“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า มาแล้ว!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน อู๋ตี้ปรับสภาพกายของมันให้อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อปกป้องมู่เฉียนซี
“เพลิงบัวแดง!”
เปลวเพลิงสีแดงฉานพุ่งออกมา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็รีบแหวกออกไปหลบทางของเปลวเพลิง พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้มู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พากันมาอย่างเนืองแน่น นางแสยะยิ้ม กล่าวว่า “ข้า… นี่ข้ามาแหย่รังแตนชัด ๆ!”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
ยาพิษจำนวนมากถูกโยนออกไป กลุ่มควันสีดำเริ่มก่อกวนวิสัยทัศน์ในการมองเห็นของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
แม้ว่ามู่เฉียนซีนั้นจะมีอู๋ตี้กับเสี่ยวหงอยู่ข้างกาย แต่นางก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ควรจะอยู่นาน เพราะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในที่แห่งนี้น่ากลัวมากเหลือเกิน
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างรีบร้อน “ต้องขึ้นข้างบนไปก่อน”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาจำนวนมากพุ่งออกมา
สำหรับพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิที่มีผิวหนังหยาบหนานั้น พิษของนางใช้ไม่ได้ผลดีเหมือนดั่งเช่นใช้กับมนุษย์ อีกทั้งระดับของพวกมันยังสูงและแข็งแกร่งด้วย มันยากจะรับมือได้
มู่เฉียนซีเดินขึ้นไปตรงทางที่นางได้ลงมาที่นี่ ขณะที่พวกอู๋ตี้พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อยับยั้งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเอาไว้
มู่เฉียนซีกวาดตามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นก็พบว่าหน้าผานี้… นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ใช่แล้ว!
ในแผนที่!
มู่เฉียนซีรีบนำเอาแผนที่ออกมาดู พลันตะลึงงันไปในทันใด สิ่งที่แผนที่วาดเอาไว้ก็คือหน้าผาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่ทว่าเส้นทางส่วนมากของที่แห่งนี้ก็ยังคงเดิมไว้อยู่เหมือนเก่า
มิแปลกที่ไม่เคยมีผู้ใดได้พบกับสถานที่แห่งนี้ เพราะแผนที่นี้ไม่วาดในแนวนอน แต่กลับเป็นแนวตั้ง
จะมีใครที่ไหนที่กินอิ่มแล้วไม่มีกิจอันใดทำ จึงถ่อมาถึงที่ด้านล่างของหน้าผาหมื่นจั้งแห่งนี้เพื่อสำรวจพื้นที่ทั้งหมดของมันกันเล่า ?!
“นายท่าน!” อู๋ตี้ตะโกนขึ้น
ทันทีที่มู่เฉียนซีโบกสะบัดมือ กระบี่มังกรเพลิงก็ระเบิดพลังฆ่าล้างใส่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังฝ่าเข้ามา นางไม่รอช้า บุกเบิกเส้นทางตามที่แผนที่บอกเอาไว้
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง พวกเราหาทางเจอแล้ว ไปเร็วเข้า”
แผนที่นั้นเมื่อจดจำได้จนขึ้นใจก็ไม่เป็นปัญหา ยากัดกร่อนของนางแต่ละขวดได้ถูกมู่เฉียนซีใช้เพื่อกร่อนสร้างบันไดหิน มู่เฉียนซีที่ร่างแขวนอยู่บนหน้าผา มองไปยังตรงหน้าของตน นางพึมพำขึ้นมา “สถานที่ที่แผนที่บอกนั้นมันอยู่ตรงนี้ แต่กลไกของมันอยู่ที่ใดกันแน่ ?”
สถานที่ที่นางยืนอยู่ในเวลานี้สูงพอสมควร เหล่าสัตว์วิญญาณที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถขึ้นมาได้ ทว่าโชคร้าย นางเจอเข้ากับราชาอินทรีหัวสิงห์ที่อยู่กลางอากาศ
— ซู่ม! —
เสี่ยวหงใช้เปลวเพลิงโจมตีอินทรีหัวสิงห์เหล่านั้น แต่ด้วยความว่องไวอันท้าทายฟ้าดินของพวกมัน จึงทำให้พวกมันหลบหลีกเปลวเพลิงนั้นได้อย่างง่ายดาย
เมื่ออยู่กลางอากาศ พวกมันคือราชา!
อู๋ตี้กล่าวอย่างร้อนรน “นายท่าน หากว่าหาทางเข้าไม่เจอ พวกเรารีบถอยหนีขึ้นไปด้านบนเถอะ มิเช่นนั้นเหล่าอินทรีหัวสิงห์จะยิ่งมากขึ้น ข้าคงได้ตายแน่!”
— โครม! —
การโจมตีจากเหล่าอินทรีหัวสิงห์ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหน้าผาถูกพลังของพวกมัน ทำให้สภาพดูเลวร้ายนัก
ณ ตอนนี้ชีวิตของมู่เฉียนซีเสมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางหลบการโจมตีของพวกมันอย่างรีบเร่ง ขณะที่ตรงเท้าของนางซึ่งเวลานี้ใช้พลังในการยืนอยู่นั้น หากไม่ระวังเพียงนิดเดียว นางก็สามารถร่วงหล่นลงไปได้อย่างง่ายดาย
การตกลงไปนั้น หากไม่ตายก็คงจะพิการกันไปค่อนตัว… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าฝูงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างอย่างมากมายนั้นเลย
— แกรก! —
เมื่อตอนที่อินทรีหัวสิงห์จำนวนนับไม่ถ้วนทำการโจมตีอย่างพร้อมเพรียง มู่เฉียนซีได้ยินเสียงเสียงหนึ่งขึ้นมา
ดวงตาของนางฉายแววปีติยินดี แผ่นหินที่นางยืนอยู่ยุบตัวเข้าไปด้านใน และร่างของนางก็ไถลเข้าไปในนั้น
— ตุบ! —
ข้างในนี้ช่างมืดสนิทแท้ ๆ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมีอินทรีหัวสิงห์ตามนางเข้าไปด้วย เคราะห์ดีที่มีเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ตามมา
พวกมันแข็งแกร่งมากในอากาศ แต่เมื่อลงมาอยู่ในห้องหินนี้ มันทำได้เพียงเป็นเป้าให้เสี่ยวหงและอู๋ตี้รุมยำเท่านั้น
— ปึกปัก! ปึกปัก! —
พวกมันถูกรุมยำและถอนขนจนไร้ซึ่งที่พึ่งพิง เมื่ออินทรีหัวสิงห์ที่หยิ่งทะนงถูกกระทำเช่นนี้ จึงทำให้พวกมันคิดอยากที่จะฆ่าตัวตาย
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เอาล่ะ อย่าเปลืองแรงไปเลย ยังไม่รู้เลยว่าข้างในนี้จะมีอะไรอีกบ้าง พวกเจ้าพอก่อนเถอะ”
หากอักษรที่เขียนบนกระดาษโบราณนั้นไม่มีปัญหาอะไรละก็ ที่นี่ก็คงจะเป็นสถาณที่ที่ปรมาจารย์ฝึกสัตว์ผู้นั้นหล่นลงมา
เสี่ยวหงและอู๋ตี้กล่าวออกมาพร้อมกัน “นายท่านระวัง!”
ในที่มืดมิดแห่งนี้ มู่เฉียนซีหยิบเอาไข่มุกราตรีออกมาพร้อมจุดไฟ ทำให้รอบบริเวณนั้นสว่างขึ้นมา ห้องหินนี้เย็นเป็นอย่างมาก พวกเขาเดินมาจนสุดทางจึงได้พบเข้ากับประตูบานหนึ่งเบื้องหน้า
ประตูบานนี้มีกลไกซับซ้อนอย่างมาก หากคิดที่จะเปิดมัน… ไม่ง่ายเลยที่จะเปิดได้
อู๋ตี้กล่าวขึ้น “คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกสัตว์หรือว่าเป็นผู้รู้ด้านกลไกกันแน่ สร้างกลไกไว้มากมายเช่นนี้มิใช่ว่าทำให้นายท่านต้องลำบากรึ ?”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน ผู้ฝึกสัตว์!
ไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยาหรือผู้ฝึกสัตว์ พลังจิตเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน
มือของมู่เฉียนซีแตะบนประตูนั้น นางเพ่งสมาธิของตนเองอย่างตั้งใจ
— แกร๊ก! —
ประตูบานนี้เปิดออกจริง ๆ ยิ่งมู่เฉียนซีใช้พลังจิตเพ่งลงไปเท่าไร มันก็ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้นเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าประตูบานนี้จะเป็นการทดสอบขั้นต้น ข้านั้นแน่ใจแล้วว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่ปรมาจารย์ฝึกสัตว์ผู้นั้นหล่นลงมา”
จากนั้นนางเดินก้าวใหญ่ไปที่ประตูดังกล่าว ในตอนนี้เองก็ปรากฏเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา
“ข้าเก็บมรดกของข้าไว้ที่นี่… ถึงแม้ว่าจะได้วาดออกมาเป็นแผนที่ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักว่าจะมีคนมาเยือนที่นี่… ทว่าเจ้า เจ้านั้นค้นพบที่แห่งนี้ได้”
“ข้ามผ่านเทือกเขาชีชง เผชิญกับสัตว์วิญญาณนับหมื่นพัน นั่นแสดงถึงความแน่วแน่ของเจ้า…”
“กล้าที่จะปีนหน้าผา เมื่อเผชิญกับหน้าผาสูงนับหมื่นจั้งก็มิได้หวั่นเกรง นั่นแสดงถึงความหาญกล้าของเจ้า…”
“สามารถเปิดประตูบานนี้ได้ นั่นหมายถึงว่าพลังจิตของเจ้าผ่านเกณฑ์…”
“อา… เจ้ามีคุณสมบัติที่จะสืบทอดทุกอย่างจากข้า”
ผู้ที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นได้สิ้นชีพไปนานเท่าไรแล้ว เพื่อการที่เขาจะได้เลือกผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาบรรจงสร้างกลไกเหล่านี้ขึ้นมาทีละขั้น ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “ท่านบอกว่าข้ามีคุณสมบัติในการสืบต่อทุกสิ่งของท่าน เช่นนั้นท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้านั้นจะได้สืบทอดอะไรจากท่าน ?”
“เจ้าจะได้เรียนรู้วิธีการฝึกสัตว์ของข้า และยังมีแหวนสัตว์พันวิญญาณที่ข้าจะมอบให้”
“วิธีการฝึกสัตว์นั้น สามารถที่จะทำให้เจ้าไปถึงขั้นปรมาจารย์ฝึกสัตว์ได้ พวกสัตว์ที่ระดับต่ำกว่าสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงแค่เจ้ามีพลังสมาธิที่เพียงพอ ก็จะสามารถฝึกให้มันเชื่องได้”
“แหวนสัตว์พันวิญญาณนี้ สามารถเก็บสัตว์วิญญาณไว้ภายในได้ถึงหนึ่งพันตัว”
ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง!
แม้ว่านางจะสามารถฝึกสัตว์ได้ แต่ก็ไม่เคยได้เรียนรู้วิธีการฝึกที่เป็นระบบมาก่อน นางเองก็ไม่ได้มีเวลาที่จะไปฝึกวิธีการฝึกสัตว์แบบธรรมดาทั่วไปสักเท่าไหร่นัก ส่วนแหวนสัตว์พันวิญญาณนั้น ทำให้นางนึกกังวลถึงเหล่าสัตว์วิญญาณที่เคยถูกนางฝึกจนเชื่องแล้วแต่ไม่ได้นำมันมา
ยามนี้อาถิงก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ศาลานิรันดร์ก็ยังไม่ได้พัฒนาไปอีกขั้น จึงไม่สามารถใส่อะไรที่เป็นสิ่งมีชีวิตเข้าไปได้ มันสามารถใช้บรรจุได้เพียงสมุนไพรวิญญาณไปก่อนชั่วคราว
มู่เฉียนซี “ท่านผู้อาวุโส ข้ามีคุณสมบัติที่จะสืบทอดทุกสิ่งอย่างต่อจากท่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะสามารถสืบทอดทุกสิ่งอย่างจากท่าน ท่านมีบททดสอบอันใด ขอให้บอกกล่าวมาเถิด”
เสียงของผู้อาวุโสผู้นั้นไม่ได้เหมือนดั่งราชาหมื่นพิษที่มืดมิด ฉะนั้น มู่เฉียนซีคาดว่าการทดสอบของเขาคงจะไม่ได้วิปริตแต่ประการใด
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าช่างเป็นผู้น้อยที่กระจ่างรู้ดีจริง ๆ ก็ใช่… การทดสอบนั้นย่อมมี”
ทันใดนั้น เกิดแสงสีขาวห่อหุ้มร่างมู่เฉียนซีไว้ แสงนั้นนำนางเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง
ผู้อาวุโสผู้นี้กล่าวขึ้นว่า “ในมิติแห่งนี้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่หนึ่งพันตัว เจ้าจงจัดการให้หมด หากทำได้จึงจะถือว่าเป็นการผ่านด่านแรก”
“แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง เจ้าสามารถใช้ได้เพียงพลังชีวิตและพลังวิญญาณของเจ้า เจ้ามิอาจที่จะให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวนั้นมาช่วยได้”
.