มู่เฉียนซี “อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ปล่อยให้พวกนั้นนำทางพวกเราไปก็พอแล้ว”
เวลานี้มู่เฉียนซีรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก นางใช้วิชาย่างก้าวพันเงาตามหลังคนกลุ่มนี้ไปเงียบ ๆ
พลังจิตของมู่เฉียนซีแข็งแกร่งกว่าพวกเขา แล้วพวกเขาเองก็กำลังจดจ่ออยู่กับการตามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้สึกตัวว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเขาอยู่
เข็มทิศนั้นหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง คนของหุบเขาหมอเทวดาแทบจะวิ่งหนีไปเพราะจุดที่เข็มทิศชี้คือหน้าผาที่สูงกว่าหมื่นจั้ง! (หกพันศอก)
พวกเขากล่าวขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า… “ศิษย์พี่สาม มีอะไรผิดปกติไปหรือไม่ เหตุใดตรงนี้กลับเป็นหน้าผา ? วัตถุศักดิ์สิทธิ์คงไม่แขวนอยู่ที่กลางหน้าผาหรอกกระมัง”
หน้าผาหมื่นจั้งนี้มิอาจที่จะมองเห็นจุดสิ้นสุดของมันได้ ต่อให้พวกเขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งภูตหรือจักรรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสูง ก็เกรงว่าหากตกลงไป ร่างคงต้องแหลกสลาย
ศิษย์พี่สามกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ของวิเศษที่อาจารย์ให้มานี้ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน ด้านล่างมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่ ยากยิ่งนักกว่าที่จะหาสมบัตินี้พบ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ไม่อาจยอมแพ้”
“อืม… ไม่เช่นนั้นก็ส่งคนลงไปสำรวจดูก่อน บางทีอาจจะมีถ้ำอะไรอยู่ก็เป็นได้”
“ศิษย์พี่สาม ถึงต่อให้สงสัยว่ามีถ้ำมีโพรงอยู่ ก็ไม่อาจเอาชีวิตของพวกเราไปแขวนไว้นะขอรับ” ศิษย์ผู้หนึ่งแย้งขึ้น “ใช่แล้วศิษย์พี่สาม พวกเราสนิทสนมกันเสมือนพี่น้อง คงจะทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเราคนใดคนหนึ่งไปเสี่ยง” ศิษย์อีกคนกล่าวสำทับ
ศิษย์พี่สามเองก็ไม่อยากลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยม ถ้าหากพวกนั้นร่วมมือกันขัดขืนขึ้นมา เขาเองก็จะรับมือได้ยาก เขากล่าวขึ้น “ศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาอย่างพวกเรามีเกียรติและสูงส่ง แน่นอนว่ามิอาจไปเสี่ยงอันตรายได้ หากรู้แต่แรก ข้าคงพาพวกสวะไร้ประโยชน์นั่นมาด้วย หากพามาก็จะสามารถให้พวกเขาลงไปสำรวจแทนเราได้”
มู่เฉียนซีนึกถึงแผนที่ทั้งสองที่นางครอบครองอยู่ขึ้นมา แต่ว่าแผนที่นั้นไม่ได้เข้ากันกับสถานที่แห่งนี้เลย ที่แห่งนี้จะมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง ๆ หรือ ?
ทว่าในเมื่อได้มาแล้ว แน่นอนว่าต้องลองดู
เงาร่างของนางกระโจนออกมา ศิษย์พี่สามได้ยินเสียงคน เขาก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชาทันที “ผู้ใดอยู่ตรงนั้น ?!”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่อุ้มเจ้าแมวสีขาวมองพวกเขาอย่างยินดี เขากล่าวขึ้น “โอ้! ที่แท้ก็เป็นคนของหุบเขาหมอเทวดานี่เอง ข้านั้นพลัดหลงกับกลุ่มนักผจญภัย ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับพวกเจ้าที่นี่”
ดวงตาของพวกเขาส่องประกายกล้า พวกเขานั้นเพิ่งคิดที่จะหาคนลงไปลองดูที่หน้าผา แต่กลับมีคนเสนอตัวเข้ามาให้ถึงที่
ทว่าแปลกนัก เมื่อเจ้าหนุ่มผู้นี้เข้ามา กลับไม่มีสัตว์วิญญาณอาละวาดเลย
ศิษย์พี่สามสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามาที่ด้านหน้ามู่เฉียนซีแล้วกล่าวขึ้น “น้องชาย ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยอะไรหน่อยได้หรือไม่ ?”
“เรื่องอะไรหรือ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยพวกเราโดยการลงไปดูที่ข้างล่างหน้าผา” ศิษย์พี่สามชี้ไปที่หน้าผาสูงนับหมื่นจั้ง
มู่เฉียนซีแสร้งทำเป็นตกใจกลัวยกใหญ่ก่อนจะกล่าวขึ้น “มันอันตรายเกินไปแล้ว หากว่าตกลงไปข้าตายอย่างแน่นอน”
“ข้าเป็นศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาแห่งสำนักนิกายระดับสอง เมื่อตอนที่เจ้าลงไป ข้าจะปกป้องไม่ให้เจ้าเป็นอะไรอย่างแน่นอน เราจะใช้เชือกเส้นใยสายทองของสำนักเราหย่อนเจ้าลงไป”
หนึ่งในศิษย์คนอื่น ๆ กล่าวขึ้น “ศิษย์พี่สามของเรานั้นจิตใจดี แต่พวกเราไม่ได้ดีเหมือนดั่งเช่นเขา เจ้าหนู หากว่าเจ้าปฏิเสธละก็ ข้าจะถีบเจ้าลงไปเสียเดี๋ยวนี้เลย เจ้ารอความตายเอาแล้วกัน”
ศิษย์พี่สามกล่าวขึ้น “หากถึงเวลานั้นเจ้าพบสมบัติอะไรที่ด้านล่าง เจ้าจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อย”
พวกเขาคิดในใจว่าเด็กหนุ่มร่างบางอายุเพียงสิบกว่าปีผู้นี้ เพียงแค่บีบบังคับและล่อลวงเล็กน้อย ก็คงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะปฏิเสธแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ได้ ข้าตกลงกับพวกเจ้า”
พวกเขานั้นยังคงต้องรอให้มู่เฉียนซีขึ้นมาแจ้งข่าว พวกเขาจึงใจเย็นลงและช่วยกันหย่อนเชือกเส้นใยสายทองให้มู่เฉียนซีเตรียมลงไปด้านล่าง มู่เฉียนซีดึงเชือกแล้วกระโดดลงไปที่หน้าผา
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขานั้นพึ่งพาไม่ได้!
แม้ว่ายาเม็ดที่ติดตัวมาของพวกเขาจะสามารถป้องกันสัตว์วิญญาณที่อยู่บนบกได้ แต่สัตว์วิญญาณที่อยู่ในอากาศนั้น พวกมันมองเห็นพวกเขาจากด้านบนหน้าผา พวกมันไม่รอช้า เปิดฉากเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“อ๊าก!” พวกเขาร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา โดนจู่โจมจนไม่สามารถดึงเชือกเส้นใยสายทองเส้นนั้นให้ดี ๆได้ สุดท้ายเผลอปล่อยมันหลุดมือไป
“อ๊าก! เจ้าเด็กนั่นจะตกลงไปตาย” พวกเขากล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านใจ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเจ้าเด็กนั่น รับมือกับอินทรีย์หัวสิงห์ก่อนค่อยว่ากันเถอะ เร็วเข้า!”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีที่กำลังร่วงลงมาไม่มีแววความตื่นตระหนกเลย นางนั้นรู้แต่แรกแล้วว่าคนพวกนี้พึ่งพาไม่ได้ จึงได้เตียมการไว้ก่อนแล้ว
— เพล้ง! —
ขวดยาบางอย่างถูกโยนออกไป มันกระทบผิวของหน้าผ้านั้นและกัดกร่อนจนเป็นหลุม ขาของนางขยับเพื่อจะไปยังที่หมายตรงนั้น จากนั้นมือทั้งสองข้างของนางก็จับหลุมนั้นเอาไว้ แล้วนางก็แขวนตัวอยู่ที่ด้านหน้าของหน้าผาได้อย่างปลอดภัย
จากนั้นนางใช้ยากัดกร่อนเพิ่มหลุมขึ้นมาอีกหลุมหนึ่ง เพื่อที่จะให้ขาของตนเองทั้งสองข้างยืนอย่างมั่นคง
นางนั้นเป็นคนมีความสามารถในการเอาตัวรอดและเป็นผู้ที่มั่นใจในตนเอง ดังนั้นนางจึงกล้าออกมา กล้าตั้งใจเป็นหนูทดลองให้แก่พวกหุบเขาหมอเทวดา ถึงแม้ว่าต่อให้ไม่มีเชือกเส้นใยสายทอง นางก็สามารถแขวนตัวอยู่บนหน้าผานี้ได้อย่างปลอดภัย
ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีที่เกาะอยู่ที่หน้าผารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่เข้ามาใกล้กราย เงาร่างดำสนิทพลันปรากฏขึ้น เขาดึงร่างมู่เฉียนซีมาไว้ในอ้อมกอดอุ่น จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปที่ด้านล่างที่ลึกนับหมื่นจั้ง
จิ่วเยี่ยกระซิบข้างหูของนาง “ซีเผชิญอันตรายเสียแล้ว…”
มู่เฉียนซียิ้ม “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เรื่องเช่นนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นใบหน้าของสตรีตรงหน้า (ที่เวลานี้อยู่ในร่างที่แปลงเป็นบุรุษ) ยังคงยิ้มแย้มอย่างได้ใจ ดวงตาเย็นยะเยือกนั้นก็นิ่งขรึมขึ้นมา และเลื่อนจับจ้องไปที่ริมฝีปากแทน
สายลมหนาวพัดผ่านหวีดหวิว แต่ก็ไม่อาจทำอะไรจิ่วเยี่ยที่กำลังกอดมู่เฉียนซีไว้อย่างแน่นได้แม้เแต่น้อย
ดูราวกับว่าจะผ่านไปอีกเจ็ดวันเสียแล้ว จิ่วเยี่ยจึงได้มาเก็บหนี้นางเช่นนี้ มู่เฉียนซีรู้งาน นางเอามือไปเกาะที่คอของเขาเพื่อเปลี่ยนท่าทีให้สบายขึ้น การจุมพิตกันกลางอากาศตรงหน้าผาที่สูงนับหมื่นจั้งนั้น ช่างทำให้มู่เฉียนซีหวาดเสียวไปทุกส่วนดีเสียจริง
แต่ทว่าหุบเหวลึกนับหมื่นจั้ง สำหรับจิ่วเยี่ยแล้วมิได้ต่างอะไรกับการอยู่บนพื้นราบนัก เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่กลับรู้สึกอ่อนไหวไปกับสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดผู้นี้เป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วเขาจึงจุมพิตอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
“ฮู้ว!” หลังจากจุมพิตอันยาวนานจบลง มู่เฉียนซีหายใจเข้าไปลึก ๆ หนึ่งเฮือกก่อนจะกล่าวขึ้นว่า… “จิ่วเยี่ย เจ้านี่บ้าจริง ๆ นี่มันตื่นเต้นเกินไปแล้ว”
“ถ้าหากซีชอบความตื่นเต้น เช่นนั้น…” เขางับเข้าที่ติ่งหูของมู่เฉียนซี จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงมา…
ไปกันใหญ่แล้วกระมัง!
มู่เฉียนซีอยากจะผลักจิ่วเยี่ยออกไป ทว่าตอนนี้เท้าของนางนั้นไม่มีที่ให้ยืนอย่างมั่นคง หากผลักออกไปคงจะได้กระดูกแตกร่างเละเป็นแน่
“อื้อ… จิ่วเยี่ย…”
นี่มันบัดซบโดยแท้ ถือโอกาสตอนที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายมาขโมยจุมพิตกันเช่นนี้
ดวงตาของมู่เฉียนซีลุกโชนขึ้น จิ่วเยี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ซึ่งปะทุไปด้วยความโกรธนั้น แล้วจึงประกบริมฝีปากเข้าไปอีกครั้ง
หลังจากผละออกมา เขากล่าวว่า “ซี… ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำอะไรอันตรายเช่นนี้แล้ว”
จิ่วเยี่ยส่งมู่เฉียนซีกลับขึ้นไปที่บนหน้าผาดังเดิม
มู่เฉียนซีถูกลมหนาวที่หน้าผาพัดใส่มาโดยตลอด แต่ทว่าความอบอุ่นบนร่างกายของนางนั้นไม่ได้ลดลงเลย
เมื่อนึกถึงความเร่าร้อนของจิ่วเยี่ยเมื่อครู่นี้ มู่เฉียนซีก็แทบจะเป็นบ้า
ในเวลานั้นเขาเป็นคนที่ไม่ได้สนใจและไม่ต้องการสิ่งใด ตั้งแต่ได้ไปเจอเพื่อนเช่นจื่อโยว เขาไม่เพียงกลายเป็นคนที่นับวันยิ่งคลั่งในจุมพิต แต่ยังชอบทำเรื่องที่ทำให้นางใจเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้าจะลงไปดูข้างล่างก่อน” มู่เฉียนซีกล่าวก่อนจะใช้ยาของนางเพื่อกัดกร่อนหน้าผานั้น นางต้องการสร้างทางเป็นบันได เมื่อได้แล้ว นางก็ค่อย ๆ เดินลงไปช้า ๆ
— ตุบ! —
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ลงมาถึงพื้น แต่หลังจากถึงพื้น มู่เฉียนซีถูกรุมล้อมเอาไว้
ให้ตาย! ที่ด้านล่างนี้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ตัวที่อ่อนแอที่สุดล้วนแต่เป็นระดับสอง ช่างซวยจริง ๆ
“อู๋ตี้เสี่ยวหงออกมา!”
.