เล่ม 9 เล่มที่ 9 ตอนที่ 270 เป็นเหมือนปีศาจ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“สิ่งเหล่านี้มีบันทึกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ”

“ขุนนางดูแลพระราชพิธีนำบันทึกมอบให้ฝ่าบาทแล้ว ทว่าฝ่าบาทยังไม่วางพระทัย จึงใช้ให้พวกเรามาดูอีกครั้ง”

“ฝ่าบาทรับสั่งให้พวกเจ้ามาจริงๆ หรือ? ” หัวหน้าองครักษ์นายนั้นแสดงท่าทีขุ่นเคืองแกมสงสัยเล็กน้อย อย่างไรเสีย เวลานี้พวกเขาก็ทำงานให้โยวอ๋อง พวกเขาจำเป็นต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

แม่นมเจิ้งมีใบหน้าขึงขังปนหงุดหงิด “พวกเจ้ากล่าวหาว่าข้าพูดเท็จหรือ? หากเวลานี้ฝ่าบาทไม่ทรงประชวรหนักคงเสด็จมาด้วยพระองค์เองแล้ว”

ฝ่าบาททรงรักใคร่ฮองเฮาเป็นอย่างมาก ผู้คนในวังต่างรู้ดี

หัวหน้าองครักษ์ยังมีท่าทีลังเลและสงสัย

แม่นมเจิ้งจึงเดินเข้าไปหา นางถอดกำไลล้ำค่าที่ข้อมือยื่นให้หัวหน้าองครักษ์ พลางพูดว่า “ฝ่าบาททรงห่วงใยฮองเฮาเป็นอย่างมาก หลายวันมานี้พระองค์ทรงโศกเศร้ากับการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮา เจ้ากับข้าล้วนทำงานในวังหลวง โปรดให้ความสะดวกด้วย”

หัวหน้าองครักษ์รับกำไลนั้นไว้ และชั่งน้ำหนักด้วยมือ ของดี ของแท้แน่นอน

“ไป ไป ไป! รีบไปรับกลับ อย่ามัวชักช้าเล่า โยวอ๋องมีพระบัญชาว่า ก่อนยามเฉิน [1] ในพระราชวัง นอกจากคนที่ทำงานตามปกติแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามออกมาเดินเพ่นพ่าน”

“ได้! ได้! ” แม่นมเจิ้งแย้มยิ้ม รีบจูงมือแม่นมจูเข้าไปในตำหนักจ้งหวา

ฝ่ามือของแม่นมจูเย็นเฉียบ เต็มไปด้วยเหงื่อ

นับว่าแม่นมจูกับแม่นมเจิ้งเข้ามาในตำหนักจ้งหวาได้อย่างราบรื่น

พระโกศของฮองเฮามีนางกำนัลจำนวนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ แม่นมเจิ้งเดินเข้าไปพูดว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าทั้งสองมาที่นี่ เพื่อตรวจนับฉลองพระองค์กับผ้าคลุม พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด! ”

การนับฉลองพระองค์กับผ้าคลุมของฮองเฮา ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าใกล้ นี่เป็นกฎในพระราชวัง อีกทั้งผู้ที่มีตำแหน่งเป็นแม่นมในวัง สถานะย่อมสูงกว่านางกำนัลธรรมดา ดังนั้นเหล่านางกำนัลจึงถอยออกไปโดยไม่ได้ถามไถ่สักคำ

แม่นมเจิ้งกับแม่นมจูส่งสายตาให้กัน และรีบเดินเข้าไปใกล้พระโกศของฮองเฮา

แม่นมเจิ้งเปิดผ้าคลุมพระศพและดึงสิ่งที่ปิดบังพระพักตร์ของฮองเฮาออก แม้ผิวหนังของฮองเฮาจะดูซีดขาวไร้สีเลือด ทว่ายังเป็นเหมือนคนปกติทั่วไป นางอยู่ในรั้วในวังมาทั้งชีวิต เห็นศพมามากมาย คนที่ตายไปแล้วสิบสองชั่วยาม ไม่มีทางที่ผิวหนังจะเป็นเหมือนคนปกติ

พระชายาโยวอ๋องพูดไว้ไม่มีผิด ฮองเฮาไม่ได้สิ้นพระชนม์ตามที่ผู้อื่นคิด

“ยืนบื้ออยู่ทำไม ออกไปดูลาดเลาสิ”

แม่นมเจิ้งรีบเอาสิ่งที่คลุมพระศพของฮองเฮาออก พลางหันไปบอกแม่นมจู

แม้ตอนนี้แม่นมจูจะหวาดกลัวมาก ทว่าเพราะสถานการณ์เร่งรัด นางจึงยืดตัวตรงและรวบรวมความกล้าทำตามที่แม่นมเจิ้งสั่ง โดยการเดินออกไปด้านนอกเพื่อดูลาดเลา

แม่นมเจิ้งหยิบกล่องผ้าไหมใบเล็กที่ซูจิ่นซีมอบให้ก่อนหน้านี้ออกมา และนำยาถอนพิษด้านในป้อนให้ฮองเฮา

จากนั้นก็ไปหาน้ำสะอาดมาล้างสิ่งที่เคลือบอยู่บนใบหน้าของฮองเฮาจนสะอาด และยืนอยู่ด้านข้างรอให้ฮองเฮาฟื้น

ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ ฮองเฮาก็ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย

“ยาที่พระชายาโยวอ๋องให้จะใช้ได้ผลหรือไม่? เวลานี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว อีกเดี๋ยวคนที่ดูแลพิธีกับคนที่รับผิดชอบงานพระราชพิธีเพลิงพระศพจะเข้ามาแล้ว ถึงเวลานั้นเรื่องคงยุ่งยากมากขึ้น” แม่นมเจิ้งร้อนใจจนเดินวนไปวนมา

“เป็นอย่างไรบ้าง? รีบหน่อย” แม่นมจูที่คอยดูลาดเลาอยู่ด้านนอกพูดเร่งรัด

แต่ยังไม่มีทีท่าว่าฮองเฮาจะฟื้นขึ้นมา

ในชั่วพริบตานั้นเอง ขณะที่แม่นมเจิ้งร้อนใจจนคิดจะหลบหนีไป นางคิดว่า อย่างไรเสียหากทำงานไม่สำเร็จก็มีแต่ตายกับตาย แทนที่จะดันทุรังทำงานอยู่ตรงนี้ ไม่สู้หนีออกไปก่อน จากนั้นค่อยหาหมอฝีมือดีมาถอนพิษ

แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล คนที่มีความสามารถก็มีอยู่ไม่น้อย พิษยันต์เป็นตายของพระชายาโยวอ๋อง ใช่ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่ถอนพิษได้

ทว่าขณะที่แม่นมเจิ้งเกิดความคิดเช่นนั้น จู่ๆ นางก็ปวดศีรษะมาก เหมือนจะระเบิด จนทำให้ความคิดของนางมลายหายไปสิ้น

“โอ๊ย บ้าจริง… ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว” แม่นมเจิ้งใช้สองมือกุมศีรษะ นอนคุดคู้อยู่บนพื้น

ด้านนอกก็มีเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของแม่นมจูเช่นกัน

นี่เป็นครั้งที่สองที่เกิดอาการเจ็บปวดเช่นนี้ หากครั้งแรกพวกนางไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ครั้งนี้พวกนางคงพอเข้าใจบ้างแล้ว

ครั้งนี้พระชายาโยวอ๋องใช้ความเจ็บปวดเพื่อเตือนสติพวกนาง หากคิดหนี นั่นคือโทษตายสถานเดียว

สตรีนางนี้ ใช้วิธีการโหดร้ายยิ่งนัก

ขณะที่แม่นมเจิ้งกำลังสาปแช่งอยู่ในใจ ภายในพระโกศพลันมีเสียงดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าถูกผีหลอกเป็นแน่ ทว่าแม่นมเจิ้งกลับดีใจอย่างมาก นางรีบลุกขึ้นดู เห็นว่าฮองเฮาลืมตาแล้วจริงๆ

“ฮองเฮาเพคะ”

“เจ้า… เจ้าเป็นใคร? ” แม่นมเจิ้งประคองฮองเฮาขึ้นมา

“บ่าวเป็นคนที่พระชายาโยวอ๋องส่งมาเพื่อช่วยเหลือฮองเฮาให้ออกจากวังเพคะ พระองค์รีบลงมาก่อน บ่าวจะแปลงโฉมให้ จากนั้นจะพาพระองค์ออกจากวังเพคะ”

“ข้า… ข้ายังอยู่ในวังหรือ? ”

ฮองเฮาไม่รู้แผนการทั้งหมดของซูจิ่นซี ก่อนหน้านี้ที่กินยา นางคิดว่า เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนางจะอยู่นอกวังและได้พบกับอวิ๋นเกอของนางแล้ว กลับไม่คิดว่านางยังอยู่ในพระราชวัง

แม่นมเจิ้งไม่มีเวลาตอบอันใดมากนัก นางหยิบเครื่องใช้ในการแปลงโฉมออกมาจากอกเสื้อและวางลงบนพื้น

“ฮองเฮา เวลามีน้อย พระองค์รีบหน่อยเพคะ”

ฮองเฮาทำได้เพียงลุกออกจากพระโกศตามที่แม่นมเจิ้งบอก และถอดฉลองพระองค์หนักอึ้งหลายชั้นบนร่างกายนางออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แม่นมเจิ้งจัดเตรียมมาให้ จากนั้นแม่นมเจิ้งก็จัดแจงแปลงโฉมฮองเฮา

ทักษะการแปลงโฉมนี้ แม่นมเจิ้งไม่เคยทำมาก่อน เป็นฮูหยินปี้ที่สอนวิธีการแปลงโฉมฉบับเร่งรัดให้พวกนางก่อนที่จะมาที่นี่

แม่นมเจิ้งฉลาดหลักแหลม สอนเพียงครั้งเดียวก็ทำเป็นแล้ว ทั้งยังเรียนรู้ได้เร็วกว่าแม่นมจูมากนัก

“เสร็จแล้ว! ” แม่นมเจิ้งยิ้มด้วยใบหน้าพอใจ นางรีบเก็บกวาดร่องรอยบนพื้นทั้งหมด และจัดเก็บพระโกศให้เป็นเหมือนเดิม

นางแปลงโฉมฮองเฮาให้มีใบหน้าเหมือนแม่นมจูหลังแปลงโฉมแล้ว

ทั้งสองเดินออกมาจากตำหนักจ้งหวา เมื่อแม่นมจูหันหลังมาเห็นใบหน้าของฮองเฮา นางก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“แม่นมเจิ้ง เจ้าเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งนัก”

“อย่ามัวแต่พูดจาเพ้อเจ้อ ข้าจะพาฮองเฮาออกไปก่อน เจ้าต้องคิดหาหนทางออกไปเอง รีบหน่อย สายตาคนในวังมีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นคนของโยวอ๋อง พวกเขาหาใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน ฟ้าสว่างแล้วจะทำงานลำบากยิ่งขึ้น”

“ตกลง! ” แม่นมจูพยักหน้า

แม่นมเจิ้งรีบคว้ามือของฮองเฮา พลางพูดว่า “ฮองเฮา ตอนที่พวกเราเข้ามานั้นเป็นช่วงกลางคืน ทั้งยังเสียเวลาไปมาก เวลานี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว คิดจะออกไปคงไม่ง่าย ประเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น พระองค์อย่าได้ตื่นตระหนกนะเพคะ”

ฮองเฮาเม้มริมฝีปากและพยักหน้า

ขณะที่แม่นมเจิ้งกำลังพาฮองเฮาออกจากประตูตำหนัก คาดไม่ถึงว่า เมื่อเดินออกมาจะพบกับองครักษ์ผู้นั้นอีกครั้ง

“อ้าว แม่นม! ข้านึกว่าเจ้ากลับไปนานแล้ว ที่แท้เพิ่งจะออกมาหรอกหรือ? เป็นเช่นไร จำนวนทั้งหมดตรงกับในบันทึกหรือไม่? ”

แม่นมเจิ้งตกใจมาก

ครั้งนี้เป็นการบังเอิญพบกันอีกครั้ง หรือคนผู้นี้รออยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้ไปไหนกันแน่?

ทว่าแม่นมเจิ้งเป็นคนหัวไว นางบีบมือฮองเฮาเพื่อเตือนไม่ให้ตื่นตกใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาองครักษ์นายนั้น

“ช่างบังเอิญเสียจริง พบเจ้าอีกแล้ว จำนวนเหมือนกับในบันทึก แต่พวกเราทั้งสองพบว่าผ้าคลุมพระพักตร์ของฮองเฮาปิดไว้ไม่ดีนัก ทั้งยังมีฝุ่นอยู่เล็กน้อย จึงปัดกวาดให้ฮองเฮา ทำให้เสียเวลาไปบ้าง ครั้งนี้ต้องรีบกลับไปตำหนักเฉิงเฉียนเพื่อทูลต่อฝ่าบาท! เกรงว่าฝ่าบาทกำลังร้อนพระทัยเช่นกัน”

“เช่นนั้นแม่นมก็รีบไปเถิด! ”

“ได้! ”

แม่นมเจิ้งรับคำ พลางหันหลังส่งสายตาให้กับแม่นมจู จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปพร้อมกัน

“หยุดอยู่ตรงนั้น… ”

โดยไม่คาดคิด น้ำเสียงที่เย็นชาและหนาวเหน็บไปถึงกระดูกพลันดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทั้งยังเป็นเสียงที่คุ้นเคยยิ่งนัก

แม่นมเจิ้งกับฮองเฮาต่างตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี พวกนางหยุดเดินทันที ในชั่วพริบตา พวกนางคล้ายกับถูกความกดดันในอากาศอันหนาวเย็นรุนแรงพุ่งเข้าโจมตี จนไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง

เป็นผู้ใด?

เหตุใดถึงมีพลังอำนาจเช่นนี้

……

เชิงอรรถ

[1] ยามเฉิน คือ ช่วงเวลาประมาณ 07:00 – 09:00 น.