ตอนที่ 26 ถูกจับได้, ตัวตนเปิดเผย

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

หลังจากกลับไปที่ห้องชั้น 3

จี้เทียนซิงก็ถอดหน้ากากออก

 

ถึงแม้การแสดงออกของมันจะค่อนข้างสงบนิ่งและสง่าผ่าเผย แต่ภายในใจนั้นกลับหนักอึ้ง

 

เดิมทีชายหนุ่มคาดเดาไว้ว่ายามที่ดอกไม้ดาราแดงใกล้จะเบ่งบาน ย่อมต้องมีกองกำลังมากมายมุ่งหน้ามายังเทือกเขาเย่เพื่อคว้ามัน แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่ในโรงเตี๊ยมไลฟุแห่งเดียวก็รวบรวมบรรดาจอมยุทธ์ไว้นับร้อยคน !

 

จากที่สังเกตดูคร่าวๆแล้ว จอมยุทธ์เหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง นอกจากนี้ยังอยู่ในระดับขั้นที่ 7 ถึงหลายคน

 

ส่วนระดับปรับแต่งกายานั้นมีอยู่มากมาย และพวกมันทั้งหมดต่างก็เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แน่นอน  พวกมันย่อมเป็นกลุ่มที่อนาถาไร้ความหวังที่สุดในการช่วงชิงดอกไม้ดาราแดงครั้งนี้…

 

สำหรับจี้เทียนซิง จอมยุทธ์ทุกคนภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็นคู่แข่งไม่ก็ศัตรูที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ !

 

มีจอมยุทธ์มากมายที่พักอาศัยในโรงเตี๊ยมนี้ แต่ยังมีอีกมากมายแค่ไหนกันที่ไม่ได้เข้ามา ?  เป็นไปได้ว่ายอดฝีมือเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหรือไม่ ?

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จี้เทียนซิงก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มก็นั่งอยู่บนเตียงและฝึกฝนหลังจากกินอาหารเสร็จ  มันยังคงฝึกควบแน่นปราณกระบี่ต่อไป

 

ถึงแม้ว่าจำนวนปราณกระบี่จะมาถึงขีดจำกัดแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงชักนำพลังงานสำคัญของโลกอัดเข้าไปอีก ซึ่งทำให้ปราณกระบี่แต่ละสายมีพลังมากยิ่งขึ้น

 

ในขณะที่มันกำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปราณกระบี่ทั้ง 12 สาย เวลาก็ผ่านไปร่วม 3 ชั่วโมงแล้ว

 

ในช่วงกลางดึก โรงเตี๊ยมเริ่มเข้าสู่ความเงียบงัน แขกผู้มาพักส่วนใหญ่ต่างก็นอนเข้าแล้ว มีเพียงแสงสว่างเหลืออยู่ในห้องโถงเท่านั้น

 

หลังจากจี้เทียนซิงหยุดการฝึกปรือ เขาก็เดินไปที่หน้าต่างและกำลังจะปิดหน้าต่างเพื่อเข้านอน

 

แต่ทันใดนั้นหางตาของมันก็จับสังเกตได้ถึงเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหว มันเหมือนกับว่ามีเงาร่างสองเงาที่มุมๆหนึ่งในสวนของโรงเตี๊ยมกำลังคืบคลานไปอย่างเงียบๆ

 

จอมยุทธ์ 2 คนสวมเสื้อผ้าสีดำและดูเหมือนว่าพวกมันจะสวมหน้ากากไว้ที่ใบหน้า  การเคลื่อนไหวของพวกมันเต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างสูงและไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย

 

แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี จี้เทียนซิงก็เห็นว่าชายทั้งสองคนกำลังอุ้มกล่องขนาดใหญ่และแอบเข้าไปทางประตูหลัง

 

ทั้งสองเปิดประตูด้านหลังโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบและหยิบกล่องออกมาด้วย

 

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว ความรู้สึกบอกกับชายหนุ่มว่า มีบางอย่างไม่ปกติ

 

ชายสองคนนั้นเดินออกจากประตูและผลักประตูสวนหลังโรงเตี๊ยมอย่างเงียบงัน

 

ทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีดำสวมหน้ากาก ซึ่งทำให้พวกมันไม่กลัวจะถูกพบเห็นในยามราตรี

 

เมื่อจี้เทียนซิงแอบตามไปจนถึงประตูหลัง เขาก็ได้เห็นจอมยุทธ์ชุดดำสวมหน้ากากทั้งสองคนถือกล่องเจาะเข้าไปในตรอกตามกำแพงสวน

 

จากนั้นพวกมันทั้งสองก็ถือกล่องย่องเข้าไปในตรอกลึกจนมาถึงห้องอันมืดมิดห้องหนึ่งและวางกล่องใบนั้นทิ้งไว้

 

ต่อมา พวกมันก็ล่าถอยออกจากห้องและลอบกลับไปที่โรงเตี๊ยมไลฟุ

 

จี้เทียนซิงแอบติดตามพวกมันมาจนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาบีบตัวเข้าไปซ่อนในตรอกแคบๆที่มืดมิดและกลั้นลมหายใจ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมา

 

หลังจากจอมยุทธ์ชุดดำทั้งสองจากไปไกล ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้องมืดที่พวกมันออกมา

 

ดูเหมือนว่าห้องหับจะไม่มีคนอาศัยอยู่มานานเป็นเวลาหลายปี มันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เน่าเปื่อยคละคลุ้งไปทุกที่ และพื้นดินปกคลุมไปด้วยไรฝุ่นและเศษเล็กเศษน้อย

 

จี้เทียนซิงใช้เวลาในความมืดไม่นานก็ได้พบกับกล่องใหญ่ใบหนึ่งอยู่ในกองฟืนตรงหัวมุม

 

เขาอนุมานว่าด้วยความใหญ่และหนักของกล่องใบนี้ ข้างในนั้นย่อมเป็นเหล็กหรือไม่ก็หิน

 

ด้วยความสงสัย ชายหนุ่มจึงจุดไฟเพื่อดูกล่องใบนั้นให้กระจ่าง

 

แวบแรกที่ได้เห็นมันชัดๆ คิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปมและดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย

 

กล่องเหล็กถูกล็อคและตัวล็อคนั้นเปิดได้เพียงหมุนสลักไปยังตำแหน่งที่สอดคล้องกันเท่านั้น

 

จี้เทียนซิงคุ้นเคยกับกล่องใบนี้มาก !

 

เนื่องจากโรงหลอมอาวุธของตระกูลจี้มักจะใช้กล่องชนิดนี้เพื่อเก็บอาวุธและอุปกรณ์

 

เขาพยายามหมุนสลักสีดำไปยังตำแหน่งที่สอดคล้องตามที่จำได้ จากนั้นกล่องก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย

 

จี้เทียนซิงเปิดฝาและได้เห็นว่าในนั้นมีกระบี่และฝักกระบี่มีสลักลวดลายรูปปลาหมึกไว้มากกว่า 20 เล่ม

 

ปลาหมึกเป็นสัตว์ที่นับว่ามีลำดับสูงในมหาสมุทร โดยทั่วไปแล้วโรงหลอมอาวุธของตระกูลจี้จะส่งมอบกระบี่ระดับล้ำลึกที่มีฝักกระบี่ลวดลายนี้เท่านั้น

 

จี้เทียนซิงหยิบกระบี่ขึ้นมาเล่มหนึ่งและมองไปด้ามจับ เขาเห็นที่ด้ามจับสลักไว้ด้วยอักษรคำว่า “จี้” !

 

ใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งมืดมนมากขึ้นและดวงตาของมันก็ดูงุนงงเมื่อได้เห็นรูปแบบของกระบี่เต็มตา

 

ลวดลายวงกลมคล้ายหนามทำให้เขาสรุปได้ในทันทีว่ากระบี่ระดับล้ำลึกพวกนี้มาจากโรงหลอมกระบี่ล้ำลึกทางตะวันออกของเมืองจักรวรรดิ

 

“ไม่ผิดแน่ มันเป็นกระบี่ที่ตระกูลจี้หลอมสร้าง กระบี่ระดับล้ำลึกทั้ง 24 เล่มเหล่านี้มีมูลค่ากว่า 1 ล้าน พวกมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?!”

“มันมาจากโรงหลอมกระบี่ที่ชานเมืองฝั่งตะวันออก  ที่นั่นอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านลุงสองไม่ใช่หรือ ?”

 

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความสงสัยและรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้ แต่เพื่อไม่ให้ถูกค้นพบ เขาวางสิ่งของกลับเข้าไปในกล่องและล็อคกุญแจตามเดิม  จากนั้นก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมไลฟุอย่างเงียบงัน

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็มีเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในห้องโถง

 

เมื่อจี้เทียนซิงเข้ามาถึงเขาก็ได้เห็นคนสองกลุ่มกำลังเถียงกันเสียงดังและได้ยินเสียง ‘เช้ง’ ของการชักกระบี่ดังขึ้น

 

ชายหนุ่มจับใจความจากการพูดคุยของผู้คนรอบๆ และรู้ว่าห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็มแล้ว เหลือเพียงห้องสุดท้ายเท่านั้น

 

แต่ในตอนนั้น คนทั้งสองกลุ่มมาถึงโรงเตี๊ยมพร้อมๆกัน พวกมันจึงทะเลาะกันเพื่อแย่งห้องสุดท้าย

 

หนึ่งในสามคนนั้นมาจากเมืองจักรวรรดิ และทั้งสามคนต่างก็ดูภูมิฐานสง่างาม เย่อหยิ่งและยโสโดยธรรมชาติ การพูดการจาของพวกมันต่างก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น

 

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีด้วยกัน 4 คนนั้นเป็นชาวป่าชายแดนของประเทศ พวกมันสวมกางเกงหนังสัตว์และทั้งหมดต่างก็ไว้หนวดเครารุงรัง ท่อนแขนและหน้าอกมีรอยสัก

 

หัวหน้าของคนทั้ง 4 เป็นคนอารมณ์ร้อน เขากล้ามีเรื่องโดยไม่คำนึงถึงสถานะอันสูงส่งของขุนนางเมืองจักรวรรดิแม้แต่น้อย เพียงพูดจากันแค่  2 คำ แต่ตกลงกันไม่ได้มันก็ชักมีดเสียแล้ว

 

ทั้งสองฝ่ายต่างทะเลาะกันและส่งเสียงร่ำร้อง ทำให้แขกที่มาพักกว่าหลายร้อยสิบต่างก็ตื่นขึ้นและวิ่งมาที่ห้องโถงเพื่อดูความตื่นเต้น

 

จี้เทียนซิงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้  เขาเดินตรงไปที่บันไดเพื่อต้องการจะกลับเข้าห้องไปพักผ่อน

 

แต่น่าเสียดาย ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดคลุมขาวที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดกำลังกระแทกกระบี่ใส่หน้าของชายหัวล้านที่มีรอยสัก อีกฝ่ายยกดาบขึ้นปัดป้องจนทำให้คลื่นกระบี่เบี่ยงทิศทางไปยังจี้เทียนซิงที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวแทน

 

คลื่นกระบี่ที่พุ่งเข้ามานี้ทั้งรวดเร็วและฉับไว ถึงแม้จี้เทียนซิงจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างว่องไวและเบี่ยงตัวหลบได้ก็ตาม  แต่พลังกระบี่ตกค้างก็ยังเกี่ยวไปโดนหน้ากากที่ชายหนุ่มสวมใส่อยู่จนแตกเป็นสองเสี่ยงและตกลงที่พื้น

 

จี้เทียนซิงมีสีหน้าหดหู่ ดวงตาส่องประกายเย็นเยียบ

 

ชายหนุ่มชุดขาวและชายหัวล้านหันไปมองจี้เทียนซิงวูบหนึ่ง โดยที่ไม่แสดงอาการใดๆและไม่ขอโทษ พวกเขาทั้งสองหันกลับไปสู้กันต่อ

 

อย่างไรก็ตาม สหายอีกสองคนของชายหนุ่มชุดขาวได้เห็นใบหน้าของจี้เทียนซิงในทันที

 

“เฮ้ ! นั่นมิใช่… จี้เทียนซิง ?  คุณชายใหญ่ตระกูลจี้หรอกหรือ ?”

“โอ้ จริงด้วย  นั่นมันอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งจริงๆ แต่กลับตกต่ำยิ่งนักแม้แต่คลื่นกระบี่ตกค้างก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้  พวกเจ้าน่ะทะเลาะกันเบาๆหน่อยสิ เกิดพลั้งมือไปทำร้ายคุณชายใหญ่จี้เข้าจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย !”

 

แน่นอนว่า.. ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ที่ดูสง่างามทั้งสองคนนั้นรู้จักจี้เทียนซิงและยืนยันฐานะของมันในที่สาธารณะเสียแล้ว