ตอนที่ 230 เงาดำไม่สลาย
ลมตะวันออกแตกสลาย พัดมาอย่างอ่อนแรง ชุยหังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนฝุ่นบนเชิงเทียนเย็นๆ
ไร้ทิศทาง ไร้ที่อยู่ ไร้ที่มา
“หลูจื้อ” สองคำนี้เป็นคาถาที่พระถังซำจั๋งใช้กับสายรัดหัวหงอคงของเขา ใครก็ไม่สามารถบรรเลงเพลงแห่งตวามเจ็บปวดนี้ได้
ชุยหังไม่ได้เปิดมือถือมาหลายวันแล้วเพราะต้องการหลีกเลี่ยงหลูจื้อ เขาตัดสินใจแล้ว่าหากต้องการให้หลูจื้อกลับไปใช้ชีวิตปกติก็ต้องใจร้ายกับตัวบ้าง
เมื่อนึกถึงตัวเองในอีกหลายปีต่อมา หลูจื้ออาจจะเกลียดตัวเองไปแล้วมีเพียงความรู้สึกโกรธแค้นและสีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไร
ตราบใดที่เขายังเป็นลูกกตัญญูในสายตาของคนในครอบครัวและเป็นทหารที่ซื่อตรงในสายตาของเพื่อนในกองทัพ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร
เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเสียสละแบบนั้น
คำนั้นควรพูดกับคนที่ยิ่งใหญ่จะดีกว่า เขาก็แค่ช่วยให้สมหวัง
เขาไม่ควรปรากฏตัวตั้งแต่แรก
เมื่อเขาเปิดมือถืออีกครั้งก็ผ่านมาแล้วสองสามวัน
หลูจื้อยังคงส่งคำขอยืนยันเป็นเพื่อนมาอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีคำพูดรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้
ยิ่งเป็นข้อความหลังๆ ยิ่งทำให้ชุยหังรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น
เนื้อหาของข้อความนั้นจริงใจและแทงใจมาก
[ฉันเคยบอกแล้วว่าให้นายรอ ถ้านายวิ่งหนี ฉันจะหักขานาย]
ชุยหังไม่กล้านึกถึงภาพนั้นและไม่อยากนึกถึงถ้าหลูจื้อคว้าตัวเขาได้จริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น
ซ่งไข่ก็โทรมาหาเขาและส่งข้อความมาเหมือนกัน
[นายกับหลูจื้อเกิดอะไรขึ้น ทำไมปิดเครื่องตลอดเลย พวกเราเป็นห่วงนายนะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนหรือเปล่า]
[นายก็รู้เรื่องของครอบครัวเขาอยู่แล้ว ถ้าเลือกแล้วก็ต้องกล้าเผชิญหน้า อย่าหนีไป]
[เขาชอบนายจริงๆ นะ นายลองสู้หน่อยสิ]
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตอบกลับไปเพราะไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนทรยศในสายตาพวกเขา
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจที่สุดคือการปรากฏตัวอีกครั้งของหลิวเฮ่อ
นอกจากนี้ยังส่งข้อความมาถึงเขาโดยตรง
แม้ว่าตัวเองจะบล็อกเขาไปแล้ว แต่ยังเห็นข้อความได้ในข้อความสแปม
[นายกลับมาได้ไหม]
ความเศร้าโศกและความโกรธแค้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุดในใจของเขา ไม่มีอะไรจะแก้ไขได้ คนกากเดน แบบนี้กำลังจะรบกวนชีวิตของเขาอีกครั้ง
ชุยหังปลดบล็อกเขาและส่งข้อความกลับไป [นายเดินทางหยางกวนของนาย ฉันเดินสะพานไม้เดี่ยวของฉัน ถนนกว้างขนาดนั้นยังรองรับนายไม่ได้ นายก็เลยวิ่งกลับมาเบียดฉันที่นี่เหรอ]
[ใครจะรับประกันได้ว่าตัวเองจะไม่ทำผิด ฉันทำไปแล้วครั้งนึงไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้ฉันคิดดีแล้ว ถ้านายยอมให้อภัยฉัน พวกเราก็อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต นายกล้าไหม] หลิวเฮ่อตอบกลับอย่างเร็ว
ชุยหังหัวเราะเยาะแล้วรีบพิมพ์ลงแป้นพิมพ์อย่างเร็ว
[ฉันจะกล้าแม่นายสิ เก็บคำพูดหวานๆ ของนายไว้หลอกสมองกลวงๆ เถอะ นายอวัยวะสืบพันธุ์เดินได้]
หลิวเฮ่อไม่ได้ตอบกลับมาเป็นเวลานานแล้ว ชุยหังคิดว่าเขาคว่ำธงลงและหยุดลั่นกลองรบไปแล้ว แต่ไม่คิดว่า ผ่านไปสักพักเขาก็ส่งข้อความกลับมา [นายพูดแบบนี้ อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน]
[เราไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันแล้ว โทษยายนายเถอะ อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง]
หลังจากที่ชุยหังส่งกลับไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
คำพูดของหลิวเฮ่อเมื่อสักครู่เหมือนว่ากำลังคุกคามเขาอยู่หรือเปล่า
‘เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ไม่ต้องโทษเขา?’
เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ช่วงที่ผ่านมาตัวเองไม่เคยติดต่อกับเขาเลยและไม่มีเพื่อนร่วมกัน แม้ว่าเขาจะติดต่อกับเพื่อนเก่าของตัวเอง พวกเขาไม่รู้เรื่องระหว่างตัวเองกับหลูจื้ออย่างแน่นอน แล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
ตอนที่ 231 หายนะ
ช่วงสองวันที่ผ่านมาหลิวเฮ่อติดต่อกับชุยหังก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ชุยหังยังคงกังวลและไม่สามารถวางใจได้
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
สองวันมานี้ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจากหลูจื้อเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามชุยหังก็ไม่โทษหลูจื้อ เพราะทั้งหมดนี้เขาเป็นคนทำเอง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ติดต่อมา แต่ตัวเขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ตอบกลับเลย
แม้ว่าทหารทุกคนจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ตัวเองทิ้งเขาไว้แบบนี้โดยไม่พูดอะไรสักคำก็จะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามเขายังคงคิดว่าหลิวเฮ่อน่าจะกำลังขู่ตัวเองให้ระวังตัวเมื่อกลับไปตงเป่ยครั้งหน้า แต่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีความสามารถแค่ไหนกัน
คำตอบถูกประกาศในสองสองวันต่อมา
ชุยหังไปฝึกซ้อมทีมเต้นเป็นปกติ แต่พบว่าคนเหล่านั้นมองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ
ความจริงมีคนมาชี้ตัวเองตอนที่กำลังอยู่บนถนน พวกเขายังคิดว่าตัวเองคือคนที่ตีลังกาในงานเลี้ยงคณะคนนั้น
ตอนที่เขาอยู่มัธยมปลายมักจะมีคนมาชี้ที่เขา และแนะนำนักเรียนข้างๆ ให้รู้จักว่าเขาคือคนที่ได้ที่หนึ่ง ในรายการใหญ่
แต่ครั้งนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกัน
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เขากลายเป็นคนดังในชั่วพริบตา
“ชุยหัง นายเปิดเวยปั๋วแล้วเหรอ” กัปตันทีมเต้นมองชุยหังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
ชุยหังเอ่ยตอบ “ใช่ แต่หลังจากที่เปิดก็โพสต์ไปแค่ครั้งเดียวเอง ไม่ค่อยได้เล่น”
“โอ้ แล้วปกตินายก็ไม่ได้ดูเวยปั๋วของตัวเองเหรอว่ามีคนส่งข้อความให้นายไหม” กัปตันถามอย่างมีความหมายโดยนัย
ชุยหังชะงักไปพร้อมเอ่ย “ฉันไม่ใช่คนดัง ใครจะส่งข้อความมาให้ล่ะ”
สีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไปเป็นครุ่นคิดพลางพูดขึ้นว่า “วันนี้นายไม่ต้องซ้อมแล้ว กลับไปจัดการเรื่องส่วนตัวของนายเถอะ”
แม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของกัปตัน แต่ชุยหังเห็นคนอื่นในทีมมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม เขาจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยปกติจึงทำได้เพียงตอบตกลง
ด้วยความสงสัยและสังเกตอย่างจริงจังว่าทำไมคนอื่นถึงมองตัวเองแบบนี้ ชุยหังรู้สึกเหมือนมีหลายคนมองเขาด้วยสายตาแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
สำหรับเหตุผลที่มองนั้นอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กัปตันเพิ่งจะเตือนเขาเกี่ยวกับเวยปั๋ว
เขารีบกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง จากนั้นก็นอนบนเตียงชั้นบนและเปิดเวยปั๋วของตัวเองขึ้นมา
[ออกไปจากโพลี]
นี่เป็นข่าวแรกที่ชุยหังเห็นและทำให้เขาตกใจมาก
‘ประโยคนี้หมายถึงตัวเองเหรอ’
เขาถูกทำให้ดูแปลกประหลาดด้วยห้าคำนี้ ขณะเดียวกันนั้นใจของเขาก็หนักอึ้ง
เขาดึงความกล้าขึ้นมาและเลื่อนอ่านต่อ จากนั้นก็ยิ่งรู้สึกทนกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้
[เดิมทีอีหนูชาเขียวก็ไม่ได้ไม่แบ่งแยกเพศนะ พระเจ้าสร้างนายมาให้เป็นผู้ชาย แต่นายกลับชอบผู้ชาย ขอโทษบรรพบุรุษของนายด้วย]
[น่าขยะแขยง มิน่าล่ะไปอยู่ทีมเต้น ที่แท้ก็เป็นเพศกำกวม]
[ถ้าชอบที่จะเป็นผู้หญิงก็ไปผ่าตัดที่เมืองไทยเลยไม่ดีกว่าเหรอ เป็นแบบนี้มันน่ารังเกียจ อยู่คณะขนส่งมีผู้ชายเยอะที่สุดด้วย นายชอบไปแอบมองคนอื่นในห้องน้ำทุกวันเลยใช่ไหม]
ความคิดเห็นแบบนี้เพิ่มขึ้นมาทีละคนทีละคน บางคนก็โจมตีส่วนตัวและยังด่าไปถึงการสั่งสอนและพ่อแม่ของเขา
ชุยหังมองไปที่ความเห็นที่น่าตกใจเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
‘เกิดอะไรขึ้น ตัวเองทำอะไร’
[เกย์ตายไปซะ เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบแต่อยากจะเป็นขันที ตอนพ่อแม่นายให้เกิดมาแอบตัดตรงนั้นไปเหรอ]
ชุยหังรู้สึกมึนงง เห็นได้ชัดเลยว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมพวกเขาถึงรู้รสนิยมทางเพศของเขา
‘ในเมื่อรู้แล้ว แต่ตัวเองไม่ได้ไปทำร้ายใคร แล้วทำไมพวกเขาต้องมาด่าตัวเองแบบนี้’