หลังออกจากเมืองจักรวรรดิ, จี้เทียนซิงก็ควบขี่อาชามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
จากเมืองจักรวรรดิไปจนถึงเทือกเขาเย่ในหยุนโจวนั้น จำเป็นต้องข้ามฉิงโจวซึ่งอยู่ห่างออกไปไปสองพันไมล์
ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะขี่ม้าวายุหิมะขาวที่เดินทางได้ 800 ไมล์ต่อวัน แต่ชายหนุ่มก็ต้องใช้เวลาถึงสองวันครึ่งกว่าจะไปถึงจุดหมาย
การออกนอกเมืองไปยังเทือกเขาเย่ครั้งนี้ก็เพื่อค้นหาดอกไม้ดาราแดง เขาค่อนข้างระวังเรื่องนี้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
ไม่มีบุคคลที่สามล่วงรู้การเดินทางครั้งนี้นอกจากบิดาของมันเอง
เพื่อปิดบังอัตลักษณ์จากผู้คน จี้เทียนซิงยังสวมหน้ากากเหล็กสีดำและเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ทับอีกชั้น
ชายหนุ่มเดินทางไปตามถนนหลักไปยังหยุนโจว ตลอดเส้นทางมันได้พบกับนักเดินทางและพ่อค้าจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไร้ซึ่งเจตนาร้าย แต่พวกพ่อค้าและนักเดินทางเหล่านั้นก็ยังคงระแวง
เนื่องจากในยุทธภพนั้น มีจอมยุทธ์บางจำพวกที่มักสวมหน้ากากหรือผ้าคลุมหน้าเพื่อปกปิดตัวตน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ดังนั้นการที่บรรดานักเดินทางทั้งหลายไม่ค่อยญาติดีกับจี้เทียนซิงก็เป็นที่พอเข้าใจได้
ตกเย็นของวันต่อมา ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้ามาถึงอาณาเขตของหยุนโจวและหาโรงเตี๊ยมในเมืองพัก
ในเวลานี้เขาอยู่ห่างจากเทือกเขาเย่กว่า 400 ไมล์และมีเวลาเหลืออีก 4 วันก่อนที่ดอกไม้ดาราแดงจะเบ่งบาน
ในตอนเที่ยงของวันที่สาม จี้เทียนซิงก็มาถึงเทือกเขาเย่และเข้าไปในเมืองเล็กๆก่อนจะถึงเทือกเขาเย่
การเดินทางครั้งนี้ราบลื่นปลอดภัยและไม่พบอุปสรรคใดๆตลอดเส้นทาง
เขาเร่งร้อนเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนและมาถึงก่อนเวลาถึง 2 วัน ในที่สุดเขาก็รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าจนรู้สึกอยากพักผ่อน
หลังจากเข้าไปในเมืองเย่ ชายหนุ่มก็มองหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพักในตัวเมือง
แต่ที่ตั้งของเมืองนี้อยู่ห่างไกลความเจริญมาก มันทั้งเป็นเมืองเล็กจ้อยอีกทั้งยังเก่าโทรม
ถนนภายในเมืองก็มีเพียงสองสายเท่านั้นแต่มีมากกว่า 200 หลังคาเรือนอาศัยอยู่ มันจึงกลายเป็นเมืองที่ทั้งเล็ก คับแคบและแออัด
จี้เทียนซิงเดินค้นหาทั่วทั้งเมืองและเห็นโรงเตี๊ยมเพียงแค่แห่งเดียว
มันเป็นโรงเตี๊ยมที่ก่อขึ้นด้วยอิฐสีแดงและกระเบื้องสีน้ำเงิน มันชื่อว่าโรงเตี๊ยมไลฟุและเป็นหนึ่งในอาคารที่ใหญ่ที่สุดภายในเมือง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็มีเพียงแค่ 3 ชั้นและลานกว้างขวางที่พอเหมาะพออาศัยอยู่ได้
โดยปกติแล้วเมืองนี้จะมีผู้คนไม่มากนัก มีร้านรวงอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในระแวกโรงเตี๊ยมแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อจี้เทียนซิงเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมไลฟุ เขาก็ได้เห็นจอมยุทธ์สามคนนั่งอยู่บนชั้น 1 พวกมันดื่มกินด้วยอากัปกิริยาที่ป่าเถื่อนหยาบคาย
คนเหล่านี้ดูเย่อหยิ่งจองหองดั่งมารยาทที่แสดงออก แต่ละคนพกมีดและกระบี่ เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ตามป่าเขาที่หยาบกร้าน
จี้เทียนซิงขบคิดว่าจอมยุทธ์เหล่านี้ล้วนมาเพื่อดอกไม้ดาราแดงบนเทือกเขาเย่เป็นแน่
ในเวลานี้เอง เสี่ยวเอ้อหนุ่มในชุดสีดำที่มีผ้าขนหนูพาดไหล่ก็วิ่งออกมาจากห้องโถง และทักทายด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งถามว่าต้องการเข้าพักหรือไม่
จี้เทียนซิงพยักหน้าขอห้องหนึ่งและเดินเข้าไปในห้องโถงโดยไม่แสดงอาการใดๆออกมา
เสี่ยวเอ้ออีกคนรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงและจูงม้าของจี้เทียนซิงไปไว้ในสวนด้านข้างโรงเตี๊ยมเพื่อป้อนอาหารป้อนน้ำแก่มัน
จากนั้น ทันทีที่จี้เทียนซิงเดินเข้ามาในห้องโถง เหล่าจอมยุทธ์ที่ก้มหน้าก้มตากินดื่มก็หันมามองชายหนุ่มทันที
ด้วยการที่เขาสวมเสื้อคลุมสีดำและสวมหน้ากากจึงทำให้ทุกคนในห้องโถงไม่อาจจดจำได้ว่าเขาคือใครมาจากไหน ดังนั้นพวกมันจึงได้แค่เพียงมองอย่างเฉื่อยชาอยู่ครู่เดียว จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินดื่มต่อไป
ห้องโถงเงียบงัน บรรยากาศดูมืดมนและหดหู่
จี้เทียนซิงหยิบ 22 เหรียญเงินออกมามอบให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมและขอให้อีกฝ่ายจัดเตรียมอาหารสัก 2-3 อย่าง จากนั้นก็เดินขึ้นไปที่ชั้น 2
ชั้นสองและชั้นสามของโรงเตี๊ยมเป็นห้องพัก
ห้องที่จี้เทียนซิงขอไว้อยู่ชั้น 3 ใกล้กับผนังด้านซ้ายของสวนหลังบ้านและมีต้นไทรขนาดใหญ่สูงสองฟุตอยู่ริมหน้าต่าง
หลังจากเสี่ยวเอ้อส่งอาหารมาให้จี้เทียนซิงที่ห้อง ชายหนุ่มก็ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาคมคาย จากนั้นเขาก็เริ่มกินอาหาร
หลังจากกินอาหารเสร็จ เขาก็อาบน้ำชำระล้างร่างกายและนั่งลงบนเตียงเพื่อวางแผนการต่อไปอย่างเงียบๆ
*“*ยังมีเวลาอีกสามวัน ก่อนที่ดอกไม้ดาราแดงจะปรากฏ ข้าคิดว่ามันไม่เหมาะที่จะเดินทางไปเทือกเขาเย่วันนี้หรือพรุ่งนี้ ดอกไม้ดาราแดงยังไม่บานเต็มที่ ยังเร็วเกินไปที่จะขึ้นไปค้นหามัน อีกทั้งยังอันตรายไม่น้อย…”
หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจพักที่โรงเตี๊ยมไลฟุต่อไปอีก 2 วันเพื่อรอจนกว่าจะถึงวันที่ดอกไม้บานเต็มที่
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว และไม่ช้าก็ถึงยามราตรี
ในช่วงเวลานี้ มีแขกหลายคนเข้ามาที่โรงเตี๊ยมจึงทำให้มันดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
จี้เทียนซิงยังคงกบดานอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปจากห้องเลย แม้แต่มื้ออาหารมันก็แจ้งให้เสี่ยวเอ้อนำไปส่งที่ห้อง
ในตอนเย็นของวันถัดมา ห้องพักในโรงเตี๊ยมก็แทบจะเต็ม
มีจอมยุทธ์มากหน้าหลายตาเข้ามาพักและดื่มกินพูดคุยหัวเราะเสียงดัง ซึ่งทำให้ห้องโถงและสวนด้านหลังเต็มไปด้วยผู้คน เสียงอึกทึกราวกับตลาดสด
จี้เทียนซิงที่สิงอยู่ในห้องมานานเกินไปเริ่มรู้สึกเบื่อและอึดอัด มันจึงเดินออกจากห้องและลงบันไดมาเพื่อจะยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
ชายหนุ่มยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำและหน้ากาก ทันทีที่เดินเข้าไปในสวนหลังบ้านก็ได้และเห็นโต๊ะหลายโต๊ะตั้งอยู่ในสวน
แต่ละโต๊ะมีจอมยุทธ์ 2-3 คนนั่งอยู่ พวกมันกุมกระบี่ไว้ในมือและตะโกนเสียงดังราวกับเป็นพ่อค้าตลาดสด
“กลุ่มดาบโลหิตรับสมัครคนเข้าทีม ! กลุ่มของพวกข้าได้ล่าสัตว์ร้ายในภูเขาใหญ่มามากมายเป็นเวลาหลายปี เหล่านักเดินทางในกลุ่มล้วนเต็มไปด้วยประสบการณ์…”
“รับสมัคร ! รับสมัครคนเข้ากลุ่ม จอมยุทธ์ท่านใดที่มาถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงสามารถเข้ากลุ่มของพวกข้าได้ พวกเราจะไปสำรวจเทือกเขาเย่และค้นหาดอกไม้ดาราแดงกัน !”
“กลุ่มจอมยุทธ์ ! มาๆร่วมแก๊งจอมยุทธ์กับพวกข้าได้ พวกข้าคือกลุ่มนักผจญภัยที่โด่งดังของหยุนโจว….. ”
จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์เหล่านั้นและอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มเย้ยที่มุมปาก
*“เฮอะ!*เจ้าพวกนั้นล้วนไร้สาระอย่างน่าขัน”
“สมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์และปฐพีที่ทุกคนต่างก็ต้องการ เอาคนไม่รู้จักกันมารวมกลุ่มกัน ต่อให้พบดอกไม้ดาราแดงเป็นกลุ่มแรกแล้วจักอย่างไร?สุดท้ายพวกมันไม่แตกคอกันหรือไง?สมองทึบ!**”
มันไม่ได้สนใจการตะโกนเรียกแขกของกลุ่มทั้งหลาย จากนั้นก็หันหลังออกจากสวนหลังโรงเตี๊ยมไป แต่ระหว่างนั้นมันถูกชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งขวางทางไว้
ชายหนุ่มร่างกำยำผู้นี้สวมชุดเกราะหนังสีน้ำตาล ถือมีดไว้ในมือและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เฮ้ น้องชายร่วมทีมจอมยุทธ์กับพวกข้าเถอะ !”
“หากเจ้าลงมือเพียงลำพัง ข้าเกรงว่ายังไม่ทันจะพบดอกไม้ดาราแดงก็คงตกตายภายใต้กรงเล็บของสัตว์ร้ายไปแล้ว มารวมตัวกับพวกข้าเถอะ โอกาสจักได้มีมากขึ้น !”
จี้เทียนซิงหลบไปด้านข้างเพื่อจะเดินผ่าน เขากล่าวด้วยเสียงต่ำที่แหบพร่าว่า “ไม่จำเป็น”
ชายหนุ่มร่างกำยำมองเงาหลังของอีกฝ่ายที่กำลังเดินจากไปด้วยความเสียใจ มันพึมพำว่า “ท่าทางอายุยังน้อย แม่งมั่นขนาดนั้นเชียว?หรือว่าเป็นยอดฝีมืองำประกาย?”
“ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่ชอบบินเดี่ยว… แต่คราวนี้มีผู้คนและยอดยุทธ์มากมายที่มาเพื่อดอกไม้ดาราแดง ข้าเกรงว่าคงเป็นการยากอยู่ดีที่มันจะมีโอกาส”
จี้เทียนซิงเดินออกจากสวนหลังโรงเตี๊ยมและเดินตัดเข้าไปในห้องโถง
ในเวลานี้ภายในห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด
จอมยุทธ์จำนวนมากกินดื่มกันอย่างเอิกเกริกรอบๆห้องโถง เสียงของการชนแก้วสุราและเสียงถ้วยชามที่กระทบกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จี้เทียนซิงเดินอย่างเชื่องช้าผ่านห้องโถงเพื่อสดับฟังข้อมูลบางอย่าง มันพบว่าจอมยุทธ์เหล่านี้ต่างก็มาจากทั่วทุกมุมของประเทศเท่าที่จะสามารถเดินทางมาได้ทันเวลา
นอกจากนี้ มีหลายคนที่คุ้นหน้าคร่าตากันที่มาพบกันโดยบังเอิญในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ พวกมันทั้งหลายร่วมมือกันเพื่อตั้งกลุ่มเล็กๆ และยังมีบางคนที่จับมือกันเพียงสองคนอีกด้วย
ทั้งหมดทั้งมวล ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุดของโรงเตี๊ยมไลฟุนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา !
จอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนแต่มีความสามารถในศาสตร์ของตน บ้างก็เป็นยอดฝีมือที่เก็บตัว
แต่ทุกคนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือดอกไม้ดาราแดงบนเทือกเขาเย่ !