บทที่ 264 สัญญาณแรง
หลินเป่ยเฉินตอบรับโดยไม่ลังเล “ค้นหาได้เลย”
เมื่อเห็นเครื่องหมายกระจายสัญญาณไวฟายปรากฏขึ้นบนหน้าจอ การค้นหาตัวรับสัญญาณที่อยู่รอบข้างก็เริ่มต้นทันที
หลินเป่ยเฉินจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์
จะหาเจอหรือเปล่านะ?
นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัย
แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ผลการค้นหาก็ปรากฏออกมา
“ตรวจพบแหล่งรับสัญญาณ อากวง เฉียนเหมยและเฉียนเจิน…”
นี่คือรายชื่อตัวรับสัญญาณทั้งหมด
เดี๋ยวก่อนนะ
หรือจะเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ
สัญญาณไวฟายในโลกนี้ก็คือสัญญาณคลื่นสมองอย่างนั้นหรือ?
หรือมันจะมีอะไรมากไปกว่านั้น?
เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นคลื่นสมองมนุษย์เสมอไป
เพราะว่าอากวงก็มีรายชื่อปรากฏขึ้นมาเหมือนกัน
ก็เจ้านั่นมันไม่ใช่มนุษย์นี่นา
หรือสัญญาณไวฟายที่ว่า มันจะหมายถึงการเชื่อมต่อกับคลื่นสมองของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้?
ถ้าอย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลยสิ
หลินเป่ยเฉินเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
แต่ว่า…
เดี๋ยวก่อนนะ
ทำไมโทรศัพท์ค้นหาคลื่นสมองของทุกคนในบ้านหลังนี้เจอ แต่กลับไม่พบชื่อของหวังจงล่ะ?
หรือเป็นเพราะว่าหวังจงไม่ได้ซื่อสัตย์กับเขา?
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะบังคับตนเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน และการสอบถามข้อมูลจากเสี่ยวจี้ ที่น่าจะให้คำตอบแก่เขาได้ดีที่สุด
เสียงของเสี่ยวจี้ตอบกลับมาว่า “การจะเชื่อมต่อสัญญาณไวฟายได้นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยเจ้าค่ะ หนึ่งคือบุคคลผู้นั้นต้องอยู่ในระยะทำการของโทรศัพท์ สองคือบุคคลผู้นั้นต้องมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อนายท่าน บัดนี้หวังจงไม่อยู่ในระยะทำการของการรับสัญญาณ ข้าน้อยจึงหาไม่เจอ”
อ๋อ
ที่แท้ก็อยู่ไกลเกินไปนี่เอง
นี่ไม่ต่างกับตอนอยู่บนโลกมนุษย์ ถ้าอยากจะเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านสัญญาณไวฟาย เขาก็ต้องนั่งอยู่ในระยะส่งสัญญาณของเราเตอร์ เพราะถ้าอยู่ไกลมากเกินไป ก็จะรับสัญญาณไม่ได้
แต่เรื่องที่ว่าหวังจงซื่อสัตย์กับเขาหรือเปล่านี่สิ
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งและเห็นรายละเอียดบางอย่างที่เขามองข้ามไป
บนรายชื่อของหญิงรับใช้ทั้งสองนางนั้น ปรากฏขีดสัญญาณขึ้นมาเพียง 2 ขีด
ส่วนเจ้าหนูอากวงที่ต้องมาเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาโดยไม่เต็มใจ กลับมีขีดสัญญาณอยู่ถึง 4 ขีดจากจำนวนเต็มทั้งหมด 5 ขีด
น่าสนใจดีนี่นา
หรือว่าขีดสัญญาณพวกนี้คือตัวแทนความซื่อสัตย์ที่ทุกคนมีต่อเขา?
หรือมันจะหมายถึงความสนิทชิดใกล้ระหว่างเขากับบุคคลที่อยู่ในรายชื่อเหล่านั้น?
สมมุติว่าถ้าเขาเรียกหญิงรับใช้ทั้ง 2 นางเข้ามาจับขึ้นเตียงและจัดการโจ๊ะพรึมพรึม คลื่นสัญญาณของพวกนางจะเต็ม 5 ขีดเลยหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจยังไม่ค้นหาคำตอบ
และเขาก็ยังไม่อยากเชื่อมต่อสัญญาณกับใครโดยพละการ
สุดท้าย เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องนอนลงไปที่ห้องโถงด้านล่าง กวาดสายตามองโดยรอบเมื่อไม่พบเห็นหวังจง ก็เดินไปถามกับหญิงรับใช้ประจำตัวทั้งสองนางว่าเห็นพ่อบ้านชราบ้างหรือไม่ พวกนางได้แต่ส่ายศีรษะ เป็นคำตอบว่าไม่พบเห็นหวังจงเช่นกัน
จังหวะนั้น อากวงเดินถือกระดานชนวนที่มีข้อความเขียนอยู่บนนั้นเข้ามาส่งให้เขา
“หวังจงเข้าไปทำธุระในเมืองขอรับ” นั่นคือข้อความที่เขียนไว้
ราชันย์หนูอสูรผู้นี้มีความสามารถอยู่ในระดับที่อ่านออกเขียนได้แล้วหรือนี่
หลังจากหายตกตะลึงกับความสามารถของอากวง เขาถึงนึกออกว่าทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบของเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน พวกนางคอยตรวจการบ้านอากวงทุกคืนและสอนหนังสือมันไม่ได้ขาดสักวันเดียว
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใช้มือตบหัวเจ้าหนูอสูรหนึ่งที แล้วพูดว่า “ดึกดื่นป่านนี้ ตาแก่นั่นเข้าไปทำอะไรในเมือง?”
อากวงส่งเสียงครางในลำคอเหมือนแมวน้อย ก่อนจะเริ่มเขียนข้อความบนกระดานอีกครั้งว่า “เข้าไปรับข้อมูลสำคัญขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าเจ้าหนูอสูรกำลังพูดถึงองค์กรสืบข่าวที่หวังจงใช้เงินจ้างกลุ่มอันธพาลให้คอยสืบข่าวทุกอย่างเกี่ยวข้องกับเขา ตอนแรกเด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่าองค์กรเหล่านี้จะได้เรื่องได้ราวอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิดเสียแล้ว
ว่าแต่ข้อมูลสำคัญที่ทำให้หวังจงต้องเดินทางเข้าเมืองดึกดื่นขนาดนี้ จะเป็นเรื่องอะไรกันนะ?
หลังจากได้เห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของหลี่สงฟู่ในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งมากับตา คืนนี้ หลินเป่ยเฉินก็คาดการณ์ว่าจะต้องมีข่าวใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ
เพียงคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก
ปรากฏว่าเป็นหวังจงกำลังแอบกลับเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ
“เจ้าสุนัขเฒ่า ดึกดื่นแบบนี้แอบออกไปไหนมาอีก?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปยิงคำถามทันที
เมื่อหวังจงเห็นหน้าผู้เป็นนายน้อย ก็รีบเดินเข้ามายิ้มแย้มประจบประแจง เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็หยุดชะงักกะทันหันเมื่อเห็นว่าหญิงรับใช้ทั้ง 2 นางยืนอยู่ในห้องนั้นด้วย สุดท้ายชายชราก็ต้องไล่เฉียนเหมยกับเฉียนเจินให้ออกไปก่อน เขาถึงจะรายงานได้ว่า “นายน้อยขอรับ กงกงติดต่อมาว่ามีเรื่องเร่งด่วน เขาว่าในเมืองเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว นายน้อยเดาสิขอรับว่ามันคือเรื่องใด?”
หลินเป่ยเฉินไม่มีอารมณ์มาเล่นเกมทายปริศนา จึงชักสีหน้าตอบกลับไปว่า “มีอะไรก็รีบพูดมาเร็วๆ เข้า”
“ได้ขอรับ ได้ขอรับ” หวังจงรีบก้มหน้าต่ำและรายงานต่อไม่รอช้า “กงกงว่าเมื่อคืนนั้นที่เกิดเหตุปะทะคารมกันในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง ใต้เท้าฟางเจิ้นหรู่ ผู้เป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑล ถูกลอบสังหารระหว่างเดินทางกลับออกจากเมืองหยุนเมิ่ง ขณะนี้มีคนพบศพของเขาอยู่บริเวณชายแดนเมืองของเราขอรับ”
เฮ้ย
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
คนที่มีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลเฟิงอวี่เนี่ยนะ จะถูกฆ่าตายระหว่างเดินทางกลับ?
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน…
แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว
อย่าว่าแต่ผู้คนในเมืองนี้จะตกใจเลย หลินเป่ยเฉินแน่ใจว่าเหตุการณ์นี้มีความรุนแรงมากพอที่ผู้คนทั้งจักรวรรดิจะตื่นตระหนกด้วยซ้ำ
เพราะการเสียชีวิตของผู้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงศึกษา นับเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่มาก
ฟางเจิ้นหรู่มาเสียชีวิตอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง ทั้งผู้ว่าการประจำเมืองและหัวหน้าหน่วยนักรบเมฆาต่างก็ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้เด็ดขาด มิน่าเล่า หลี่สงฟู่ถึงได้รีบร้อนเดินทางไปยังจวนผู้ว่าขนาดนั้น
“ใครเป็นคนทำ?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
หวังจงได้แต่ส่ายหน้า ตอบว่า “ข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ แต่หน่วยนักรบเมฆาได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้แล้ว สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดพอสมควร ข่าวที่กงกงได้รับมาบอกว่าบัดนี้นักพรตหญิงชินเดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อทำการตรวจสอบศพผู้ตาย และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกสาวกปีศาจที่มาจากนอกเมืองด้วยขอรับ”
พวกสาวกปีศาจอีกแล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินนึกถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อเซินเฟยขึ้นมาทันที
หรือว่าเจ้าหมอนั่นจะกลับมาแล้ว?
ไม่น่าใช่
ต่อให้เซินเฟยในร่างปีศาจจะมีระดับพลังสูงขึ้น แต่เขาก็คงไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถสังหารผู้มีพลังยุทธ์ระดับยอดปรมาจารย์ได้เด็ดขาด
ที่สำคัญก็คือ ฟางเจิ้นหรู่นอกจากมีสถานะทางสังคมสูงส่งแล้ว ระดับพลังของเขาก็ไม่ต่ำต้อย เมื่อผนวกเข้ากับองครักษ์ที่อยู่ข้างกาย เซินเฟยยิ่งไม่มีทางลงมือก่อเหตุได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่ได้สนใจอีก
เขาหมุนตัวเดินกลับขึ้นห้องนอนและสำรวจดูโทรศัพท์อีกครั้ง
เมื่อกดค้นหาแหล่งรับสัญญาณไวฟาย เขาก็พบว่ามีชื่อของหวังจงปรากฏขึ้นมาแล้ว และที่โล่งใจหน่อยก็ตรงที่ชายชรามีขีดสัญญาณขึ้นเต็ม 5 ขีด
แต่ปัญหาใหม่ก็มาเยือน
ปรากฏว่าการเชื่อมต่อสัญญาณกับหวังจงจำเป็นต้องใช้รหัสผ่าน
แล้วรหัสผ่านคืออะไร?
หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ต่อให้เขาเดินลงไปถามหวังจงในตอนนี้ พ่อบ้านชราก็ต้องไม่รู้คำตอบอยู่แล้วว่ารหัสผ่านคืออะไร
ยิ่งไปกว่านั้น หวังจงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ แล้วเขาจะไปรู้รหัสผ่านได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากหวังจง มาเป็นเจ้าหนูอากวงแทน
เมื่อราชันย์หนูอสูรวิ่งเข้ามาในห้องนอนตามคำสั่งของเขา มันก็มาพร้อมกับกระดานชนวนด้วยท่าทางเหมือนเด็กนักเรียนที่พร้อมจะส่งการบ้านอยู่ตลอดเวลา
หลินเป่ยเฉินกดโทรศัพท์เชื่อมต่อสัญญาณไวฟายเข้ากับอากวง
ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ขึ้นเครื่องหมายว่าการเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์ พลัน ร่างกายของเจ้าหนูก็ระเบิดแสงสว่างออกมารอบทิศทาง
บัดนี้ อากวงโยนกระดานชนวนในมือทิ้งไป มันกำลังก้มหน้ามองกรงเล็บตนเองด้วยความประหลาดใจ เจ้าหนูส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจอยู่หลายครั้ง ตัวของมันรู้สึกสดชื่น …เหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายแวววาว
อากวงมีพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นหรือ?
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวของมันก็ดูจะหนาแน่นอยู่ไม่น้อย
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เด็กหนุ่มถามออกไป
อากวงพยายามระงับความตื่นเต้น ก้มลงหยิบกระดานขึ้นมาเขียนข้อความว่า “รู้สึกมีพละกำลังมหาศาลจนสามารถต่อยภูผาถล่มได้เลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “งั้นเจ้าลองเข้ามาต่อยข้าหน่อย”
อากวงลังเลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินพยักหน้าอนุญาต ในที่สุดมันก็วิ่งเข้ามากระแทกหมัดใส่เขา
หมัดของราชันย์หนูอสูรพุ่งแหวกอากาศเข้ามา
รุนแรงมากกว่าที่ควรจะเป็น
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นรับหมัดของอากวงเอาไว้
ครืน!
บรรดาข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในห้องนอนพลันลอยขึ้นไปในอากาศ