะ? ดูเหมือนว่าการตื่นของข้าในครั้งนี้จะไม่ได้ไร้ค่าเสียทีเดียวซะแล้วสิ” ภายในน้ำเสียงของอสูรภัยพิบัตินั้นดูจะคาดหวังอะไรขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว

“ทำตามเป้าหมายให้ดีก็พอ อย่าลืมว่าไม่เพียงแต่ต้องทำให้พลังของเฮียรอนแห่งแสงถูกขจัดไปจนหมดเมือง แต่ห้ามทำลายเมืองหลักนั้นด้วย เพราะเดี๋ยววิหารแห่งแสงจะต้องไปขับไล่พวกนายแล้วประกาศศักดา….” เขาย้ำเตือนทว่าอสูรกายลูกชิ้นตรงหน้าก็ขัดเขาไว้ก่อน

“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า เจ้าคิดว่าไอ้สิ่งสกปรกที่พวกเจ้าให้ข้าทำมาตลอดก่อนจะได้พักผ่อนนับพันปีนี้มันเป็นเรื่องที่ลืมได้ง่ายนักหรือไง?” มันพูดกล่าวด้วยความร้อนใจ

“งั้นก็ดี ในเมื่อเป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว” เซียวเฟิงพยักหน้า

“ข้าหวังว่าข้าจะไม่ได้เห็นหน้าพวกคนหลอกลวงอย่างพวกเจ้าอีก”

ตลอดเวลาที่พูด อสูรภัยพิบัติตนนี้จะคอยแต่จิกกัดเซียวเฟิงอยู่ตลอด หนวดที่อยู่ใต้ตัวมันนั้นเริ่มขยับอีกครั้ง และทันใดนั้นเองใต้เท้าเซียวเฟิงก็มีหลุมสีดำขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมา ของเหลวสีดำซึมออกมาจากหลุมนั้นและห่อตัวเซียวเฟิงไว้เหมือนไข่ที่มืดสนิท

เซียวเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยจากบริเวณเท้า และเมื่อเปลือกไข่สีดำนี้แตกออกเพื่อปล่อยเขาเป็นอิสระ แสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมาหาเขาอีกครั้ง เซียวเฟิงถูกส่งกลับมายังที่เดิมก่อนที่เขาจะเดินลงไปเรียบร้อยแล้ว

ของเหลวสีดำที่เคยปกคลุมดินแดนแห่งผู้ถูกขับไล่จนเหมือนทะเลสีดำนั้น บัดนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยหมดแล้ว

แล้วสิ่งที่ทำให้เซียวเฟิงต้องตกใจออกมาแบบสุด ๆ นั่นก็คือ ชื่อสีแดงบนหัวของเขานั้นก็พลอยถูกชำระล้างไปด้วย เรื่องนี้ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะของเหลวสีดำพวกนั้นหรือเปล่า แต่นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ

สิ่งนี้ทำให้เซียวเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาอัญเชิญเสี่ยวเสวียออกมาขี่เพื่อตรวจสอบดินแดนแห่งผู้ถูกขับไล่นี้อีกครั้ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาก็มุ่งหน้ากลับไปยังวิหารแห่งแสงที่หุบเขาอาทิตย์ตกอย่างรวดเร็ว

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เซียวเฟิงก็เดินทางกลับมาถึงวิหารแห่งแสงที่หุบเขาอาทิตย์ตกอีกครั้ง บรรยากาศภายในวิหาร ณ ตอนนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อตอนที่เขามาแรก ๆ ยิ่งนัก ความอึมครึมและเงียบสงบได้หายไปหมดแล้ว แทนที่ด้วยความรื่นเริงและชีวิตชีวา ตลอดทางที่เดินเข้ามาตั้งแต่หน้าประตู เหล่า NPC ต่างก็ยืนรอต้อนรับเซียวเฟิงด้วยความเคารพทั้งสองฝั่งทาง รวมไปถึงมังกรแห่งแสงทั้งสองตนนั้นด้วย

“ท่านอาร์คบิชอปครับ พวกเราจะเคลื่อนทัพไปทางที่ไหนต่อดีครับ? ดาบศักดิ์สิทธิ์ของข้า อยากจะกวัดแกว่งเพื่อนายท่านอาร์คบิชอปจะแย่อยู่แล้ว!”

เสียงเอ่ยถามกึ่งเชยชมดังมาจากพาลาดินโบราณ พวกเขาก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้าเพื่อถามด้วยมารยาทแบบพาลาดิน

“ไม่ต้องกังวล บิชอปโจลีฟ ช่วยตามทุกคนมารวมกันที ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย!”

การถูกต้อนรับเช่นนี้ทำเอาเซียวเฟิงเขินอายขึ้นมาได้นิดหน่อยเช่นกัน เขาไม่ได้คิดเลยว่าทัพแห่งแสงจะยังอยู่ภายในวิหารด้วย แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว มันคงไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เพราะพวกเขา รอดจากการต่อสู้มานี่นา

“รับทราบแล้วครับ! ท่านอาร์คบิชอป!” พลันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น บิชอปโจลีฟก็ไม่รอช้าที่จะอัญเชิญทุกตนกลับมายังวิหารแห่งแสงทันที เขาในตอนนี้ก็กำลังคลั่งไคล้เซียวเฟิงไม่ต่างกับคนอื่น ๆ นักหรอก

ไม่นานนัก หลังจากที่ได้ยินว่าอาร์คบิชอปเรียกตัว ไม่ถึงสามนาที นอกจากจอมอสูรโคโมโด เบฮีมอธ และมังกรแสงทั้งสองตนที่ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านนอกโถงเพราะขนาดที่ใหญ่โต เหล่าสมาชิกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามารวมตัวกันภายในโถงหลักกันทั้งหมด พวกเขามองมายังเซียวเฟิงด้วยความคาดหวังและความกระตือรือร้น

“ทุกคน ฉันมีข่าวร้ายจะมาบอก” เซียวเฟิงทำให้ทุกคนเงียบได้ด้วยหนึ่งประโยค รวมไปถึงทำให้พวกเขาทั้งหมดพร้อมที่จะฟังต่อด้วยความตั้งใจ

“นั่นคือ ทัพแห่งความมืดมีทีท่าว่าจะกลับมาแล้ว และเป้าหมายของพวกมันก็คือเมืองเซียนรี่ จากการคาดเดาแล้ว มีโอกาสสูงมากว่านี่จะเป็นจุดกำเนิดของสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งใหม่”

คำว่าข่าวร้ายของเซียวเฟิงนั้น ดูท่าจะกลายเป็นข่าวดีสำหรับเหล่าทัพที่รับฟังเสียแล้ว ดวงตาของพวกเขาถูกเผาไหม้ด้วยจิตวิญญาณของนักรบและความตื่นเต้น

“ตอนนี้เฮียรอนในเมืองเซียนรี่ไม่มีอยู่แล้ว ซึ่งมันจะกลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะป้องกันการเข้าโจมตีของทัพแห่งความมืดด้วยกำลังที่เหลือในเมือง ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเข้าไปช่วยปกป้องเมืองเซียนรี่ให้ปลอดภัยจากพวกทัพแห่งความมืด นี่เองก็เป็นความรับผิดชอบของวิหารแห่งแสงด้วย!” เซียวเฟิงพูดต่อ

“นายท่านอาร์คบิชอปครับ! พวกเรารอวันนี้มานานมากแล้ว! รอวันนี้ที่นี้มาเนิ่นนาน!” ทุกคนภายในโถงหลักต่างตะโกนขึ้นด้วยความฮึกเหิม

เซียวเฟิงขี้เกียจใส่ใจกับเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าคนคลั่งเหล่านี้ เพราะงั้นเขาจึงรีบลากตัวบิชอปโจลีฟออกมาด้านข้างแล้วกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “บิชอปโจลีฟ เรื่องที่ฉันได้ยินไม่ได้มีเพียงเรื่องนั้น เป้าหมายของทัพแห่งความมืดไม่ได้มีเพียงเมืองเซียนรี่ หากเป็นทั่วทั้งอาณาจักรเลย! ดังนั้นทุกเมืองหลักคือเป้าหมาย!”

“ว่ายังไงนะครับ!? นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยไม่ใช่เหรอครับ?” บิชอปโจลีฟถึงกับตกใจและมองเซียวเฟิงด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน “ท่านอาร์คบิชอป ข้าเข้าใจแล้วว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร ทัพแห่งความมืดนั้นถือเป็นศัตรูอันดับ 1 ของพวกเรา วิหารแห่งแสง เพราะงั้นข้าจะลดอคติและความเป็นศัตรูลง จากนั้นจะนำทัพของวิหารแห่งแสงเข้าร่วมการต่อสู้ในทุก ๆ เมืองหลัก และจะร่วมมือกับเฮียรอนแห่งแสงเพื่อจัดการกับทัพแห่งคะ…”

“เดี๋ยว ๆๆ หยุดก่อน นายเข้าใจฉันผิดแล้ว” เซียวเฟิงชิงส่ายหน้าและหยุดบิชอปโจลีฟไว้ก่อน “ฟังนะ การจัดการกับพวกทัพแห่งความมืดน่ะ เป็นหน้าที่ของพวกเราวิหารแห่งแสงอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้น่ะ พวกเราจำเป็นต้องให้เฮียรอนรับกรรมเสียบ้าง ดังนั้นนายต้องจำคำฉันเอาไว้ ว่าในการต่อสู้ จนกว่าผู้คนของเฮียรอนประจำเมืองนั้น ๆ จะตายหมด นายห้ามทำอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?”

“เอ่อ…แต่ถ้าเฮียรอนถูกทัพแห่งความมืดทำลายไปจนหมด เหลือเพียงแค่พวกเรา…ลำพังเพียงพวกเราจะสามารถต่อต้านทัพแห่งความมืดไว้ได้จริง ๆ เหรอครับ?” บิชอปโจลีฟแสดงความลังเลใจ

“ฉันเชื่อมั่นใจพลังของวิหารแห่งแสงของพวกเรา แล้วก็เชื่อมั่นในประสบการณ์การต่อสู้ของเหล่านักรบด้วย ถ้าแบบนี้ก็คงจะหมดปัญหาแล้วหรือเปล่า?” เซียวเฟิงถามกลับ

“โอ้ ครับ! ข้าเข้าใจแล้ว! วิหารแห่งแสงจะไม่มีวันล่มสลายตราบใดที่พวกเราเชื่อมั่นในตัวอาร์คบิชอปเช่นกัน!” เพียงคำพูดเล็กน้อยของเซียวเฟิง เขาก็ปลุกใจฮึดสู้ของบิชอปโจลีฟได้แล้ว

“อีกสิ่งหนึ่งนะ บิชอปโจลีฟ นี่เป็นเวลาแห่งการทดสอบความสามารถของนายแล้ว” ชายหนุ่มพูดต่อ

“ว่ามาได้เลยครับ ท่านอาร์คบิชอป!” บิชอปโจลีฟชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความหนักแน่น

“หากเฮียรอนถูกทำลาย เมืองหลักนั้น ๆ จะสูญเสียศรัทธา และถ้าพวกเรา วิหารแห่งแสงสามารถแสดงศักยภาพได้ดีในการต่อสู้กับพวกทัพแห่งความมืด จากนั้นก็เล่าขานศรัทธาแห่งแสงสว่างให้คนเมืองนั้นฟัง เช่นนั้นแล้วเราก็จะสามารถก่อตั้งวิหารแห่งแสงเพื่อแทนที่เฮียรอนได้ ถูกต้องไหม? เรื่องวิธีการนายคงไม่ต้องให้ฉันสอนหรือเปล่า บิชอปโจลีฟ?” เซียวเฟิงเดินไปตบไหล่บิชอปโจลีฟเบา ๆ

“ดูเหมือนว่าท่านอาร์คบิชอปไม่ได้อยากจะให้พวกเราช่วยเหลือเฮียรอน แต่มีสิ่งแอบแฝงที่ลึกล้ำกว่านั้นนี่เองสินะครับ…ข้าเข้าใจแล้ว! ข้า โจลีฟ จะไม่ทำให้ท่านอาร์คบิชอปผิดหวังแน่นอนครับ!” ชายชราพยักหน้าทันทีและยืดอกแสดงความมั่นใจ

“แบบนั้นก็ดี ฉันอาจจะต้องกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ก่อนในอนาคตอันใกล้นี้ แล้วอาจจะทำให้ไม่ได้กลับมาที่นี่พักหนึ่ง เพราะงั้นเรื่องของอาณาจักรนี้ ฉันจะยกให้มันเป็นเรื่องของนายก็แล้วกัน บิชอปโจลีฟ ไว้เดี๋ยวตอนได้เจอหน้าเทพธิดาแห่งแสง ฉันจะรายงานเรื่องของนายให้เธอฟัง เรื่องที่นายทำไว้จะต้องได้รับการตอบแทนแน่ ๆ ” เซียวเฟิงพยักหน้า

“ขอบคุณท่านอาร์คบิชอปมาก ๆ เลยครับสำหรับความใส่ใจนี้! เมื่อใดก็ตามที่เขตแดนที่เทพผู้สร้างได้สร้างไว้ถูกเปิดออก ข้า โจลีฟ เองก็จะกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เพื่อตอบแทนท่านอาร์คบิชอปเช่นกัน!”

เคราแพะของโจลีฟสั่นกระเพื่อมขณะทำความเคารพเซียวเฟิงเฉกเช่นนักบวชทำความเคารพกัน ในใจเขาก็แอบอิจฉาที่เซียวเฟิงจะได้กลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ก่อน แต่อีกใจเขาก็รู้สึกขอบคุณเซียวเฟิงไปด้วย

“อืม นายก็เตรียมทัพไว้ให้พร้อมต่อสู้ตลอดก็แล้วกัน ระวังเมืองเซียนรี่ก่อน เมื่อไหร่ที่ทัพแห่งความมืดปรากฏตัว นายค่อยเคลื่อนทัพ ยังไงซะที่เมืองนั้นก็ไม่มีเฮียรอนอยู่แล้ว นายจะเอ้อระเหยไม่ได้ รีบเข้าไปรับมือทัพแห่งความมืดให้เร็วที่สุด” เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เซียวเฟิงจึงเน้นย้ำกับโจลีฟไปอีกครั้ง

“อย่าได้กังวลเลยครับ ท่านอาร์คบิชอป!” แววตาของบิชอปโจลีฟแสดงให้เห็นความรอบคอบ เขาไม่กล้าที่จะประมาทกับความหวังระดับนี้

หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้ลืมอธิบายอะไรไป เซียวเฟิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ เขาหันไปมองทุกสิ่งอย่างภายในวิหารเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบคัมภีร์เมืองออกมาแล้วฉีกเพื่อใช้งาน

มันยังพอเหลือเวลาอยู่บ้างก่อนที่อีเวนต์จะเริ่ม ดังนั้นเซียวเฟิงจึงไม่อยากจะเสียเวลาเหล่านั้นไปอีก!