โยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยา…
คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะมาพบกับเยี่ยโยวเหยาเข้าจริงๆ ฮองเฮากับแม่นมเจิ้งตกใจกลัวจนหัวใจหล่นไปที่ตาตุ่ม
ฝ่ามือและแผ่นหลังทั้งสองคนชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในวินาทีที่ได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยา พวกนางตกใจมากจนรู้สึกว่าความหนาวเย็นยะเยือกพุ่งจากเท้าไปสู่สมอง
ทว่าในตอนนี้ แม่นมเจิ้งมีท่าทีสงบนิ่งกว่าฮองเฮามากนัก นางต้องการมีชีวิตรอด นางไม่อยากตาย
แม้ตอนนี้นางจะทำงานเสี่ยงตายให้กับซูจิ่นซี แม้จะเหลือหนทางรอดเพียงน้อยนิด นางก็ไม่ยอมละทิ้งไปง่ายๆ
ในเวลาอันรวดเร็ว แม่นมเจิ้งสามารถซุกซ่อนความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกไว้ภายในจิตใจ นางควบคุมอารมณ์บนใบหน้าให้เป็นปกติ แล้วค่อยๆ หันหลังกลับไป แสดงท่าทีเป็นเหมือนนางกำนัลทั่วไป นางทำความเคารพและก้มหน้าพูดว่า “บ่าวคำนับโยวอ๋องเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อสีดำสนิทลายเมฆ สองมือไพล่หลัง เหมือนดั่งเทพเจ้าแห่งรัตติกาลก็มิปาน เขาเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ทำให้คนหวาดผวา “พวกเจ้าเป็นใคร? ”
แม่นมเจิ้งรีบนำคำพูดที่บอกกับองครักษ์ก่อนหน้านี้ มาอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาฟังอีกครั้ง
“หืม? ฝ่าบาททรงเป็นห่วงเป็นใยเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
“ใช่เพคะ! ” แม่นมเจิ้งพูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นระเบียบ “ฝ่าบาททรงเศร้าโศกทั้งวันทั้งคืนกับเรื่องการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระวรกายของฝ่าบาทจะหายประชวรได้อย่างไรเพคะ? ”
เมื่อพูดถึงช่วงสุดท้าย น้ำเสียงก็เผยให้เห็นถึงความเสียใจที่ยากจะแยกแยะว่าจริงหรือเท็จ
“อย่างนั้นหรือ? ” แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลงเล็กน้อย “ในเมื่อมาเพื่อนับฉลองพระองค์และเครื่องประดับบนพระพักตร์ของฮองเฮา เหตุใดถึงไม่มาวันพรุ่งนี้เล่า? ”
ความคิดของเยี่ยโยวเหยานั้น คนปกติยากจะเข้าใจ เขายังเป็นผู้ที่มีความคิดละเอียดรอบคอบอีกด้วย
ฮ่องเต้ทรงทราบดีว่า ไม่ควรแตะต้องพระโกศของฮองเฮาในช่วงเวลากลางคืน โดยทั่วไปแล้ว หากมีเรื่องอันใดควรกระทำในช่วงหัวค่ำจะเหมาะสมกว่า นอกจากนั้น แม้ฮ่องเต้จะทรงกังวลมากเพียงใด ก็สามารถรอจนกว่าพระราชพิธีพระศพของฮองเฮาเสร็จสิ้น เมื่อถึงตอนนั้น หากพบว่าจำนวนไม่ครบ พระองค์ต้องการเพิ่มเท่าใดก็ย่อมได้
เหตุใดต้องเป็นเวลาดึกดื่นเช่นนี้
ช่วงดึกก่อนฟ้าสาง เป็นข้อห้ามในพระราชพิธีพระศพ
แม่นมเจิ้งรู้สึกสับสนขึ้นมาในทันที โยวอ๋องเป็นผู้ที่ยากจะรับมือ
นางขบคิดหาเหตุผลมาตอบ ทว่าคำถามของเยี่ยโยวเหยานั้น นางไม่สามารถหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างได้เลย
“ว่าอย่างไร? ” เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าใกล้แม่นมเจิ้งด้วยท่าทีดุดัน
แม่นมเจิ้งตกใจกลัวจนขาอ่อนแรง นางคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตุบ’ พลางพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “บ่าว… บ่าวไม่ทราบเพคะ”
“เจ้าไม่ทราบหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาหรี่ตาลง ท่าทีขึงขังเย็นชานั้นยิ่งทำให้หนาวเหน็บมากขึ้น เขาพูดเสียงแข็งกับองครักษ์ว่า “ลากตัวออกไป สอบปากคำให้รู้เรื่องจนถึงที่สุด”
แม่นมเจิ้งตกใจกลัวจนใบหน้าซีดเผือด ต้องรู้ว่าวิธีการสอบปากคำของโยวอ๋องนั้นโหดร้ายทารุณยิ่งนัก โดยเฉพาะนักโทษที่ไม่เชื่อฟัง หากนางถูกจับตัวไป นางคงไม่รอดเป็นแน่
ทว่า จะทำอย่างไร?
นางควรพูดเพื่อเอาตัวรอดกับโยวอ๋องเช่นไร?
ขณะที่องครักษ์กำลังจะลากตัวแม่นมเจิ้งออกไป ฮองเฮาที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่นมเจิ้งโดยไม่ยอมปริปากสักคำก็หันหลังเดินเข้ามา
“ท่านอ๋อง ความจริงแล้ว ในเวลานี้ฝ่าบาททรงพระประชวรจนขาดสติสัมปชัญญะ ทั้งพระอาการก็ทรุดหนักอย่างมาก พวกบ่าวเพียงได้ยินฝ่าบาททรงรับสั่งเช่นนั้น ทว่าฝ่าบาททรงคิดเช่นไรพวกบ่าวก็ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช และไม่กล้าซักถามให้มากความ ฝ่าบาทรับสั่งให้บ่าวมา พวกบ่าวก็ต้องมา บ่าวคาดเดาเอาเองว่า ฝ่าบาทอาจรับสั่งออกมาโดยที่ไม่ทราบว่า เวลานี้เป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืนเพคะ”
แม้ฮองเฮาจะหวาดกลัวมาก ทว่าอย่างไรเสีย นางก็เป็นถึงพระมารดาของประเทศ ในช่วงเวลาคับขันย่อมสงบนิ่งกว่าคนทั่วไปมากนัก
การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยานั้นยากจะคาดเดา เขาเดินเข้ามาหาฮองเฮาทีละก้าว จังหวะก้าวเท้าแต่ละครั้งหนักแน่นดั่งค้อนพันชั่ง มันกระแทกเข้าไปภายในใจของแม่นมเจิ้งกับฮองเฮา พวกนางตื่นตระหนกจนหัวใจแทบหล่นไปที่ตาตุ่ม
“เจ้าเป็นใคร? ” เยี่ยโยวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“บ่าวหวนซื่อ เป็นบ่าวที่ดูแลตำหนักเฉิงเฉียนเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาไม่คุ้นกับคนในตำหนักหลังนัก ทว่ามีบางคนที่ฮองเฮารู้จักเป็นอย่างดี หากคิดจะสวมรอยเป็นผู้ใด สำหรับฮองเฮาแล้วสามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้เยี่ยโยวเหยาพบพิรุธแน่นอน
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด ทว่าดวงตาดำขลับทั้งสองของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของฮองเฮา
หัวใจของแม่นมเจิ้งกับฮองเฮาเต้นรัวด้วยความระทึก
โยวอ๋อง… โยวอ๋องคงไม่พบพิรุธอันใดใช่หรือไม่?
แม้วิชาแปลงโฉมจะเรียนรู้ได้ง่าย แต่ถ้าคิดจะเรียนให้เชี่ยวชาญนั้น ใช่ว่าเพียงวันสองวันก็ทำได้ แม้แม่นมเจิ้งจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่านางเพิ่งเรียนรู้ได้ไม่นาน หากเป็นคนในวังทั่วไปคงพอปกปิดได้มิด ทว่าหากต้องการปิดบังผู้ที่มีความคิดเฉียบแหลม และมีสายตาละเอียดรอบคอบเช่นเยี่ยโยวเหยา เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย
แม่นมเจิ้งรู้สึกว่า ลมในช่วงเวลาฟ้าสางนี้ช่างเย็นยะเยือก แผ่นหลังของนางหนาวสะท้าน เหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาราดบนตัว
พระทัยของฮองเฮาสั่นไหว นางเม้มริมฝีปาก ขณะชำเลืองมองเยี่ยโยวเหยาก็แสร้งแสดงท่าทีตกใจกับใบหน้าเย็นชาของเขา และรีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ไปเถิด! ” เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม่นมเจิ้งกับฮองเฮามีท่าทีงงงวย ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น องครักษ์ด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาจึงพูดเสียงแข็งว่า “ท่านอ๋องอนุญาตให้พวกเจ้าไปแล้ว ยังไม่รีบไปอีก? ”
ทั้งสองเพิ่งได้สติกลับมา รีบพูดว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยท่านอ๋อง บ่าวขออำลาเพคะ”
พวกนางพูดพลางช่วยประคองกันให้ลุกขึ้นยืนและรีบเดินจากไปทันที
รอจนแม่นมเจิ้งกับฮองเฮาเดินลับสายตาไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็คลายมือจากการไพล่หลัง จากนั้นจึงหยิบของสองสิ่งออกมาจากอกเสื้อ
สิ่งแรกเป็นชุดสีดำที่แม่นมเจิ้งกับแม่นมจูซ่อนไว้ในพงหญ้าตอนที่แอบเข้ามาในวังหลวง อีกชิ้นคือกำไลที่แม่นมเจิ้งกับแม่นมจูติดสินบนองครักษ์ผู้นั้นที่หน้าตำหนักจ้งหวา
เยี่ยโยวเหยามองไปทางตำหนักจ้งหวาด้วยแววตาสับสน สายตาของเขาหยุดมองที่พระโกศของฮองเฮา
“ท่านอ๋อง ให้กระหม่อมพาคนเข้าไปดีหรือไม่? พระศพของฮองเฮาไม่อยู่ในพระโกศแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ถึงเวลานั้นก็สามารถจับพวกนางกลับมาได้อย่างสมเหตุสมผล” องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น
“ไม่ต้อง ปล่อยให้พวกนางออกไป”
เสียงเย็นชาทุ้มลึกของเยี่ยโยวเหยา ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ ฟังไม่ออกว่าภายในใจของเขากำลังคิดสิ่งใด
“ปล่อยออกไป? ”
องครักษ์ไม่เข้าใจ เมื่อครู่คนที่หนีไปคือฮองเฮาไม่ใช่หรือ! ฮองเฮากำลังโกหกทุกคน ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อครู่ยังหาญกล้าเล่นลิ้นต่อหน้าท่านอ๋องอีก นี่เป็นการลบหลู่ท่านอ๋องอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ท่านอ๋องกำลังคิดอันใด แน่นอนว่าไม่มีทางบอกกับองครักษ์ตำแหน่งต่ำต้อยเช่นพวกเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีคนสวมชุดดำเหินลงมายืนข้างเยี่ยโยวเหยาอย่างเงียบเชียบ พลันกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเยี่ยโยวเหยา
ใบหน้าไร้อารมณ์ของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งเย็นชามากขึ้นไปอีก
“สตรีนางนี้ คิดจะทำอันใดกันแน่? ”
เขาเพิ่งจะเข้ามาในวัง นางก็ออกจากจวนโยวอ๋องทันที ไม่เพียงเท่านั้น ยังคิดหาวิธีหลบเลี่ยงสายตาของเขาอีกด้วย
หรือว่า… ในตอนนั้นที่นางแต่งเข้าจวนโยวอ๋อง จะมีความเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้? นางเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้จริงๆ หรือ ?