[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 452 : ร่ำรวยกว่าเดิม!
“อีกสองวันข้าต้องไปทะเล! และถ้าไม่มีปัญหาอะไร คาดว่าคงจะกลับมาในวันจันทร์หน้า!”
หลิงหยุนบอกหญิงสาวทั้งสองคนไปตามความจริง ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็หันไปมองหน้ากัน และฉินตงเฉี่ยวก็หันกลับไปพูดกับหลิงหยุนว่า
“ไม่ไปไม่ได้หรือยังไง? เจ้าเพิ่งกลับออกมาจากหลุมยักษ์ได้ไม่กี่วัน นี่ก็จะออกทะเลไปอีกแล้ว จะทำให้เข้ากับหลิงยู่เป็นห่วงไปถึงใหน?”
ฉินตงเฉี่วยหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเธอเองก็เพิ่งผ่านประสบการณ์การจมน้ำทะเลมาหมาดๆ
“น้าหญิง.. ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจำเป็นต้องไปฝึกบ่มเพาะกลางทะเล หลังจากฝึกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะรีบกลับมาทันที..”
เรื่องที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะกลายร่างเป็นมนุษย์นั้น หลิงหยุนไม่ต้องการเล่าให้กับหญิงสาวทั้งสองคนฟังในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องเสียเวลาอธิบายอีกยืดยาว
รอให้เจ้าขาวปุยกลายร่างสำเร็จเสียก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะพามันมาให้สองสาวได้เห็นกับตาตัวเอง และทั้งคู่ก็น่าจะยอมรับได้ง่ายขึ้น
ฉินตงเฉี่ยวมองหลิงหยุนแปลกๆอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินพี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า การฝึกกำลังภายในของเจ้านั้นดูค่อนข้างแปลกประหลาด และไม่เคยได้เห็นได้ยินจากที่ใหนมาก่อน..”
“พี่ใหญ่.. พี่ต้องไปทะเลจริงเหรอน่ะเหรอ?” หนิงหลิงยู่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องระวังตัวให้มาก ก่อนไปก็ฟังพยากรณ์อากาศล่วงหน้าสักสองสามวัน ถ้าเห็นว่าจะมีพายุเข้าก็อย่าไปนะคะ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับลูบศรีษะหนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยน และพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง.. พี่ใหญ่ของเธอว่ายน้ำเก่งมาก!”
ระหว่างที่บอกให้หนิงหลิงยู่สบายใจว่าเขาว่ายน้ำเก่งมากนั้น หลิงหยุนก็แอบขยิบตาให้กับฉินตงเฉี่วย ทำให้นางถึงกับหน้าแดงก่ำ และเลียริมฝีปากที่แห้งผากพร้อมกับคิดที่จะโต้กลับหลิงหยุน แต่ก็เงียบไป!
“พี่ใหญ่.. ก่อนที่จะออกเดินทาง อย่าลืมโทรบอกฉันกับน้าหญิงด้วยนะ..” หนิงหลิงยู่ดูเหมือนจะเป็นห่วงมากมาย
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วง.. ยังไงพี่ก็ต้องกลับมาแน่นอน!”
จากนั้นก็หันไปมองฉินตงเฉี่วย.. “น้าหญิง.. ข้าต้องขอกลับไปเตรียมของให้พร้อมสำหรับการออกทะเลครั้งนี้.. ข้าไปก่อนนะ!”
ฉินตงเฉี่วยเม้มริมฝีปากสีแดงพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุน และร้องเตือนออกไป “ระวังตัวให้ดีล่ะ.. อยู่ข้างนอกก็อย่าให้ใครรังแกเจ้าได้นะ!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยเป็นห่วงเพียงใด เขาจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “สบายใจได้.. คนอย่างข้าให้น้าหญิงรังแกได้คนเดียวเท่านั้น!”
………….
ในยามค่ำคืน.. หลิงหยุนขับรถออกจากอ่าวจิงฉูมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านเลขที่-1 ของเขา
ทั้งเหล่ากุ่ยและเจ้าขาวปุยยังคงไม่กลับมา แต่ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็ไปรอเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อหลิงหยุนไปถึง ก็เห็นตู้กู่โม่ก็กำลังสอนวรยุทธให้กับตี้เสี่ยวอู๋อยู่พอดี
หลิงหยุนเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม และส่งกระแสจิตบอกกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า “ไม่ว่าใครสอนอะไรให้กับนายก็ตาม ให้เรียนเฉพาะวรยุทธจากพวกเขาเท่านั้น ส่วนการฝึกกำลังภายในฉันจะเป็นคนสอนให้นายเอง..”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าอย่างเข้าใจ และทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมๆกัน
หลังจากที่นั่งลง.. หลิงหยุนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “มีข่าวอะไรเกี่ยวกับหวังเล่ยบ้าง?”
ถังเมิ่งตอบกลับมาว่า “จากการสืบสวนของตำรวจพบว่า.. สองวันก่อนเกิดอุบัติเหตุ จู่ๆในบัญชีของหวังเล่ยก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาหนึ่งล้านหยวน!”
หลิงหยุนนึกเย้ยหยันอยู่ในใจ แล้วจึงถามต่อทันที “แล้วรู้ไม๊ว่าเงินจำนวนหนึ่งล้านนั้นมาจากที่ใหน?”
เพราะนี่คือกุญแจดอกสำคัญ!
ถังเมิ่งส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “รู้เพียงแค่ว่าเงินจำนวนนี้ถูกโอนมาจากบัญชีที่อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นยังต้องรอให้ทางตำรวจสืบสวนต่อไป และคงต้องใช้เวลา..”
หลิงหยุนคิดในใจว่า.. คนที่ต้องการฆ่าเขานั้นที่แท้ก็อยู่ในเมืองหลวง และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะใหญ่โตกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
หลิงหยุนวิเคราะห์ต่อ “ดูลักษณะแล้วหวังเล่ยน่าจะถูกฆ่าปิดปาก แล้วนำศพไปโยนทิ้งในคูน้ำมากกว่า และบัญชีที่โอนเงินหนึ่งล้านหยวนให้กับมัน ก็เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ถังเมิ่ง.. นายต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด!”
“ฟังนะ.. นายไปบอกกับลุงถังว่า ให้ช่วยตามตามสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ และช่วยสืบให้ได้ความเร็วที่สุด แล้วก็ต้องทำให้เงียบที่สุดอย่าให้คนอื่นล่วงรู้!”
ถังเมิ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางตี้เสี่ยวอู๋ และสอบถามข้อมูลต่างๆที่เขาไปตามสืบมาได้
ตี้เสี่ยวอู๋เล่าให้หลิงหยุนฟังว่า “พี่หยุน.. ฉันให้คนของแก๊งมังกรเขียวช่วยสืบเรื่องนี้ แล้วก็ได้ข่าวมาว่า.. หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับหวังเล่ยหนึ่งวัน เพื่อนสนิทของเขาที่ชื่อหลี่กังก็หายตัวไปด้วย!”
หลิงหยุนฟังแล้วถึงกับคิ้วขมวดเข้าหากันทันที และแววตาของเขาก็เป็นประกายวูบขึ้นมาก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วมันตายด้วยไม๊?”
ตี้เสี่ยวอู๋ส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “จากคำบอกเล่าของภรรยาหวังเล่ย หลี่กังไม่ได้เสียชีวิต แค่ย้ายออกจากเมืองจิงฉูไป..”
หลิงหยุนได้ฟังแล้วถึงกับมั่นใจว่า หลี่กังจะต้องเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี หลิงหยุนมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจนเกินไปที่เขาจะขับรถไปถูกรถพ่วงชนเข้าอย่างพอดิบพอดีที่จุดทางเลี้ยวตรงนั้น มันแม่นยำมากเกินกว่าที่จะดูเป็นอุบัติเหตุ!
“ไปจัดการสืบมา! ทั้งเรื่องบัญชีปริศนานั่น แล้วก็รีบตามหาตัวหลี่กังให้พบ หรือถ้ามันตายก็ต้องพบศพ!”
แววตาฆาตกรปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาของหลิงหยุน ถังเมิ่งเห็นแล้วได้แต่หวาดกลัว และแอบคิดในใจว่าหลิงหยุนมีเหตุผลอะไรถึงได้ให้ทุกคนตามสืบเรื่องการตายของคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลิงหยุนเลยแม้แต่นิดเดียว!
“นี่นายกำลังคิดอยากจะถามฉันว่า – พี่หยุนพี่กำลังคิดจะทำอะไร? ใช่ไม๊?” หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ
ถังเมิ่งยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น.. เพียงแต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะผิดจากปกตินิสัยของพี่ไป.. ก็เท่านั้นเอง!”
แต่หลิงหยุนเพียงแค่ตอบกลับไปยิ้มๆ “บางครั้งคนเราก็ต้องหัดทำความดีบ้าง!”
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ..” ตู้กู่โม่ที่ยืนฟังอยู่นานถึงกับพูดขึ้นมา และมองหลิงหยุนอย่างแปลกใจ และหลังจากพูดจบก็กลับไปฝึกฝนต่อที่ลานบ้าน
ตู้กู่โม่เห็นหลิงหยุนที่นับวันก็ยิ่งแข็งแกร่ง และก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด ช่วงนี้เขาจึงต้องฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง และไม่เคยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
หลังจากนั้น.. ข่าวที่หลิงหยุนได้ฟังจากถังเมิ่งล้วนแล้วแต่เป็นข่าวดี!
เรื่องแรก.. คดีของหลัวจ้งดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เขาถูกควบคุมตัวอย่างแน่นหนา และถูกไล่ออกจากงานอย่างเป็นทางการแล้ว อีกทั้งยังถูกสอบสวนอย่างละเอียด ตอนนี้แม้เขาจะยังไม่ตายก็เหมือนตาย
เรื่องบ้านทั้งสองหลังของเถียนป๋อเตาที่อยู่ในหมู่บ้านหลินเจียงกับในตัวเมืองจิงฉูนั้น ตอนนี้ขายไปได้ในราคาสิบสามล้านหยวน
หากบวกกับเงินสดเก้าล้านที่เขาได้มาจากเถียนป๋อเตาก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าหลิงหยุนได้เงินมาจากเถียนป๋อเตาถึงยี่สิบสองล้านหยวนเลยทีเดียว!
บ้านของเหยาลู่นั้นราคามากกว่าสิบล้าน แต่ด้วยความช่วยเหลือของถังเทียนห่าวและหลี่ยี่เฟิง ถังเมิ่งจึงสามารถซื้อได้ในราคาเพียงห้าล้าน
และถังเมิ่งยังได้จัดการซื้อบ้านอีกหนึ่งหลังให้กับครอบครัวของหลิวลี่ตามที่หลิงหยุนต้องการ ซึ่งราคาเต็มของบ้านนั้นก็อยู่ที่หกล้าน แต่เขาสามารถซื้อได้เพียงครึ่งราคาซึ่งก็คือสามล้านเท่านั้น
และหลังจากได้รับอนุญาตจากหลิงหยุนเรื่องกู้เงิน เด็กหนุ่มถังเมิ่งก็สามารถกู้เงินจากธนาคาร ICBC สาขาเมืองจิงฉูได้ถึงสองร้อยล้านหยวน และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของทางธนาคาร
“สองร้อยล้าน?! นี่นายไปทำยังไงถึงกู้ได้มากขนาดนี้?” หลิงหยุนถามด้วยความแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น
และถังเมิ่งเองก็ดูเหมือนจะภาคภูมิใจในเรื่องนี้อย่างมาก “พี่หยุน.. นี่เป็นเรื่องของคอนเน็คชั่นที่พี่ไม่เข้าใจหรอก.. แค่มีพ่อของฉันกับลุงหลี่ค้ำประกันให้ ทุกอย่างก็เรียบร้อยและราบรื่น!”
“ธนาคารให้เรากู้เงิน เราก็เอาเงินนั่นออกมาใช้ แล้วก็แค่จ่ายดอกเบี้ยให้ตรงเวลา และเมื่อถึงกำหนดก็ค่อยจัดการคืนเงินต้น!”
ถังเมิ่งพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่ขั้นตอนที่ยุ่งยากนั้น เขาไม่ได้เล่าให้หลิงหยุนฟัง
“มันง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ?!” หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าเหตุใดจึงกู้ได้ง่ายเช่นนี้
อำนาจสามารถดลบันดาลทุกอย่างได้.. แม้แต่การกู้เงินจำนวนมากก็กลายเป็นเรื่องง่ายดาย เพราะเหตุนี้คนที่รวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งรวยมากขึ้นไปอีก ส่วนคนจนก็ยิ่งยากจนลงเรื่อยๆ โลกความจริงมักจะโหดร้ายเช่นนี้เสมอ..
แต่หลังจากได้ฟัง หลิงหยุนก็ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าถังเมิ่งพร้อมกับเตือนว่า “นายจัดการกับเงินก้อนนี้ให้ดีล่ะ ถ้านายทำให้ฉันขาดทุน ฉันจะจัดการกับนาย!”
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้กลัวว่าถังเมิ่งจะทำธุรกิจขาดทุนจริง และต่อให้ขาดทุนจริงๆ หลิงหยุนก็สามารถช่วยเหลือได้ทันทีเช่นกัน เขาเพียงแค่นำไข่มุกราตรีออกมาประมูลขายสักเม็ดสองเม็ด เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว!
อีกอย่าง.. ถังเมิ่งก็ไม่น่าจะทำธุรกิจขาดทุนได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่จะเผชิญกับภัยธรรมชาติ หรือความหายนะที่มนุษย์จงใจสร้างขึ้น!
หลังจากที่นั่งฟังถังเมิ่งมานาน ตี้เสี่ยวอู๋ก็กระซิบกับหลิงหยุนว่า “พี่หยุน.. พี่ไม่เห็นจะต้องให้ถังเมิ่งไปกู้เงินเลย ในบัญชีของแก๊งมังกรเขียวก็มีเงินอยู่กว่าสามร้อยล้าน..”
ถังเมิ่งได้ยินก็ถึงกับกรีดร้องอย่างไม่พอใจ “ไอ้บ้าเอ๊ย..! มีเงินอยู่แล้วตั้งมากมายก็ไม่บอก ปล่อยให้ฉันไปเหนื่อยยากหาวิธีกู้ธนาคาร?!”
“ถ้างั้นก็เอาเงินนั่นมาให้ฉันเร็วเข้า!” ถังเมิ่งยื่นมือออกไปตรงหน้าตี้เสี่ยวอู๋อย่างตื่นเต้น
ถังเมิ่งยังคงโมโหตี้เสี่ยวอู๋เรื่องที่เขาพาคนไปถล่มบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น และตอนนี้ก็กำลังถลึงตาใส่ตี้เสี่ยวอู๋
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถังเมิ่ง.. นายกับตี้เสี่ยวอู๋ช่วยเหลือกันในเรื่องอื่นได้ แต่เรื่องเงินทองต้องแยกกันเด็ดขาด ต่างคนต่างก็ต้องหาของตัวเอง!”
ดำคือดำ ขาวคือขาว เพราะเส้นทางทั้งสองสายล้วนแตกต่างกัน และหลิงหยุนเองก็ต้องการแบ่งแยกทั้งสองอย่างออกจากกันให้ชัดเจน
ถังเมิ่งได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวังและรำพึงรำพัน “พี่หยุน.. อะไรดีๆพี่ก็ให้ตี้เสี่ยวอู๋เอาไปหมดเลย อะไรไม่ดีก็เอามาให้ฉัน..”
ตี้เสี่ยวอู๋ยิ้ม เขามองถังเมิ่งพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้านายคิดว่าตัวเองมีฝีมือแล้วก็ความสามารถ ฉันจะยอมยกแก๊งมังกรเขียวให้นายเป็นผู้ดูแล นายกล้ารับไม๊ล่ะ?”
เมื่อสองวันที่แล้วตี้เสี่ยวอู๋ค่อนข้างยุ่งมากจนไม่มีเวลาที่จะฝึกฝน และทำให้เข้าก้าวหน้าได้ช้า ในใจก็รู้สึกไม่พอใจมาก
ตี้เสี่ยวอู๋เป็นคนที่บ้าฝึกฝน ตอนนี้เขาก็มีทั้งบ้านทั้งรถแล้ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือการพัฒนาความแข่งแกร่งของตัวเอง
หลิงหยุนเป็นผู้เปิดโลกแห่งความมหัศจรรย์นี้ให้กับเขา และเป็นโลกที่เขาเองก็พอใจอย่างมาก ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวจึงค่อนข้างทำให้เขารู้สึกเป็นภาระจนต้องถอนหายใจ
“เชอะ..” ถังเมิ่งร้องออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าเขาไม่กล้ารับแก๊งมังกรเขียวไว้อยู่แล้ว
หลิงหยุนหัวเราะและพูดขึ้นว่า “อ้าว.. ก็นายไม่ชอบการมีเรื่องนี่นา แล้วจะให้ฉันทำยังไง?”