หลังจากกลับไปที่ห้องชั้น 3
จี้เทียนซิงก็ถอดหน้ากากออก
ถึงแม้การแสดงออกของมันจะค่อนข้างสงบนิ่งและสง่าผ่าเผย แต่ภายในใจนั้นกลับหนักอึ้ง
เดิมทีชายหนุ่มคาดเดาไว้ว่ายามที่ดอกไม้ดาราแดงใกล้จะเบ่งบาน ย่อมต้องมีกองกำลังมากมายมุ่งหน้ามายังเทือกเขาเย่เพื่อคว้ามัน แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่ในโรงเตี๊ยมไลฟุแห่งเดียวก็รวบรวมบรรดาจอมยุทธ์ไว้นับร้อยคน !
จากที่สังเกตดูคร่าวๆแล้ว จอมยุทธ์เหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง นอกจากนี้ยังอยู่ในระดับขั้นที่ 7 ถึงหลายคน
ส่วนระดับปรับแต่งกายานั้นมีอยู่มากมาย และพวกมันทั้งหมดต่างก็เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แน่นอน พวกมันย่อมเป็นกลุ่มที่อนาถาไร้ความหวังที่สุดในการช่วงชิงดอกไม้ดาราแดงครั้งนี้…
สำหรับจี้เทียนซิง จอมยุทธ์ทุกคนภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็นคู่แข่งไม่ก็ศัตรูที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ !
มีจอมยุทธ์มากมายที่พักอาศัยในโรงเตี๊ยมนี้ แต่ยังมีอีกมากมายแค่ไหนกันที่ไม่ได้เข้ามา ? เป็นไปได้ว่ายอดฝีมือเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหรือไม่ ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จี้เทียนซิงก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มก็นั่งอยู่บนเตียงและฝึกฝนหลังจากกินอาหารเสร็จ มันยังคงฝึกควบแน่นปราณกระบี่ต่อไป
ถึงแม้ว่าจำนวนปราณกระบี่จะมาถึงขีดจำกัดแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงชักนำพลังงานสำคัญของโลกอัดเข้าไปอีก ซึ่งทำให้ปราณกระบี่แต่ละสายมีพลังมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่มันกำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปราณกระบี่ทั้ง 12 สาย เวลาก็ผ่านไปร่วม 3 ชั่วโมงแล้ว
ในช่วงกลางดึก โรงเตี๊ยมเริ่มเข้าสู่ความเงียบงัน แขกผู้มาพักส่วนใหญ่ต่างก็นอนเข้าแล้ว มีเพียงแสงสว่างเหลืออยู่ในห้องโถงเท่านั้น
หลังจากจี้เทียนซิงหยุดการฝึกปรือ เขาก็เดินไปที่หน้าต่างและกำลังจะปิดหน้าต่างเพื่อเข้านอน
แต่ทันใดนั้นหางตาของมันก็จับสังเกตได้ถึงเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหว มันเหมือนกับว่ามีเงาร่างสองเงาที่มุมๆหนึ่งในสวนของโรงเตี๊ยมกำลังคืบคลานไปอย่างเงียบๆ
จอมยุทธ์ 2 คนสวมเสื้อผ้าสีดำและดูเหมือนว่าพวกมันจะสวมหน้ากากไว้ที่ใบหน้า การเคลื่อนไหวของพวกมันเต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างสูงและไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย
แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี จี้เทียนซิงก็เห็นว่าชายทั้งสองคนกำลังอุ้มกล่องขนาดใหญ่และแอบเข้าไปทางประตูหลัง
ทั้งสองเปิดประตูด้านหลังโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบและหยิบกล่องออกมาด้วย
จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว ความรู้สึกบอกกับชายหนุ่มว่า มีบางอย่างไม่ปกติ
ชายสองคนนั้นเดินออกจากประตูและผลักประตูสวนหลังโรงเตี๊ยมอย่างเงียบงัน
ทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีดำสวมหน้ากาก ซึ่งทำให้พวกมันไม่กลัวจะถูกพบเห็นในยามราตรี
เมื่อจี้เทียนซิงแอบตามไปจนถึงประตูหลัง เขาก็ได้เห็นจอมยุทธ์ชุดดำสวมหน้ากากทั้งสองคนถือกล่องเจาะเข้าไปในตรอกตามกำแพงสวน
จากนั้นพวกมันทั้งสองก็ถือกล่องย่องเข้าไปในตรอกลึกจนมาถึงห้องอันมืดมิดห้องหนึ่งและวางกล่องใบนั้นทิ้งไว้
ต่อมา พวกมันก็ล่าถอยออกจากห้องและลอบกลับไปที่โรงเตี๊ยมไลฟุ
จี้เทียนซิงแอบติดตามพวกมันมาจนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาบีบตัวเข้าไปซ่อนในตรอกแคบๆที่มืดมิดและกลั้นลมหายใจ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
หลังจากจอมยุทธ์ชุดดำทั้งสองจากไปไกล ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้องมืดที่พวกมันออกมา
ดูเหมือนว่าห้องหับจะไม่มีคนอาศัยอยู่มานานเป็นเวลาหลายปี มันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เน่าเปื่อยคละคลุ้งไปทุกที่ และพื้นดินปกคลุมไปด้วยไรฝุ่นและเศษเล็กเศษน้อย
จี้เทียนซิงใช้เวลาในความมืดไม่นานก็ได้พบกับกล่องใหญ่ใบหนึ่งอยู่ในกองฟืนตรงหัวมุม
เขาอนุมานว่าด้วยความใหญ่และหนักของกล่องใบนี้ ข้างในนั้นย่อมเป็นเหล็กหรือไม่ก็หิน
ด้วยความสงสัย ชายหนุ่มจึงจุดไฟเพื่อดูกล่องใบนั้นให้กระจ่าง
แวบแรกที่ได้เห็นมันชัดๆ คิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปมและดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
กล่องเหล็กถูกล็อคและตัวล็อคนั้นเปิดได้เพียงหมุนสลักไปยังตำแหน่งที่สอดคล้องกันเท่านั้น
จี้เทียนซิงคุ้นเคยกับกล่องใบนี้มาก !
เนื่องจากโรงหลอมอาวุธของตระกูลจี้มักจะใช้กล่องชนิดนี้เพื่อเก็บอาวุธและอุปกรณ์
เขาพยายามหมุนสลักสีดำไปยังตำแหน่งที่สอดคล้องตามที่จำได้ จากนั้นกล่องก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
จี้เทียนซิงเปิดฝาและได้เห็นว่าในนั้นมีกระบี่และฝักกระบี่มีสลักลวดลายรูปปลาหมึกไว้มากกว่า 20 เล่ม
ปลาหมึกเป็นสัตว์ที่นับว่ามีลำดับสูงในมหาสมุทร โดยทั่วไปแล้วโรงหลอมอาวุธของตระกูลจี้จะส่งมอบกระบี่ระดับล้ำลึกที่มีฝักกระบี่ลวดลายนี้เท่านั้น
จี้เทียนซิงหยิบกระบี่ขึ้นมาเล่มหนึ่งและมองไปด้ามจับ เขาเห็นที่ด้ามจับสลักไว้ด้วยอักษรคำว่า “จี้” !
ใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งมืดมนมากขึ้นและดวงตาของมันก็ดูงุนงงเมื่อได้เห็นรูปแบบของกระบี่เต็มตา
ลวดลายวงกลมคล้ายหนามทำให้เขาสรุปได้ในทันทีว่ากระบี่ระดับล้ำลึกพวกนี้มาจากโรงหลอมกระบี่ล้ำลึกทางตะวันออกของเมืองจักรวรรดิ
“ไม่ผิดแน่ มันเป็นกระบี่ที่ตระกูลจี้หลอมสร้าง กระบี่ระดับล้ำลึกทั้ง 24 เล่มเหล่านี้มีมูลค่ากว่า 1 ล้าน พวกมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?!”
“มันมาจากโรงหลอมกระบี่ที่ชานเมืองฝั่งตะวันออก ที่นั่นอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านลุงสองไม่ใช่หรือ ?”
จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความสงสัยและรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้ แต่เพื่อไม่ให้ถูกค้นพบ เขาวางสิ่งของกลับเข้าไปในกล่องและล็อคกุญแจตามเดิม จากนั้นก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมไลฟุอย่างเงียบงัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็มีเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในห้องโถง
เมื่อจี้เทียนซิงเข้ามาถึงเขาก็ได้เห็นคนสองกลุ่มกำลังเถียงกันเสียงดังและได้ยินเสียง ‘เช้ง’ ของการชักกระบี่ดังขึ้น
ชายหนุ่มจับใจความจากการพูดคุยของผู้คนรอบๆ และรู้ว่าห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็มแล้ว เหลือเพียงห้องสุดท้ายเท่านั้น
แต่ในตอนนั้น คนทั้งสองกลุ่มมาถึงโรงเตี๊ยมพร้อมๆกัน พวกมันจึงทะเลาะกันเพื่อแย่งห้องสุดท้าย
หนึ่งในสามคนนั้นมาจากเมืองจักรวรรดิ และทั้งสามคนต่างก็ดูภูมิฐานสง่างาม เย่อหยิ่งและยโสโดยธรรมชาติ การพูดการจาของพวกมันต่างก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีด้วยกัน 4 คนนั้นเป็นชาวป่าชายแดนของประเทศ พวกมันสวมกางเกงหนังสัตว์และทั้งหมดต่างก็ไว้หนวดเครารุงรัง ท่อนแขนและหน้าอกมีรอยสัก
หัวหน้าของคนทั้ง 4 เป็นคนอารมณ์ร้อน เขากล้ามีเรื่องโดยไม่คำนึงถึงสถานะอันสูงส่งของขุนนางเมืองจักรวรรดิแม้แต่น้อย เพียงพูดจากันแค่ 2 คำ แต่ตกลงกันไม่ได้มันก็ชักมีดเสียแล้ว
ทั้งสองฝ่ายต่างทะเลาะกันและส่งเสียงร่ำร้อง ทำให้แขกที่มาพักกว่าหลายร้อยสิบต่างก็ตื่นขึ้นและวิ่งมาที่ห้องโถงเพื่อดูความตื่นเต้น
จี้เทียนซิงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ เขาเดินตรงไปที่บันไดเพื่อต้องการจะกลับเข้าห้องไปพักผ่อน
แต่น่าเสียดาย ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดคลุมขาวที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดกำลังกระแทกกระบี่ใส่หน้าของชายหัวล้านที่มีรอยสัก อีกฝ่ายยกดาบขึ้นปัดป้องจนทำให้คลื่นกระบี่เบี่ยงทิศทางไปยังจี้เทียนซิงที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวแทน
คลื่นกระบี่ที่พุ่งเข้ามานี้ทั้งรวดเร็วและฉับไว ถึงแม้จี้เทียนซิงจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างว่องไวและเบี่ยงตัวหลบได้ก็ตาม แต่พลังกระบี่ตกค้างก็ยังเกี่ยวไปโดนหน้ากากที่ชายหนุ่มสวมใส่อยู่จนแตกเป็นสองเสี่ยงและตกลงที่พื้น
จี้เทียนซิงมีสีหน้าหดหู่ ดวงตาส่องประกายเย็นเยียบ
ชายหนุ่มชุดขาวและชายหัวล้านหันไปมองจี้เทียนซิงวูบหนึ่ง โดยที่ไม่แสดงอาการใดๆและไม่ขอโทษ พวกเขาทั้งสองหันกลับไปสู้กันต่อ
อย่างไรก็ตาม สหายอีกสองคนของชายหนุ่มชุดขาวได้เห็นใบหน้าของจี้เทียนซิงในทันที
“เฮ้ ! นั่นมิใช่… จี้เทียนซิง ? คุณชายใหญ่ตระกูลจี้หรอกหรือ ?”
“โอ้ จริงด้วย นั่นมันอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งจริงๆ แต่กลับตกต่ำยิ่งนักแม้แต่คลื่นกระบี่ตกค้างก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้ พวกเจ้าน่ะทะเลาะกันเบาๆหน่อยสิ เกิดพลั้งมือไปทำร้ายคุณชายใหญ่จี้เข้าจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย !”
แน่นอนว่า.. ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ที่ดูสง่างามทั้งสองคนนั้นรู้จักจี้เทียนซิงและยืนยันฐานะของมันในที่สาธารณะเสียแล้ว