ตอนที่ 27 แล้วเจ้าล่ะเป็นตัวอะไร ?

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ห้องโถงกลายเป็นเงียบสงบ แม้แต่ชายหนุ่มชุดขาวและชายหัวล้านที่กำลังสู้กันต่างก็หยุดมือ

 

สายตาของทุกคนตกอยู่ที่จี้เทียนซิงและมองเขาด้วยท่าทางงุนงง

 

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีจอมยุทธ์หลายสิบคนอยู่ในห้องโถง ส่วนใหญ่แล้วไม่เคยเห็นใบหน้าของจี้เทียนซิงมาก่อน  แต่ทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อชายหนุ่มมาก่อน

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ชื่อของเขาในนามอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งรัฐนภากระจ่าง จนทำให้จอมยุทธ์แทบทุกคนล้วนเคยได้ยิน

 

แต่เมื่อสิบวันก่อน ชายหนุ่มผู้นี้กลับ ‘ประสบเหตุการณ์บางอย่าง’ จนระดับพลังตกลงไปอยู่ที่ปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 และกลายเป็นเรื่องขบขันสมน้ำหน้าเรื่องใหญ่ที่สุดในรัฐ

 

เหตุการณ์นี้ทำให้ชื่อเสียงของเขายิ่งโด่งดังมากขึ้น ในช่วงนี้เอง ตามร้านอาหารและเหลาสุราต่างก็นำเรื่องชายหนุ่มอัจฉริยะที่ร่วงหล่นจากฟ้ามาเป็นหัวข้อพูดคุยและเรื่องตลกหลังอาหารไปเสียแล้ว

 

เหล่าจอมยุทธ์นับสิบคนในห้องโถงมองไปที่ชายหนุ่มและกระซิบกระซาบกัน

 

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินในกลุ่มผู้สูงศักดิ์ทั้งสามกลัวทุกคนจะไม่รู้จักจี้เทียนซิง   มันตะโกนลั่นด้วยรอยยิ้มว่า

“ชายหนุ่มที่ทุกท่านได้เห็นอยู่นี้ก็คือคนของรัฐนภากระจ่างเรา จี้เทียนซิง !”

“ชายผู้นี้ไม่เพียงแค่เป็นขยะไร้ค่าในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 เท่านั้น แต่มันยังถูกคุณหนูหลิงแห่งตระกูลหลิงบอกเลิกกลางที่สาธารณะ ! ที่น่าขันก็คือชายคนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมต่อหน้านาง  ลูกหมาชัดๆ !”

 

ในระหว่างที่ชายหนุ่มชุดน้ำเงินกำลังพูด มันก็แสยะยิ้มไปหาจี้เทียนซิงและกล่าวต่ออย่างเย้ยหยันว่า

“คุณชายใหญ่จี้ เจ้าหลบๆซ่อนๆเข้ามาในเทือกเขาเย่ก็เพื่อดอกไม้ดาราแดงใช่ไหมเล่า ? เจ้าคิดจะใช้มันเพื่อฟื้นฟูพลังงั้นหรือ ?  ฮ่าๆๆ ฝันเฟื่อง !”

 

ชายหนุ่มชุดน้ำเงินพูดยังไม่ทันจบ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องโถงลดลงเล็กน้อย

 

 

ฟุ่บ**!**

ร่างของจี้เทียนซิงทะยานไปถึงเบื้องหน้าชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินและตามมาด้วยเสียง ‘เช้ง’ ของการชักกระบี่มังกรโลหิตออกจากฝัก จ้วงแทงออกไปใส่อีกฝ่าย

 

ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผงะถอยหลัง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาวด้วยความตระหนก

 

มันคาดไม่ถึงว่าจี้เทียนซิงที่มีพลังระดับปรับแต่งกายาจะกล้าลงมือใส่มันที่อยู่ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 1 !

 

แต่ทว่า มันก็ไม่ทันจะได้เยาะเย้ยความอวดดีของอีกฝ่าย เมื่อกระบี่ที่พุ่งออกมาของจี้เทียนซิงนั้นรวดเร็วเกินไปจนมันไม่อาจหลบหนีได้ทัน

 

เมื่อได้เห็นว่าตนเองกำลังจะถูกแทงด้วยกระบี่มังกรโลหิตอยู่ร่อมร่อ มันก็กรีดร้องขอความช่วยเหลือออกมาทันที

“ชะ ช่วยข้าด้วย !”

 

ทันใดนั้นเองจี้เทียนซิงก็หันด้านคมออกและใช้หน้ากระบี่ตบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายแทน

 

ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินรู้สึกเสียวซ่าบนแก้ม มันเอื้อมมือไปแตะที่แก้มและพบว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของมันบวมเป่งและมีเลือดท่วมปาก

 

ในเวลานี้เอง จี้เทียนซิงลงมืออีกครั้งและใช้ปลายกระบี่จี้ไปคอหอยของอีกฝ่าย

 

ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินตัวแข็งทื่อและล้มลงกับพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย  มันเหม่อมองใบหน้าของจี้เทียนซิงด้วยความสยดสยอง

 

จี้เทียนซิงสาดแววตาเย็นชาและเย้ยหยันมองลงไปที่อีกฝ่ายอย่างเย็นชา มุมปากของชายหนุ่มโค้งขึ้นและหัวเราะเยาะ

 

“เจ้าบอกว่าข้าเป็นขยะไร้ค่า แล้วสภาพเจ้าตอนนี้ล่ะเป็นตัวอะไร ?”

ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินโกรธเกรี้ยวและเต็มไปด้วยโทสะ  ใบหน้าม่วงคล้ำเป็นสีตับหมูแต่มันก็ไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว

 

ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องโถง ทุกคนจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

 

ไม่มีผู้ใดสามารถทำใจเชื่อได้ว่า จี้เทียนซิงผู้ล่ำลือกันว่าสูญเสียระดับพลังและกลายเป็นขยะ จะสามารถเอาชนะชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินที่อยู่ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงได้ !

 

นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ !

 

หรือว่าข่าวซุบซิบจากในเมืองจักรวรรดิจะเป็นข่าวปลอม ?

 

หรือความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงกลับคืนมาแล้ว ?

 

การแสดงออกของจอมยุทธ์มากมายต่างเต็มไปด้วยความซับซ้อน

 

สหายทั้งสองคนของชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินก็ผวาต่อความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิง พวกมันทั้งหมดยืนอึ้งตัวแข็งทื่ออยู่ที่จุดเดินและไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา

 

“พล่ามเป็นวัน สุดท้ายก็งั้นๆ ขยะ !”

 

จี้เทียนซิงเหลือบมองชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินด้วยความดูถูกเหยียดหยามและสอดกระบี่กลับเข้าฝัก จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป

 

ทุกคนในห้องโถงต่างเหม่อมองไปที่เงาหลังของชายหนุ่มและไม่มีใครกล้าหยุดเขา

 

ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินตัวสั่นเทาด้วยความอัปยศอดสูอย่างรุนแรง เขาเกือบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดทันที

 

……

 

จี้เทียนซิงกลับถึงห้องแต่ก็ไม่มีอาการง่วงนอน

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงเป็นเพียงเรื่องเล็กๆที่มันไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

 

เขานั่งเงียบๆอยู่ที่ริมหน้าต่าง แอบมองสวนหลังโรงเตี๊ยมที่มืดมิด

 

สองชั่วโมงผ่านไปและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆในสวนด้านหลังอีก

 

ในเวลานี้เป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ง่วงเหงาหาวนอนที่สุดของวัน

 

จิตวิญญาณของชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องอันมืดมิด  “หรือว่าคืนนี้พวกมันจะไม่ทำอะไรอีกแล้ว*?”*

 

ในขณะนี้เองชายหนุ่มก็ได้เห็นเงาทั้งสองปรากฏขึ้นอีกครั้งและพวกมันก็ผลักประตูด้านหลังอย่างเงียบเชียบ

 

จี้เทียนซิงรู้สึกตื่นตัวขึ้นในทันควันและแอบลอบตามไปที่สวนด้านหลัง เขาลอบติดตามชายชุดดำทั้งสอง

 

ในไม่ช้าคนสวมชุดดำทั้งสองก็พุ่งเข้าไปในตรอกและยกกล่องใหญ่ออกจากห้องที่ทรุดโทรมห้องนั้น

 

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้แข็งแกร่งไม่น้อย พวกมันสามารถยกกล่องขนาดใหญ่และเดินเหินได้โดยไม่ชะงัก  จากนั้นพวกมันก็ออกไปนอกเมือง

 

จี้เทียนซิงรีบตามไปอย่างรวดเร็วโดยรักษาระยะห่างจากพวกมัน ทิศทางที่พวกมันมุ่งหน้าไปนั้นเป็นทิศตะวันออกของเมือง  ทางทิศนั้นเป็นภูเขาเตี้ยๆที่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ ณ เชิงเขาที่ไหลไปสู่เมืองชางอวิ๋นที่อยู่ห่างออกไปร่วมหนึ่งร้อยไมล์

 

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป รุ่งอรุณก็มาเยือนและท้องฟ้าเริ่มมีสีขาวของเมฆปรากฏขึ้น

 

ชายชุดดำทั้งสองคนออกจากเมืองไปยังภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันออกและมุ่งหน้าเข้าไปยังเทือกเขาลึก

 

จี้เทียนซิงตามติดอย่างไม่ห่างแต่ก็รักษาระยะเอาไว้ไม่ให้พวกมันรู้ตัว เขาตามพวกมันมานับสิบไมล์ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่วิหารแห่งหนึ่งครึ่งทางของภูเขา

 

ในเวลานี้เองพระอาทิตย์ลอยขึ้นแล้วแต่ภูเขายังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอก

 

วิหารที่พวกมันมาถึงนั้นทั้งชำรุดทรุดโทรมและเงียบงัน ไม่ว่าจะเป็นประตูหรือกำแพงทั้งหมดล้วนทรุดโทรมลงแทบทั้งสิ้น หยากไย่เกาะ ไรฝุ่นเกาะเต็มไปทั่ว

 

จี้เทียนซิงเห็นว่าพวกมันแบกกล่องใหญ่เข้าไปในวิหาร เขาจึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่นอกกำแพงอย่างเงียบเชียบ

 

เขาจ้องเขม็งเข้าไปในวิหารเพื่อตรวจสอบการกระทำของชายชุดดำผ่านพุ่มไม้อันหนาแน่นบนยอดต้นไม้

 

หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีจอมยุทธ์อีก 3 คนวิ่งขึ้นมาที่เชิงเขาและมองเข้าไปในวิหารด้วยความระมัดระวัง

 

ผู้นำกลุ่มที่มาใหม่นี้คือชายหนุ่มที่มีรูปร่างผอมเพรียวดั่งต้นไผ่ เขามีผิวคล้ำและแก้มตอบ

 

ส่วนจอมยุทธ์อีกสองคนที่ตามหลังมานั้นสวมชุดสีดำลักษณะเหมือนผู้ติดตามหรือผู้พิทักษ์

 

หลังจากทั้งสามเข้าไปในวิหารแล้ว ชายชุดดำสองคนก่อนหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นทันที

 

ทั้งสองฝ่ายกระซิบกระซาบกันอยู่หลายคำ จากนั้นชายหน้ายาวเหมือนม้าคนหนึ่งก็บอกให้ผู้ติดตามถือกล่องใหญ่ใบนั้นและรีบออกไปจากวิหาร

 

ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะอยู่ไกลจนไม่ได้ยินว่าพวกมันคุยอะไรกัน แต่ชายหนุ่มก็สามารถคาดเดาได้คร่าวๆว่า พวกมันกำลังทำข้อตกลงบางอย่างอยู่แน่นอน

 

เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงงและคิดคำนวณในใจอย่างลับว่าๆ พวกมันแลกเปลี่ยนซื้อขายอาวุธของตระกูลจี้ แล้วทำไมต้องทำลับๆล่อๆขนาดนี้?หรือพวกมันมีแรงจูงใจซ่อนเร้นบางอย่าง?”

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่งชายที่มีใบหน้ายาวเหมือนม้าก็เดินออกมา มันเดินไปหาชายสองคนที่แบกกล่องออกมารออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็เตรียมที่จะออกเดินทาง

 

ดูเหมือนว่าการซื้อขายครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ชายชุดดำทั้งสองถอดหน้ากากออกและอยู่ในอารมณ์ที่ดีมาก  พวกมันเดินออกจากวิหารด้วยรอยยิ้มและพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ

 

ก่อนหน้านี้จี้เทียนซิงทำได้เพียงติดตามจากระยะไกลๆและเห็นเพียงด้านหลังของพวกมันเท่านั้น  แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับชายร่างสูงที่กำยำคนนั้นมาก

 

ในที่สุดเมื่อพวกมันเดินออกมาพร้อมกับถอดหน้ากากออก  ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทำให้เห็นใบหน้าของพวกมันได้อย่างชัดเจน สีหน้าของจี้เทียนซิงกลายเป็นมืดมนไปในทันที

 

ทำไมถึงเป็นเขา?ซวีจือเฟิ่ง คนสนิทของท่านลุงสอง…?!”