ตอนที่ 70 คำพูดที่ไม่สมควร

ระบบอัจฉริยะที่ไม่มีใครเสมอเหมือน

เมื่อเสี่ยวหลัวเดินออกจากอาคารบริหารของมหาลัย เสี่ยวหลัว ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะมีปัญหามากกว่านี้ซะอีก แต่เขาก็ไม่ได้กังวลอะไรนัก เพราะเขามี ต้ง เจิ่นอู๋ หนุนหลังอยู่ ที่นี่ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำอะไรรุนแรงมากเกินไปหรือฆ่าใครสักคน ต้ง เจิ่นอู๋ ก็จะปกป้องเขา

แน่นอนว่า ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ชู หยุนเชียง ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก อย่างน้อยในช่วงเวลาที่เขาปกป้อง ชูเยว่ ชู หยุนเชียง ก็ยินดีที่จะขจัดปัญหาให้กับเขา ซึ่งนั่นมันทำให้เขามีความรู้สึกมั่นใจอยู่ลึกๆ และด้วยเรื่องนี้เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปกป้อง ชูเยว่ ให้ดีที่สุด

ตั้งแต่พวกเขาออกมาจากอาคารบริหาร ฉิน หนานหยู่ ก็พูดจู้จี้กับเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เธอพยายามปลูกฝังหลักการของเธอในตัวของเขา แต่เสี่ยวหลัวก็ทำเพียงหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขาก็แค่ยิ้มอย่างสุภาพและแสดงว่าเข้าใจ

ตอนนี้เสี่ยวหลัวยิ้มได้จากใจจริงเพราะว่าแต้มของระบบเพิ่มสูงขึ้น 10,000 เเต้มแล้วในตอนนี้จำนวนแต้มทั้งหมดของเขาที่มีก็คือ 31,000 แต้ม แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะใช้แต้มเหล่านี้เพื่อแลกกับความสามารถใหม่ในทันที เสี่ยวหลัวต้องการความหลากหลายในการแลกเปลี่ยน และเขาก็ไม่ต้องการความสามารถที่ไร้ประโยชน์ชั่วคราวพวกนั้นด้วย การที่ไม่แลกเปลี่ยนหมายถึงการป้องกันอุบัติเหตุเมื่อเขาต้องการในอนาคต นอกจากนี้เขายังต้องการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจที่เมื่อเขาต้องการทักษะเฉพาะทาง แต่เขากลับไม่มีแต้มมากพอที่จะต้องใช้ในการแลกอีกด้วย

“เสี่ยวหลัว เธอควรจำไว้เสมอว่า เธอไม่ได้เป็นทหารแล้ว ตอนนี้เธอเป็นนักศึกษาในวิทยาลัย บางครั้งเธอก็ต้องระงับอารมณ์ของเธอไว้ และเธอก็ควรตั้งใจศึกษาให้ดี จากนั้นจึงค่อยเข้ารับการราชการหรือเข้าร่วมในกองกำลัง หรือไม่ก็เรียนต่อในบัณฑิตวิทยาลัย อนาคตของเธอยังอีกยาวอย่าปิดกั้นตัวเองในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เลย ” ฉิน หนานหยู่ เทศนาอย่างจริงจัง

“ผมรู้ อาจารย์ฉิน” เสี่ยวหลัว ตอบพร้อมร้อยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหลัวแสดงถึงทัศนคติที่น่าพอใจ ฉิน หนานหยู่ ก็ไม่มีอะไรที่จะพูดต่อไปอีกแล้ว และที่สำคัญเธอก็กระหายน้ำจนปากแห้งผาดเนื่องจากการพูดทั้งหมดนี้ “เธอกลับไปพักได้แล้ว ฉันหวังว่า ฉันจะไม่ได้ยินเรื่องของเธอในเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้อีกหลังจากนี้”

เสี่ยวหลัวพยักหน้าพร้อมกับนำมือล้วงกระเป๋ากางเกงของเขาและเดินจากไป

เมื่อเสี่ยวหลัวเดินจากไปแล้ว ฉิน หนานหยู่ก็อุทานออกมา “ให้ตายเถอะพระเจ้า! ทำไมหน้าฉันถึงได้โทรมอะไรเช่นนี้”

ฉิน หนานหยู่ ลูบหน้าผากของตัวเอง พร้อมกับส่ายหัวขณะที่ถอนหายใจออกมา คิ้วของเธอเกือบจะพัดกันจนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว ในสองวันนี้เธอแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะเรื่องที่ เสี่ยวหลัว ทำ เธอรู้สึกว่าสีผิวของเธอซีดลงไปมากและตอนนี้เธอบนใบหน้าของเธอก็เริ่มมีสิวขึ้นมาแล้ว

******

เมื่อกลับมาถึงที่หอพัก จูเสี่ยวเฟย และ เติ้งไค ก็รีบลุกขึ้นมาในทันที

“พี่หลัว อาจารย์ใหญ่ทำอะไรกับพี่บ้าง? การลงโทษเป็นการไล่ออกหรือการคุมประพฤติ?”จูเสี่ยวเฟย ถามอย่างใจจดใจจ่อ

“ทุกอย่างมันเป็นความผิดของพวกเราเอง พวกเราจะไปขอความเมตตาจากอาจารย์ใหญ่” เติ้งไค กล่าวขึ้น

เสี่ยวหลัว หัวเราะและเดินไปตบไหล่ของเติ้งไค“ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างมันโอเค นายไม่ต้องไปขอความเมตตาจากใครทั้งนั้นแหละ”

ทุกอย่างมันโอเคจริงๆเหรอ?

จูเสี่ยวเฟย ไม่มั่นใจว่าเสี่ยวหลัว กำลังโกหกพวกเขาอยู่หรือเปล่า เขาพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า“พี่หลัว พี่คงไม่โกหกพวกเราอยู่หรอกใช่ไหม พี่เกือบทำให้มือของ ซ่ง เจียหนาน พิการ มันไม่มีทางที่มหาลัยจะปล่อยพี่ออกมา โดยที่ไม่มีการลงโทษอะไร”

เติ้งไคพยักหน้าอย่างแรง เขาเห็นด้วยกับคำพูดของ จูเสี่ยวเฟย ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

“ฉันเคยโกหกพวกนายด้วยเหรอ?” เสี่ยวหลัวส่ายหัวและถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เอาหละตอนนี้ฉันค่อนข้างเหนื่อยอยู่นิดหน่อย ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”

เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว เสี่ยวหลัวก็เดินไปที่เตียงพร้อมกับล้มตัวลงนอนจากนั้นเขาก็หลับลงไปในทันที

จูเสี่ยวเฟยและเติ้งไค มองไปที่เสี่ยวหลัวที่นอนหลับอย่างสงบ จากนั้นพวกเขาก็มองหน้ากันและกัน ตอนนี้พวกเขาเชื่อเพียงเล็กน้อยกับสิ่งที่เสี่ยวหลัวพูด

“หรือว่า พี่หลัว จะมีคอนเน็กชั่นที่ทรงพลังบางอย่าง?” จูเสี่ยวเฟย พูดออกมาอย่างสงสัย

เติ้งไค ลูบคางของเขา พร้อมกับทำท่าคิดเหมือนกับนักสืบโคนัน

……

ข่าวของเสี่ยวหลัวที่เอาชนะชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า เพียงลำพังและทำให้มือของ ซ่ง เจียหนาน เกือบพิการ ดังกระฉ่อนไปทั่ววิทยาเขตของมหาวิทยาลัยหัวเย่ เสมือนลมพายุที่โหมกระหน่ำ นี่คือสิ่งที่นักศึกษาพูดถึงกันมากที่สุดในวันนี้ หลายคนรู้สึกโล่งใจ ท้ายที่สุดแล้ว ซ่ง เจียหนาน นั้นก็หยิ่งและชอบรังแกคนอื่น และพวกชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า ก็เป็นราวกับแก๊งค์อันธพาลของมหาลัย

ในเวลาเดียวกันพวกเขารู้สึกสนใจเกี่ยวกับตัวของ เสี่ยวหลัว เป็นอย่างมาก พวกผู้ชายต้องการเห็นออร่าของเขาด้วยสายตาของตัวเอง เพราะบางคนกล่าวถึงในฟอรัมมหาลัยว่าเสี่ยวหลัวไม่เพียง แต่เก่งในเรื่องการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีความสามารถทางด้านฟุตบอลอีกด้วย ฟุตบอลที่เขาเตะจะกลายเป็นลูกไฟเหมือนอย่างกับในภาพยนตร์ “นักเตะเสี่ยวหลินยี่”

ในทางกลับกันพวกหญิงสาว ต่างก็สงสัยเกี่ยวกับเสี่ยวหลัวด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป หลายคนทิ้งไอดอลเก่าของพวกเธอ และยกให้เสี่ยวหลัวกลายเป็นไอดอลชายคนใหม่ของพวกเธอ มีโพสต์มากกว่าหนึ่งพันโพสต์บนฟอรัมในฟอรัมมหาลัยเกี่ยวกับเสี่ยวหลัว ซึ่งเรื่องพวกนี้มันมักจะอยู่ที่ด้านบนสุดของฟอรัมอยู่เสมอ

“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร? ทุบตีสมาชิกชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า มากกว่าร้อยคนแล้วเดินกลับออกไปโดยไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย ได้ยังไง?”

ชูเยว่ที่นั่งอยู่ในห้องหอพักของเธอ ตอนนี้เธอกำลังมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กโดยไม่กะพริบตาขณะที่ดูดอมยิ้ม เธอก็ยังคงดูสง่างามไม่ว่าเธอจะแสดงท่าทางออกมาอย่างไรก็ตาม

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” ไป่หลิง พูดอย่างรอบคอบและเธอก็เริ่มวิเคราะห์ตามความคิดเห็นของเธอ “ตามในบันทึกของมหาลัย มันบอกว่าเขามาจากครอบครัวธรรมดาๆ ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจะมีภูมิหลังหรือความสัมพันธ์ใดๆ มันจึงไม่มีอะไรผิดสังเกต หากมีอะไรผิดปกติ ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นช่วงเวลาตอนที่เขาอยู่ในกองทัพ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รับใช้กองทัพอยู่ในเขตทหาร ซึ่งมันก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติเหมือนกัน”

“ผู้ชายคนนี้เป็นปริศนา!” ชูเยว่ มุ่ยปากพร้อมกับเท้าคาง

ในตอนแรก เมื่อเธอได้ยินว่า เสี่ยวหลัว เอาชนะชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้าทั้งหมดเธอไม่เชื่อมันเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะคนมากกว่าร้อย ด้วยตัวคนเดียวได้ คุณปู่เหมาเคยกล่าวไว้ว่า หากมีคนคนหนึ่ง สามารถเอาชนะคนร้อยคนได้ เขาคนนั้นก็คงจะเป็น ลิโป้ กลับชาติมาเกิดแล้ว

ไป่หลิง พยักหน้าเห็นด้วย “อืมม.”

……

แน่นอนว่าสำหรับยุคของข้อมูลข่าวสารที่มากมายและมาเร็วไปเร็วเช่นนี้ เรื่องของเสี่ยวหลัวที่ไปอาละวาดทำลายชมรมศิลปะการต่อสู้ซานต้า ในไม่ช้ามันก็เริ่มหายไปจากความสนใจของทุกคน พวกนักศึกษาในหัวเย่ เริ่มเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่นๆ เช่นเรื่องนอกใจของดาวคณะ และเรื่องนี้มันก็มีผลกระทบมากเลยทีเดียว…ในระยะสั้นๆความสนใจของทุกคนค่อยๆขยับเขยื้อนไป

ถึงเวลาที่จะต้องฝึกซ้อมอีกครั้งแล้ว

ฮวาง รั่วหราน รู้สึกอยากจะร้องให้ เพราะนักศึกษาในวิชาเอกภาษาอังกฤษของเธอ ยังไม่สามารถร้องเพลง’แม่น้ำเหลือง’ ได้อย่างกลมกลืนเลย และเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นก่อนที่การแข่งขันจะมาถึง สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอยากจะร้องให้จริงๆ ก็คือสาขาวิชาเอกเทคโนโลยีการวัดและการควบคุม ที่ฝึกซ้อมร้องเพลงอยู่ใกล้ๆ ก็กำลังร้องเพลง’แม่น้ำเหลือง’ เหมือนกัน และการร้องเพลงของพวกเขาก็อยู่ในระดับปานกลาง ความกลมกลืนและความกระตือรือร้นของพวกเขานั้นเกินกว่าระดับของพวกเธอไปมาก

เมื่อนำนักศึกษาทั้งสองวิชาเอกมาเปรียบเทียบกันแล้ว มันก็เหมือนกับสวรรค์และนรก น่าเสียดายที่นักศึกษาวิชาเอกของเธอเป็นอย่างหลัง!

ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้สาขาวิชาภาษาอังกฤษรู้สึกอับอายขายหน้ามาก พวกเธอต้องการร้องเพลงที่ดี แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดพวกเธอก็ไม่สามารถซิงค์กันได้ซักที พวกเธอไม่สามารถร้องเพลง’แม่น้ำเหลือง’ ได้เลย

ทันใดนั้นหัวหน้าทีมจากสาขาวิชาเทคโนโลยีการวัดและการควบคุมก็ได้เดินเข้ามา เขาเป็นผู้ชายที่สวมแว่นตาและดูเป็นคนที่เรียบร้อยคนหนึ่ง

“รั่วหราน ฉันแนะนำให้เธอเลือกเพลงอื่นจะดีกว่านะ การร้องเพลง’แม่น้ำเหลือง’ ต้องใช้เสียงที่หนักแน่นของผู้ชาย มันไม่เหมาะสำหรับผู้หญิง เมื่อร้องออกมามันฟังดูนิ่มนวลและเป็นผู้หญิงมากเกินไป หากเธอเลือกที่จะร้องเพลงนี้ในการแข่งขัน มันไม่มีทางที่เธอจะได้รับผลลัพธ์ที่ดี”

สีหน้าของ ฮวาง รั่วหราน มืดลงในทันที เธอตอบกลับไปว่า“จ้าว ซินเจีย นายก็ฝึกของนายไปเราก็ฝึกของเรา การฝึกของเรามันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับนายเลยนะ นายจะมาพูดเหน็บแนมเพื่ออะไร?”