ปราสาทของบารอนมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบทั่วไปในช่วงปลายยุคสงครามแห่งรุ่งอรุณ

โถงทางเข้าซึ่งอยู่ชั้นหนึ่ง นั้นกว้างขวางและหรูหรา  ทว่าบานหน้าต่างที่อยู่สูงขึ้นไปนั้นกลับแคบ โดยทั่วไปแล้ว ลูเซียนรู้สึกว่าที่นี่มืดทึมและลึกลับ

“ท่านลอร์ดฮาบีโรคอยอยู่ที่ห้องอาหารบนชั้นสอง” เคลีนยกมือขวาแล้วชี้ไปยังบันไดซึ่งทอดขึ้นไปชั้นบน “ชั้นหนึ่งมักเอาไว้จัดงานเลี้ยงและบางครั้งก็ใช้เป็นลานน่ะ”

ในขณะที่ลูเซียนและไวส์สำรวมกิริยา โจแอนนากับไซม่อนก็มองตรงนั้นตรงนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เบ็ตตี้ก็ด้วย พวกเขาไม่เคยเข้ามาข้างในปราสาทมาก่อน และปราสาทหลังนี้ก็ใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียอีก

เมื่อเดินมาสุดขั้นบันได พวกเขาก็เจอทางเดินแคบยาว แต่ละข้างของทางเดินมีเทียนเรียงรายเป็นแนวให้แสงสว่างแก่บริเวณนั้น นอกเหนือจากเทียน มีภาพเหมือนลอร์ดฮาบีโรอยู่หลายภาพ

“นี่คือลอร์ดฮาบีโรที่หนึ่ง” เคลีนอธิบาย “ตระกูลฮาบีโรได้รับพระราชทานที่ดินเนื่องจากผลงานในสงครามแห่งรุ่งอรุณ ข้าได้ยินมาว่าพลังแฝงของตระกูลนี้แข็งแกร่งมาก… ประมาณว่าเปลี่ยนร่างของตัวเองและศัตรูให้กลายเป็นหิน แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นพลังของท่านลอร์ดหรอกนะ”

“พลังแฝงนี้ใช้ต่อสู้ระยะประชิดหรือระยะไกลกันนะ?” ลูเซียนพึมพำลอยๆ

เมื่อได้ยินข้อสงสัยของลูเซียน ไซม่อนก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาเป็นคนชั้นสูงที่เคยผ่านการฝึกฝนการเป็นอัศวินมาก่อน

“ขออภัยค่ะ ท่านอีวานส์ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” เคลีนยิ้ม “ข้าต่อสู้ไม่เป็น”

ลูเซียนพยักหน้าและเดินตามเคลีนต่อไปยังห้องอาหาร

แม้จะไม่มีใครเอ่ยออกมา แต่ทุกคนรวมทั้งลูเซียนก็รู้สึกว่าภาพเหมือนที่ดูมีชีวิตเหล่านี้กำลังจ้องมองพวกเขาจากผนังทั้งสองข้าง

เคลีนเปิดประตูเข้าห้องอาหาร ประตูทำจากไม้สนซึ่งหลังประตูนั้นเป็นห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา

ตรงกลางห้องมีโต๊ะอาหารตัวยาว มีอุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารเป็นเครื่องเคลือบอย่างดีจัดวางเป็นชุด คนรับใช้หลายคนยืนเรียงกันรอคำสั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร อีกฟากของโต๊ะ มีวงดนตรีแชมเบอร์กำลังบรรเลงเพลงไพเราะ

พวกเขาต้องฝากอาวุธไว้ที่ทหารยามซึ่งยืนอยู่ข้างประตู ลูเซียนปลดดาบระวังภัยวางไว้ข้างนอกห้อง แต่เขาไม่กังวลเพราะมีมีดสั้นติดตัวอยู่

ขุนนางชราซึ่งนั่งอยู่ปลายโต๊ะลุกขึ้นยืนต้อนรับพวกเขา ถึงแม้ว่าใบหน้าแดงๆ ของเขาจะมีริ้วรอย แต่ผมยังดำอยู่ ถ้าลูเซียนไม่รู้มาก่อนว่าบารอนฮาบีโรอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว เขาก็คงเดาอายุจริงไม่ถูก

“เชิญ เชิญ!” ลอร์ดฮาบีโรสวมชุดยาวสีน้ำตาลแบบดั้งเดิม “แขกของข้า! มีพวกเจ้ามา ทำให้คนแก่อย่างข้ากระปรี้กระเปร่ามากทีเดียว!” เสียงเขากังวาน ดวงตาเป็นประกาย แหวนหยกสีเขียววงใหญ่ในนิ้วมือข้างขวานั้นสะดุดตา

“บารอน ฮาบีโร” ลูเซียนเอ่ยก่อนแล้วโค้งคำนับเขา

“เจ้าต้องเป็นอีวานส์แน่ๆ” ฮาบีโรกวาดตามองลูเซียน “อืม… หนุ่มแน่นและผึ่งผาย แขนขาดูแข็งแรงดีนี่” ขณะที่ฮาบีโรพูดกับลูเซียน เขาก็ชำเลืองใบหน้า อก แขนและขาของลูเซียน

“…” ลูเซียนรู้สึกอึดอัดกับคำพูดของฮาบีโร เขาสงสัยว่าจริงๆ แล้วชายแก่คนนี้ชอบผู้ชายหรือเปล่า

ลูเซียนกำลังจะบอกบารอนตรงๆ ให้หยุดมองเขา แต่ฮาบีโรก็หันกลับไปทักทายคนอื่นๆ

เมื่อทักทายเบ็ตตี้ เขาก็มองนางด้วยสายตาโลมเลียจนนางเกือบจะทนไม่ไหว แล้วฮาบีโรก็ยิ้มเจื่อนขอโทษราวกับรู้ตัวว่าเสียมารยาท

“ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าแก่แล้ว อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกครั้งที่ข้าเห็นคนหนุ่มคนสาว ข้าจะชื่นชมความอ่อนเยาว์ของพวกเขาเสมอ ข้าคิดถึงตอนเป็นหนุ่มเหลือเกิน ข้าอยากมีผิวพรรณเต่งตึง แขนขาแข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ไว้เราดื่มอวยพรให้แก่ความอ่อนเยาว์ทีหลังเถอะ”

“ท่านยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงมากนะขอรับ” ลูเซียนตอบ ถึงแม้เขาจะรู้สึกประทับใจ แต่บารอนคนนี้น่าสงสัยยิ่งนัก หลังจากนั่งที่โต๊ะ ลูเซียนก็ปูผ้าเช็ดปากบนหน้าขา แล้วถามว่า “ท่านลอร์ดฮาบีโร คืนนี้พ่อบ้านของท่านไม่อยู่หรือขอรับ?”

ลูเซียนอดถามไม่ได้ เพราะเขารู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงพยายามหาคำตอบว่ามันคืออะไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าเจ้านายกำลังต้อนรับแขก การที่พ่อบ้านไม่อยู่นั้นผิดปกติแน่นอน

“ไม่อยู่ คืนนี้คอร์กออกไปทำธุระให้ข้าน่ะ” เงาทอดบังเสี้ยวหน้าของฮาบีโร “อีวานส์ ถ้าคืนนี้เจ้าค้างที่นี่ พรุ่งนี้เช้าก็จะได้เจอเขา”

จากนั้นท่านบารอนก็แนะนำชายซึ่งกำลังเล่นเปียโนอยู่อีกฟาก “นี่คือที่ปรึกษาเรื่องดนตรีของข้า มาร์ส นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงในคอร์ซอร์”

ถึงแม้ว่ามาร์สจะอายุหกสิบต้นๆ แต่เขาก็ดูแก่กว่าบารอนอย่างเห็นได้ชัด

หลังทำความรู้จักกันแล้ว มาร์สก็บ่นกับบารอน “ท่านขอรับ เครื่องดนตรีที่ท่านเพิ่งซื้อมา… เปียโน ใช่ เปียโน… ไม่คล้ายฮาร์ปซิคอร์ดเลยสักนิด คุณภาพเสียงก็ไม่ดีเท่าไหร่”

หลังมีการประดิษฐ์เปียโนขึ้นเมื่อราวหนึ่งปีก่อน ปัจจุบันเปียโนได้รับความนิยมมากขึ้น แม้แต่ท่านบารอน ขุนนางในดินแดนห่างไกลเช่นนี้ ก็ยังไล่ตามกระแสนิยมด้วย

“เป็นเพราะคันเหยียบน่ะ… ท่านใช้มันไม่ถูกเท่าไหร่” เบ็ตตี้พึมพำ

นางไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์เครื่องดนตรีที่นักดนตรีคนโปรดของนาง ลูเซียน อีวานส์ ชำนาญที่สุด

“ยัยเด็กน้อย ข้าว่าเจ้าแค่เล่นไม่เก่งมากกว่า” มาร์สขมวดคิ้ว “ข้าใช้คันเหยียบนะ”

“ข้าไม่เก่ง แต่ไวส์น่ะเก่ง!” เบ็ตตี้โต้กลับ “เขาเป็นนักดนตรีเลยนะ!”

ไวส์ดูกระอักกระอ่วนเมื่อมาร์สหันไปมองเขา

“เอ่อ… จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้เข้าใจดนตรีทะลุปรุโปร่งหรอก พอดีว่าข้าเพิ่งเรียนเปียโนมา” ไวส์โบกมือเล็กน้อย แล้วเขาก็เริ่มพูดถึงทฤษฎีเชิงลึกของเครื่องดนตรีชนิดใหม่นี้ ซึ่งทุกคนมึนงง ยกเว้นมาร์สกับลูเซียน

ลูเซียนซึ่งถือแก้วน้ำอยู่ฟังแนวคิดของไวส์อย่างสนอกสนใจ สิ่งที่เขากังวลนั้นเกิดจากพวกนักดนตรีบางคนและคำวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์ แต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเพราะการแสดงของลูเซียนที่ประสบความสำเร็จ

“ตอนนี้ ยุคของซิมโฟนีแบบดั้งเดิมได้สิ้นสุดลงแล้ว ยุครุ่งเรืองสิ้นสุดลงแล้ว” ฮาบีโรถอนหายใจ “ข้ายังจำเสียงปรบมือกระหึ่มในงานเทศกาลดนตรีเมืองอัลโต้เมื่อหลายปีก่อนได้ ตอนที่ซิมโฟนีแบบดั้งเดิมถึงจุดสูงสุด ทั้งคริสโตเฟอร์ ลีอันดรินโญ่ ราเนีย แล้วก็โยเนสคู และนักดนตรีชั้นยอดคนอื่นๆ ช่วยสร้างสรรค์ยุคที่ยิ่งใหญ่ แต่บัดนี้ ยุคนั้นถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เหมือนกับชะตากรรมของมนุษย์ทุกคน ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องตาย”

“ข้าไม่คิดว่าการล่วงพ้นของยุคนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้สึกเสียใจ ตอนนี้เรามีสิ่งใหม่ๆ ทั้งรูปแบบดนตรี แนวดนตรี วิธีการนำเสนอ และความเป็นไปได้มากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในศักยภาพของดนตรี ตอนนี้ดนตรีสำแดงพลังมากกว่าที่เคยเป็นนะ! อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เราควรมองไปข้างหน้าสิ!” เบ็ตตี้แสดงความคิดเห็นเรื่องดนตรีโดยลืมสนิทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านางคือบารอน

จากนั้น ทุกคนก็ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเรื่องดนตรี ยกเว้นลูเซียน แต่สุดท้ายก็มีคนหันไปหาเขาแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร อีวานส์?”

เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าเข้าใจทั้งสองฝั่ง ลอร์ดฮาบีโรคิดถึงยุคอดีตเพราะท่านเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัน ท่านเห็นความเฟื่องฟูด้วยตาตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องปกติที่ไวส์กับเบ็ตตี้ ในฐานะคนรุ่นใหม่ อยากจะเดินตามกระแสดนตรีใหม่ๆ”

ฮาบีโรและไวส์ต่างพยักหน้า

“ดังนั้น ข้าจึงคิดว่า ถึงแม้การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าในยุคไหน เมื่อคนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงก็ยังอยู่ในกระแสใหม่ๆ เราจึงแทบบอกไม่ได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นดีหรือไม่ บางที… คนในยุคหลังจากนี้อีกสองสามร้อยปีอาจจะมีมุมมองที่ดีกว่าเรื่องลักษณะของยุคสมัยทางดนตรีแต่ละยุค

ความคิดเห็นของลูเซียนสรุปข้ออภิปรายของพวกเขาได้ดี ท่านบารอนถอนหายใจ “ทรรศนะของอีวานส์ช่างจูงใจยิ่งนัก”

อย่างไรก็ตาม มาร์สยังอยากคุยเรื่องนี้ต่อ

“ไวส์ เจ้าช่วยเล่นเปียโนให้เราดูหน่อยได้ไหม ข้าจะได้รู้ว่าควรใช้คันเหยียบอย่างไร”

“เถอะน่า ไวส์!” เบ็ตตี้เห็นดีเห็นงามอย่างตื่นเต้น

“ข้าเองก็อยากจะมีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการเล่นของไวส์” ฮาบีโรพยักหน้าเช่นกัน

ไวส์ได้แต่พยักหน้า “ตกลง ข้าจะพยายาม”

ลูเซียนรู้ทำนองเพลงทันทีเมื่อไวส์เริ่มบรรเลง มันคือ ‘บทเพลงแห่งเวทนา’ การบรรเลงของเขานั้นดีจนน่าประหลาดใจ และทุกคนต่างฟังอย่างตั้งใจ

ลูเซียนชำเลืองมองท่านบารอนขณะที่ไวส์กำลังบรรเลง เขาสังเกตว่าใบหน้าของบารอนกระตุกนิดๆ ราวกับว่ากำลังปวดใจ ซึ่งทำให้ลูเซียนสงสัยอีกครั้ง

บารอนฝืนยิ้มราวกับรู้ว่าลูเซียนแอบมองอยู่ แล้วเขาก็โน้มตัวมาคุยกับลูเซียน “อีวานส์ เจ้ารู้จักชื่อเต็มของไวส์หรือไม่?”

“เบิร์ต ไวส์ขอรับ” ลูเซียนเก็บอาการสงสัย

“มิน่าล่ะ… เบิร์ต ไวส์! นักดนตรียอดฝีมือที่กำลังจะมีการแสดงในคอร์ซอร์นี่เอง!”

มาร์สซึ่งยืนข้างๆ พวกเขาก็ตกตะลึงเช่นกัน “ข้าคิดว่าเขาเป็นแค่คนหนุ่มธรรมดาๆ ที่ชอบดนตรี กลายเป็นว่าเขาคือคนเก่งที่สุดในห้องนี้!”

“จริงหรือ!? ข้า… ข้าไม่เคยคิดจะถามชื่อจริงของไวส์เลย!” ตาของเบ็ตตี้ลุกวาวเพราะความตื่นเต้นสุดขีด “เขาพูดเสมอว่าไม่ค่อยเข้าใจดนตรีเท่าไรนัก ข้าก็เลยไม่คิดว่าเขาจะเป็นนักดนตรีผู้โด่งดัง เบิร์ต ไวส์!”

ลูเซียนก็ตกตะลึงเช่นกัน

ไวส์เดินกลับมาที่นั่งท่ามกลางเสียงปรบมืออันอบอุ่น เขายักไหล่เบาๆ ขณะนั่งลงข้างๆ ลูเซียน

“ข้าหมายความว่า ข้าไม่ค่อยเข้าใจดนตรีเท่าไรน่ะ” ไวส์ยิ้มฝืนๆ เล็กน้อย

ลูเซียนรู้สึกขบขัน เขายกแก้วน้ำขึ้นให้ไวส์ “ข้าก็เช่นกัน”

เมื่ออาหารค่ำกำลังจะเริ่ม ความรู้สึกไม่สบายใจว่าจะเกิดเหตุร้ายผุดขึ้นในใจลูเซียนมากขึ้นๆ จนเขารู้สึกทรมาน ลูเซียนจึงอ้างขอไปห้องน้ำ เขาเดินตามข้ารับใช้ออกจากห้องอาหารไป

……………………………………….