บทที่ 46 คนที่จนคือเธอต่างหาก

รักหวานอมเปรี้ยว

ปีโป้กลัวจนตัวสั่น หลังจากที่วางสาย ก็สะพายกระเป๋าอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องให้มายมิ้นท์เอ่ยไล่ เขาก็รีบพุ่งไปยังประตูทันที

ตอนที่เปิดประตูเตรียมจะออกไป ปีโป้ก็หันกลับมาเตือนมายมิ้นท์ว่า “พี่รับของจากผมไปแล้ว เพราะงั้นวันเสาร์ต้องไปโรงเรียนผมนะ! ถ้าพี่บอกพี่ชายผม ผมก็จะฟ้องพี่ชายผมว่า ที่พี่หย่ากับเขา ก็เพราะว่าพี่ไปนอนกับไอ้หน้าอ่อน!”

มายมิ้นท์พูดอะไรไม่ออก

ปีโป้วิ่งอย่างสุดชีวิต มาถึงประตูทิศใต้ในเวลาสองนาทีพอดี

เมื่อมาถึงก็เห็นรถคันหรูของพี่ชายจอดอยู่ อีกฝ่ายนั่งสูบบุหรี่อยู่ฝั่งคนขับ ด้วยท่วงท่าสบายๆ ปลายนิ้วโอบล้อมไปด้วยควันบุหรี่

เขาขึ้นมาบั่งบนเบาะข้างคนขับอย่างหอบเหนื่อย พร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัย

เปปเปอร์ปรายตามองเขาอย่างเยือกเย็น ทั่วทั้งร่างกายแผ่ไอกดดันออกมา จนปีโป้ต้องก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาทั้งนั้น

จนกระทั่งรถออกแล่นบนถนนอย่างคงที่ เปปเปอร์ถึงได้เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ามาหาเธอที่นี่อีก แกกำลังทำหูทวนลม?”

“ผมไม่ได้เอาเงินมาด้วย…”

เปปเปอร์แสยะยิ้มเย็น “โรงแรมใต้เครือบริษัทตระกูลนวบดินทร์มีตั้งหลายที่ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าแกคือคุณชายรองของตระกูลนวบดินทร์”

“ช่วงนี้ผมกินอะไรไม่ค่อยได้ เลยมาฝากท้องกับเธอที่นี่” ปีโป้ทำใจดีสู้เสือพูดขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้ทำอาหารอร่อย พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอ?”

พูดจบเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าใช้คำเรียกผิดไป จึงรีบเปลี่ยน “หมายถึงพี่สะใภ้เก่า นี่พี่ ถึงพวกพี่จะหย่ากันแล้ว ก็คงไม่ถึงขั้นห้ามผมมากินข้าวกับเธอหรอกใช่ไหม? อีกอย่างผมก็ไม่บังคับให้เธอเปิดประตูทำอาหารให้ผมกินด้วย”

ชายหนุ่มส่งเสียงไม่พอใจออกมาอีกครั้ง บ่งบอกได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดโกหกของน้องชาย

“พี่ อันที่จริงแล้วพี่สะใภ้เก่าก็ดีมากๆเลยนะ” ปีโป้เอ่ยพูดอย่างระมัดระวัง

เขาอยากให้มายมิ้นท์ไปช่วยเขาที่โรงเรียน ดังนั้นจึงเอ่ยชมเธอต่อหน้าพี่ชายตัวเอง อีกอย่างมายมิ้นท์ก็ดีอย่างที่เขาพูดจริงๆ

บางครั้ง การจะดูว่าคนคนหนึ่งจะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่สามารถตัดสินได้แค่ฟังคำพูดของคนอื่น ต้องได้เห็นและสัมผัสด้วยตาของตัวเองก่อน

เมื่อเห็นเปปเปอร์เงียบ ปีโป้จึงฮึดพูดต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าบริษัทของเธอไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่ลองช่วยเธอ หรือถ้าว่างก็สอนเธอเรื่องธุรกิจหน่อยเป็นไง ตอนที่หย่ากับพี่ เธอไม่ได้เรียกร้องเอาอะไรเลยสักอย่าง ชีวิตคงลำบากน่าดู…….”

เรื่องที่มายมิ้นท์เคยคบหากับคนในอินเทอร์เน็ตในอดีต เขาตัดสินใจที่จะไม่บอกพี่ชาย

ใครบ้างล่ะไม่เคยมีอดีต?

“หน้ายังเจ็บอยู่ไหม?” เปปเปอร์ตัดบทเขา

ปีโป้แลบลิ้นเลียปาก “ก็เจ็บอยู่ แต่พอเธอทายาให้ก็ไม่เจ็บแล้ว”

“กลับไปก็ไปขอโทษแม่ซะ บาสก็ไม่ต้องเล่นแล้ว กลับมาตั้งใจเรียน” เปปเปอร์ใช้แขนค้ำหน้าต่างด้วยแววตาเย็นยะเยือก “ตอนฉันสิบหก พ่อมอบหมายงานให้ฉัน ทั้งยังให้ฉันเข้าไปเรียนรู้บริษัทตระกูลนวบดินทร์ในขั้นสูง”

แววตาของปีโป้หม่นแสง ขยับริมฝีปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เปปเปอร์กลับพูดนิ่งๆออกมาก่อนว่า “หรือว่าพรุ่งนี้แกอยากไปเรียนที่ต่างประเทศ?”

ปีโป้ไม่กล้าโต้ตอบชายหนุ่ม เขาก้มหน้าลง ไม่ส่งเสียงอะไรออกมา

……

มายมิ้นท์ไม่ได้เก็บคำพูดของปีโป้มาใส่ใจ เพราะยุ่งอยู่กับการประชุม และสะสางงาน

เมื่อลาเต้มาที่เทนเดอร์กรุ๊ป ก็ปรึกษาหารือกับลาเต้ เรื่องซื้อกิจการบริษัทดีย์คูเปอร์ สุดท้ายก็ได้ความคิดเห็นที่ตรงกัน

ถ้าหากปรับปรุงบริษัทดีย์คูเปอร์ให้ดีๆ ก็จะสามารถกลายมาเป็นแขนซ้ายและแขนขวาให้เทนเดอร์กรุ๊ปได้ อีกอย่างราคานี้มายมิ้นท์ยังสามารถจับต้องได้อีกด้วย

แต่ว่าคนที่ต้องการซื้อบริษัทดีย์คูเปอร์มีเยอะมาก มีคนอยากเจรจากับเจ้าของตั้งหลายคน จนเจ้าของเริ่มรำคาญ หลังจากที่ไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อเดือนธันวา ก็ไม่กลับมาอีกเลย โทรศัพท์ก็ไร้คนรับสาย การติดต่อเขาจึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

หลายวันมานี้มายมิ้นท์ยุ่งอยู่กับการหาช่องทางการติดต่อของเจ้าของบริษัทดีย์คูเปอร์ ทว่าสอบถามกับใครไม่ได้เลย

เธอหงุดหงิดแทบตาย เมื่อทั้งเช้ามีแต่สายโทรศัพท์จากปีโป้ โทรมาถามเธอว่าจะไปถึงโรงเรียนกี่โมง

เธอจึงกดบล็อกไปให้จบๆ

ต่อมาปีโป้ก็เปลี่ยนเป็นเบอร์ของโรงเรียนโทรมาหาเธอ น้ำเสียงไร้ซึ่งความก้าวร้าว จนถึงขั้นติดแววอ้อนวอน “คืนนั้นตอนที่พี่ชายผมมารับผมกลับไป ผมยังพูดชมพี่ให้เขาฟังอยู่เลยนะ พี่จะช่วยผมสักครั้งไม่ได้เลยเหรอ?”

“ขอร้องล่ะ ถ้าพี่ไม่มา ชีวิตผมคงจบสิ้นแน่ๆ”

มายมิ้นท์ทั้งโกรธทั้งอยากขำ

เด็กอายุสิบหก เพิ่งเริ่มต้นใช้ชีวิตแท้ๆ แต่กลับคิดว่าชีวิตจะมืดมน เพียงเพราะไม่ได้เล่นบาสเนี่ยนะ?

เธอตัดสายอย่างใจร้าย ไม่ได้สนใจเขาอีก แต่เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนถึงเวลาพัก มายมิ้นท์ก็นึกไปถึงน้ำเสียงเจียมเนื้อเจียมตัวของปีโป้ตอนที่โทรมา ก็เริ่มใจอ่อน

เธอรู้จักปีโป้มาตั้งนาน แต่นี่คือครั้งแรกที่ได้เห็นเขาขอร้องคนอื่น ยกเว้นพี่ชายของเขา

“บอส ยุ่งอยู่ไหมคะ?” ชาหวานเคาะประตูพร้อมกับเปิดเข้ามา “ย่าของฉันสุขภาพไม่ค่อยดี เลยว่าจะขอลาสามวัน ไปเยี่ยมสักหน่อยค่ะ”

พอได้ยินคนอื่นพูดถึงคนในครอบครัว มายมิ้นท์ก็คิดถึงท่านย่าตระกูลนวบดินทร์

หลังจากที่เธอหย่ากับเปปเปอร์ ก็ขาดการติดต่อกับท่านย่าตระกูลนวบดินทร์ไปเลย ไม่รู้ว่าสุขภาพร่างกายตอนนี้ดีหรือเปล่า

“ได้สิ ถ้ารีบ ก็ลาวันนี้เลยก็ได้นะ ฉันอนุญาต” มายมิ้นท์เอ่ยพูด “ถ้าต้องอยู่บ้านต่ออีกหลายวัน ค่อยกลับมาเขียนใบลาเพิ่มก็ได้”

ดวงตาของชาหวานเป็นประกาย “ว้าว ประธานมายมิ้นท์ดีจังเลย ใจดีสุดๆ!”

เมื่อได้รับการอนุมัติให้ลาได้ เธอก็ไม่ได้รีบไปไหน กลับกันก็พูดกับมายมิ้นท์ว่า “ประธานมายมิ้นท์ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่บ้านฐานะค่อนข้างยากจน วันหนึ่งทำตั้งสามงานแหนะ ฉันอยากช่วยเขานะแต่ก็ไม่อยากให้เขารู้สึกเสียเกียรติ คุณพอจะช่วยเขาได้ไหมคะ?”

“เขากี่ปีแล้ว ทำอะไรได้บ้าง?” มายมิ้นท์เอ่ยถาม “ถ้าทำอะไรไม่ได้เลย จะมาเป็นรปภ.ที่เทนเดอร์กรุ๊ปก็ได้นะ เดี๋ยวฉันให้เงินเดือนเขาสูงขึ้นมาหน่อย”

ชาหวานเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของลาเต้ ถ้าหากช่วยเพื่อนของเธอได้ มายมิ้นท์ก็เต็มใจช่วย

“ฉันเตรียมทุกอย่างไว้แล้วค่ะ ขอแค่ประธานมายมิ้นท์เห็นด้วยก็พอ” ชาหวานหัวเราะคิๆแล้วพูดว่า “ให้เขาเป็นคนขับรถให้คุณก็ได้ค่ะ ต้องการใช้รถเมื่อไหร่ก็เรียกเขาได้ เรื่องเงินเดือนเดี๋ยวฉันช่วยเขาออกเอง”

มายมิ้นท์เองก็กำลังต้องการคนขับรถมาช่วยขับรถให้ในบางที “เอาสิ ส่วนเงินเดือนเดี๋ยวฉันจ่ายเอง ถึงยังไงรายได้ของเธอก็ไม่ได้สูงขนาดช่วยออกเงินได้ขนาดนั้น”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมีบ้าน” ชาหวานโบกมืออย่างไม่คิดอะไรมาก “บ้านในเขตตัวเมืองขายได้ราคาดี เพียงพอจ่ายเงินเดือนให้เขาได้ตลอดทั้งปี”

มายมิ้นท์ชะงัก แล้วเอ่ยถามว่า “บ้านที่ว่าเป็นห้องหรือว่า……”

“ส่วนใหญ่เป็นห้องค่ะ เป็นคฤหาสน์มีแค่ไม่กี่หลัง” ชาหวานพยายามนึก “แม่ฉันเป็นคนขายทั้งนั้น แต่ว่าฉันก็จำไม่ได้ว่าขายหลังไหนไป ประธานมายมิ้นท์ถ้าคุณต้องการซื้อคฤหาสน์ ฉันลดให้คุณเอาไหม?”

“………..” มายมิ้นท์ลูบหน้าผากอย่างท้อแท้

เมื่อสักครู่เธอยังเห็นใจที่ชาหวานมีรายได้ไม่สูงอยู่เลย กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายได้ออกมาสัมผัสชีวิตมากกว่าเสียอีก คนที่จนคือเธอต่างหาก

ผ่านไปสักพักมายมิ้นท์ก็เตรียมตัวไปที่โรงเรียนของปีโป้ จากนั้นก็ส่งกุญแจให้ชาหวาน แล้วให้เธอเรียกเพื่อนของเธอคนนั้นมาขับรถให้

ห้านาทีต่อมา ชาหวานก็โทรมาบอกว่า “ประธานมายมิ้นท์เขามาถึงแล้วค่ะ กำลังรออยู่ข้างล่าง เวลาพูดกับเขาระวังหน่อยนะคะ อย่าให้เขาดูออกเด็ดขาด”

“รู้แล้ว”

มายมิ้นท์เก็บของเสร็จก็ออกมาจากบริษัท เมื่อเห็นรถของตัวเอง ก็เดินตรงเข้าไปเปิดประตูรถ

“เพื่อนของชาหวานใช่ไหม?” มายมิ้นท์เอ่ยถามพร้อมกับเงยหน้ามอง ในตอนที่กำลังจะบอกจุดหมายปลายทาง คนขับรถก็หันหน้ามาพอดี ดวงตาเรียวประดับไปด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองมองตากันอยู่พักใหญ่ จากนั้นทามทอยก็โบกมือให้เธอ “ไฮ ประธานมายมิ้นท์”