ตอนที่ 51-3 รับใช้ข้างสระอาบน้ำ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

หลังผ่านพ้นพริบตาหนึ่งที่เงียบสงัดที่สุด ทุกคนในห้องฝืนใจกลับสู่ปกติ

 

 

“สตรีนี้แปลกประหลาด ส่งคนไปสืบ” เจ้ายุทธจักรเกือบทุกคนออกคำสั่งเช่นนี้กับลูกน้อง

 

 

“ขอรับ”

 

 

หัวหน้ากลุ่มอวี้ไต้ที่มีรูปร่างเพรียวบางเดินมาหาเหลยเซิงอวี่ ในแววตาเผยยิ้มรำไร

 

 

เหล่าเจ้ายุทธจักรมองเหลยเซิงอวี่อย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง

 

 

“ทำได้ไม่เลว” หยางจยาหัวหน้ากลุ่มอวี้ไต้ตบไหล่เหลยเซิงอวี่ “เจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าต้องการ”

 

 

เหลยเซิงอวี่โค้งคำนับอย่างถ่อมตน กลางแววตาไม่มีความไม่สบายใจที่ทรยศสักเสี้ยว

 

 

เขาต้องการอะไร? เขาย่อมต้องการตำแหน่งประมุขแห่งหอเงา อีกทั้งตำแหน่งว่าที่เจ้ายุทธจักร

 

 

ท่านมู่เป็นผู้ก่อตั้งหอเงา ทว่าหลายปีมานี้เป็นเขากับเซียนอวี๋ชิ่งที่ลงเรี่ยวลงแรงขยายกำลัง ท่านมู่ไม่อยู่ที่ไต้เม่าหลายปี ปรากฏกายน้อยจนนับครั้งได้ แม้จัดการเรื่องราวในไต้เม่าทางไกลเสมอ แต่ทั่วทั้งหอเงายอมรับเพียงเขากับเซียนอวี๋ชิ่ง

 

 

เดิมทีเขาก็เคยชินกับรูปแบบเช่นนี้ เป็นรองคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่นที่หอเงา เอ่ยได้ว่าเขาถึงเป็นประมุขที่แท้จริง…เซียนอวี๋ชิ่งเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่สนใจในอำนาจกับการบริหาร ซ้ำยังออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง จิตใจอยู่กับท่านมู่ เขาเป็นผู้ตัดสินใจทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในหอ

 

 

ทว่าท่านมู่กลับมาแล้ว

 

 

เล่ากันว่าจะรับช่วงต่อทั้งหมด ตั้งถิ่นฐานที่ไต้เม่าแล้ว

 

 

เช่นนั้นเขาจะเหลืออะไร?

 

 

กิจการพื้นฐานที่เขาสร้างขึ้นอย่างยากเย็น ก็ลำบากทำแทนผู้อื่นเช่นนี้น่ะหรือ?

 

 

จะให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้

 

 

ด้วยความโกรธแค้น เขาขายความลับสำคัญบางส่วนของหอเงาให้ลูกค้าลึกลับผู้หนึ่ง รวมทั้งการกระจายกำลัง วาจาลับสัญญาณลับ การจัดวางกำลังคน โครงสร้างและองค์ประกอบ เขาขายสิ่งที่มีความสำคัญต่อพรรคหนึ่งเหล่านี้ออกไปด้วยราคาสูง

 

 

เขาไม่รู้ว่าผู้ซื้อคือผู้ใด คิดว่าเป็นผู้อาวุโสสักคนที่นี่ แต่เขาก็ไม่สนใจสืบข่าว อยู่ในยุทธภพย่อมรู้กฎเกณฑ์ยุทธภพดี ไม่ถามมากไม่ฟังมากไม่เอ่ยมาก รักษาชีวิตสำคัญกว่า

 

 

ไม่ว่าอย่างไร ขายความลับเหล่านี้ได้เงินก้อนใหญ่ก็เท่ากับปูทางถอยให้ตนเอง มีเงินก้อนนี้แล้ว เขารุกได้รับได้

 

 

เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะซื้อความลับสำคัญขนาดนี้ไปแล้ว ทว่าไม่ได้ลงมือจัดการหอเงาโดยพลัน หอเงายังตระหง่านมั่นคง ส่วนท่านมู่จะกลับมาแล้ว

 

 

พอเขากลับมาก็จะค้นพบเรื่องที่เขาขายความลับของหอเงาออกไปใช่หรือไม่? เขาตื่นตระหนกยิ่งนัก แม้เขาติดต่อกับท่านมู่ผู้นี้โดยตรงน้อยครั้ง แต่ผู้ที่ลงหลักปักฐานที่สถานที่เช่นนี้ได้ ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่

 

 

จะชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ หรือว่าหาทางแก้ไข?

 

 

เขายังไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน เหล่าเจ้ายุทธจักรก็มาหาเขาเอง เมื่อครู่หลังจากที่เกิดเรื่องในงานเลี้ยง ท่านมู่ก็ตกลงแช่น้ำร้อน คนที่เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนักเหล่านี้ก็กึ่งคุกคามกึ่งหลอกล่อให้เขาลงมือสังหารท่านมู่

 

 

ท่านมู่พาเขามาด้วยคนเดียว เขาคือคนไว้ใจเพียงคนเดียวที่ได้เข้าไปในหอ เขาลงมือถึงเป็นไปได้ที่สุด

 

 

มาได้จังหวะพอดี เขาไม่ได้ลังเลเท่าไรก็รับปากแล้ว เขาใกล้ไร้ทางหนีทีไล่ กำลังต้องการที่พึ่ง

 

 

เพียงแต่…

 

 

เขาคิดว่าเมื่อครู่ท่านมู่อาจยังไม่สิ้นชีพ ซ้ำสตรีที่ช่วยเขายังอัศจรรย์เช่นนี้ ในใจอดจะปกคลุมด้วยเงามืดมัวสลัวไม่ได้

 

 

ฝั่งตรงข้าม หยางจยาคล้ายเห็นความไม่สบายใจของเขา มุมปากแสยะเล็กน้อย ยิ้มอย่างชั่วร้าย

 

 

“ท่านมู่หนีไปแล้ว” เขาเอ่ยออกมาว่า “เจ้าเป็นผู้ลงมือ ถอนหญ้าไม่ถอนราก ลมวสันต์พัดมาหญ้างอกงาม เจ้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร แน่นอน พวกเราก็จะแอบช่วยเจ้าด้วย”

 

 

เขาได้แต่ขอบคุณ มองเหล่าผู้อาวุโสที่คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มพวกนี้ปราดหนึ่ง ในใจก็มีความดูหมิ่นพุ่งขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เอ่ยว่าคุณธรรมยุทธภพอะไรกัน เอ่ยว่าแยกแยะบุญคุณความแค้นอะไรกัน ผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า คนไม่ต่างจากสุนัข จะว่าไปแล้วเพียงด้วยเพราะก่อนหน้านี้ทุกคนรับไมตรีจากท่านมู่ กลัวว่าต่อไปจะถูกเขาทวงบุญคุณจึงชิงลงมือก่อนเสียเลย สังหารคนในเขตของตน เสร็จแล้วโยนความผิดไปให้มือสังหาร ไม่มีผู้ใดรู้เห็น นับแต่นี้ไม่ต้องรับไมตรีจากท่านมู่ ไม่ต้องส่งของขวัญขอบคุณ ซ้ำยังได้แบ่งหอเงา ดีเพียงใด

 

 

ส่วนคุณธรรมน้ำมิตรอะไร…อยู่ในบึงโคลนเฮยสุ่ยแห่งนี้ที่ไต้เม่านานเข้า ยุทธภพไม่ใช่ยุทธภพที่ใสสะอาดแล้ว นักเลงชั้นล่างอาจยังใส่ใจคุณธรรมยุทธภพสักสามส่วน พอถึงผู้อาวุโสเหล่านี้ สิ่งที่เชิดชูคือการไม่เลือกวิธีการ สิ่งที่เชี่ยวชาญคือการพลิกลิ้นเ**้ยมโหด

 

 

เขาไม่ค่อยสบายใจ คบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้ จะมีจุดจบที่ดีได้เท่าใด?

 

 

ทว่ายามนี้ก็ได้แต่ก้าวต่อไป ท่านมู่ไม่สิ้นชีพ เดี๋ยวเขาก็จะสิ้นชีพอย่างน่าเวทนา

 

 

เขาหันหลัง ก่อนจะรีบพุ่งไปนอกประตู บอกเหล่าองครักษ์ที่รออยู่ข้างนอกว่า “ท่านถูกลอบสังหาร ถูกมือสังหารจับตัวไป! รีบเรียกรวมลูกน้องทั้งหมด ไล่ฆ่ามือสังหาร!”

 

 

 

 

ตรอกน้อยที่ยาวนานและเปล่าเปลี่ยวในคืนฝนตก แสงไฟที่ไกลออกไปสาดส่องบนพื้นเกิดแสงแวววาว แมวป่าบนสันกำแพงกระโจนไปมาอย่างว่องไว แข่งความเร็วกับเงาหนึ่งเสมอ ทว่าพ่ายแพ้เรื่อยไป

 

 

เงานั้นย่อมเป็นจิ่งเหิงปัว

 

 

นางพาท่านมู่หายตัวออกจากหออวี้โหลว แต่ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

ส่งเขากลับฐานที่มั่นของเขา? นางก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

 

 

โยนเขาทิ้ง? นั่นก็เป็นความคิดที่ดี แต่พอจะทำขึ้นมาจริงๆ เหมือนจะทำไม่ได้

 

 

พาไปด้วย? ตัวนางเองยังต้องปกปิดฐานะ จะพาคนไปด้วยได้อย่างไร? คนผู้นี้ยังมีฐานะแบบนี้ด้วย ไม่นานก็จะถูกพบเจอ

 

 

นางก้มหน้าลงเห็นคนนั้นสลบไสลอยู่ในอ้อมแขน หน้ากากเงินเฉอะแฉะ

 

 

คนนี้ ตกลงว่าใช่หรือไม่นะ…

 

 

นางถอดหน้ากากเงินออกอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

ภายใต้หน้ากากคือใบหน้าที่เยาว์วัยหล่อเหลา สีหน้าซีดเล็กน้อย ดูท่าทางไม่มีความพิเศษใดๆ

 

 

นางสำรวจหลังคอของเขาโดยละเอียด ก็มองไม่เห็นรอยต่อใดๆ

 

 

นางคิดอยู่ชั่วครู่ เล่ากันว่าช่วยคนครึ่งเดียวก็เหมือนขึ้นเตียงครึ่งเดียว โคตรเฮงซวยทั้งนั้น พากลับไปก่อนดีกว่า

 

 

เมื่อกลับถึงลานบ้านแห่งนั้นก็ยังคงไม่มีคน นางรู้ว่าในกลุ่มนี้มีคนพรรคเลี่ยหั่ว มีคนสำนักหลัวซา มีคนกลุ่มเยี่ยนปัง หัวหน้าคนนั้นเป็นคนสำนักหลัวซา ตอนนี้หลัวซาเกิดเรื่อง สำนักหลัวซาคงต้องวุ่นวาย คนพวกนี้อาจปลีกตัวไม่ได้ชั่วคราว นางช่วยคนได้สะดวกพอดี

 

 

สองคนที่เฝ้าหน้าห้องนางหลับไปแล้ว นางพาคนเข้าไปไร้คนสังเกตเห็น

 

 

จิ่งเหิงปัววางท่านมู่ไว้บนเตียง พินิจใบหน้ายามนอนหลับของเขาเงียบๆ นางใช้ปราณแท้รักษาไม่เป็น ซ้ำยังไม่มียารักษาช้ำในติดตัว ได้แต่รอให้เขาฟื้นขึ้นมาเอง

 

 

นางนั่งลงข้างเตียง จิตใจค่อนข้างสับสน กล่าวอย่างจริงจังออกมา ท่านมู่นับเป็นศัตรูของนาง เดิมทีก็ควรมีเขาอยู่ในเป้าหมายที่นางต้องลงโทษ ใครจะรู้ว่าสุดท้ายสถานการณ์พลิกผัน ได้ช่วยเขาไว้

 

 

ใบหน้านั้นหล่อเหลาใต้แสงสลัว แต่มองไปมองมาก็รู้สึกแปลกๆ นางนึกขึ้นได้…ถ้านี่ยังเป็นหน้ากากอีกล่ะ?

 

 

คิดแล้วก็ลงมือ นางปลดคอเสื้อของเขาทันที คอเสื้อกลัดไว้ไม่แน่น กระดุมไม่กระชับ ไม่รู้ทำไม นางก็นึกถึงปกคอตั้งที่กลัดแน่นกับไข่มุกสีทองอ่อนขึ้นมา

 

 

นี่ทำให้นางว้าวุ่นใจอยู่บ้าง นางไม่สะดวกจุดไฟจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มองหลังคอกับหลังหูของเขาโดยละเอียด ถ้าสวมหน้ากาก หลังคอกับหลังหูอาจมีรอยต่อได้

 

 

แสงสลัว นางก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้ว แทบจะแนบหน้าบนหน้าอกของเขา

 

 

หลังหูเขาขาวบริสุทธิ์ เผยให้เห็นสีเขียวของผิวกาย ไม่มีรอยต่อ นางเงยหน้าขึ้นอย่างผิดหวังเล็กน้อย ริมฝีปากเฉียดผ่านข้างหูเขา

 

 

นางยื่นหน้ามองหลังคอของเขา ไม่ได้สังเกตว่าชั่วครู่นั้นติ่งหูของเขาก็เริ่มแดงซ่านดั่งพริกฝรั่ง

 

 

หน้าอกของเขาย่อมมีกล้ามเนื้อชัดเจน เกลี้ยงเกลาอิ่มเอิบปานหินอ่อน แต่นางรู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ จึงอดจะเอื้อมมือไปขยี้ไม่ได้

 

 

นางขยี้บนหน้าอกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า…

 

 

ยกมือขึ้น ปลายนิ้วเป็นสีขาว นางร้องฮ่า ก่อนจะแทบหลุดหัวเราะ

 

 

เจ้าคนนี้ทาแป้งที่หน้าอกด้วย!

 

 

กลัวขาวไม่พอเหรอไง?

 

 

แต่ทาแป้งนี้แล้วก็แทบมองไม่เห็นรอยต่อนั้นที่หลังคอเลย…ยังเป็นหน้ากากจริงด้วย!

 

 

ภายใต้หน้ากากยังมีหน้ากาก แรงบันดาลใจที่นางได้มาจากการอ่านนิยายกำลังภายในสมัยใหม่ โครงเรื่องดั้งเดิมในนิยายของโกวเล้ง

 

 

นางแกะหน้ากากชั้นนั้นออกอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นแรงกะทันหัน

 

 

คราวนี้ใบหน้าใต้หน้ากากจะเป็นอย่างไร?

 

 

เหลือแค่มุมเดียวที่ยังไม่ได้แกะ หัวใจของนางก็เต้นจนแทบทะลักออกจากคอหอยแล้ว นางพลันหยุดนิ่งเสียเลย สูดหายใจเฮือกแล้วร้องด่าว่า “บ้าบอคอแตก!” ก่อนแกะออกทันที

 

 

ใบหน้างดงามหล่อเหลาใต้แสงสลัว

 

 

สดใสดั่งดอกมะเดื่ออุทุมพรที่พลันผลิบานในคืนฝนตก

 

 

มุมปากเป็นรอยยิ้มเขินอายโดยกำเนิด ยั่วยวนอย่างลึกลับและบริสุทธิ์ดั่งดอกมะเดื่ออุทุมพร

 

 

ใบหน้าที่เจริญตาเพียงนี้ จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกว่าตรงหน้าหม่นหมอง

 

 

หัวใจกลับสู่ตำแหน่งเดิมดังตึก

 

 

ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจแบบนั้นกลับมาอีกแล้ว

 

 

ตั้งแต่นางออกจากตี้เกอ ความรู้สึกบ้าบอนี่ก็ไม่ยอมจางหาย ก่อกวนนางจนกระทั่งบัดนี้

 

 

จิ่งเหิงปัวร้องไห้แล้วหัวเราะออกมา รู้สึกว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

 

 

นางอาจจะเสียสติไปตั้งนานแล้ว แต่เสียสติอย่างไม่ออกอาการ ทุกคนแค่มองไม่ออกเท่านั้น

 

 

นางเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนยกมือตบตัวเองดังเพียะ แล้วถอนหายใจออกมา

 

 

“แม่งเอ๊ย! ฉันรักมากขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าเกลียดมากขนาดนั้นกันแน่?” เสียงพึมพำกับตัวเองลอยออกมา นางตบตัวเองอีกครั้ง

 

 

ห้ามคิด ห้ามคิด นางยังต้องเดินทางอีกไกล นางยังต้องเป็นราชินีแห่งบึงโคลนเฮยสุ่ย ต้องชิงตี้เกอคืนมา ต้องเป็นราชินีแห่งต้าฮวง แม้นางจะเป็นบ้าแต่ก็ต้องรอให้ยั่วโมโหคนที่สมควรตายให้ตายแล้วค่อยเป็นบ้า ตอนนี้จะถูกอารมณ์ไร้ค่ารั้งไว้จนกระทบต่อการตัดสินใจไม่ได้

 

 

นางไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ตอนนี้นางแบกรับความหวังกับอนาคตของคนอีกหลายคน

 

 

จิ่งเหิงปัวเหม่อลอยอยู่นานถึงหันหลังอย่างเซ็งๆ เตรียมจัดเสื้อผ้าของท่านมู่ให้เรียบร้อย เขาฟื้นแล้วจะได้ไม่นึกว่าตนเองถูกข่มขืน

 

 

ตอนที่ช่วยเขากลัดคอเสื้อนั้น ไม่รู้ทำไมนางก็หมอบอยู่ตรงหลังคอเขา ขยี้ครั้งแล้วครั้งเล่า…ขยี้อยู่นานก็ไม่เห็นรอยต่อโผล่ออกมา ได้แต่เลิกขยี้ ก่อนที่จะอดตบตัวเองอีกครั้งไม่ได้ ร้องด่าว่านิสัยเสียแก้ไม่หาย

 

 

มีที่ไหนสวมหน้ากากสามชั้น อึดอัดตายเลย

 

 

ท่านมู่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา จิ่งเหิงปัวก็คร้านที่จะสนใจเขา นางยิ้มเยาะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก

 

 

นางหยิบห่อเสื้อผ้าที่ผูกไว้ตรงเอว เปลี่ยนเป็นกระโปรงขาวผ้าไหมม่วงนั้นที่เอากลับมาก่อนหน้านี้

 

 

นี่เป็นห้องธรรมดาของลานน้อยแน่นอนว่าย่อมไม่มีห้องกั้นอะไร นางหลบหลังม่านเตียงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

เมื่อถอดเสื้อผ้าของเด็กรับใช้ออก ข้างในก็เป็นชุดชั้นในที่นางให้จื่อหรุ่ยช่วยตัดเย็บให้ กระชับแนบเนื้อ ไม่หลวมโพรกเหมือนชุดชั้นในของต้าฮวง ห้องเล็กแสงสลัว วาดเค้าโครงโค้งเว้าของเรือนร่างนาง

 

 

ใครบางคนแอบลืมตาขึ้น จ้องมองเงาด้านหลังของนาง เสื้อคลุมที่กว้างใหญ่ร่วงหล่นจากปลายนิ้วนาง เอวของนางเพรียวบางแต่ไม่บอบบางดั่งหลิว ทรวดทรงเต็มไปด้วยความกระชับและยืดหยุ่นที่ผ่านการฝึกฝนอย่างยาวนาน เมื่อสายตาทอดลงไปก็คล้ายจะถูกดีดออกมาอย่างแรง

 

 

แววตาของเขาสั่นไหวหลายระลอก สำรวมไว้อย่างดียิ่ง

 

 

อย่าได้อาลัยอาวรณ์ถึงเรื่องดีๆ มิฉะนั้นจะเสียเรื่อง

 

 

จิ่งเหิงปัวสวมเสื้อผ้า รู้สึกอยู่เสมอว่าข้างหลังมีคนแอบมอง แต่พอเหลียวหลังอย่างกะทันหัน ก็เห็นท่านมู่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

 

 

นางยักไหล่แล้วสวมต่อไป ตอนที่ผูกกระโปรงก็เหลียวหลังอย่างกะทันหันอีกครั้ง

 

 

ข้างหลังยังเงียบสงัด

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตัวเองคงกลายเป็นคนโรคจิตเข้าจริงๆ แล้ว

 

 

นางสวมเสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็ว ใช้ผ้าห่มคลุมร่างท่านมู่ยันศีรษะ ก่อนจะพุ่งออกไปทางหน้าต่าง

 

 

บนเตียงนั้นเงียบสงัด ผ้าห่มคลุมไว้ทั้งศีรษะ

 

 

ชั่วครู่ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาทับชายผ้าห่มไว้อย่างแผ่วเบา

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวสวมกระโปรงที่งดงามคล้ายราชินีตัวนั้น วิ่งไปทางห้องของลี่หันอวี่

 

 

ลี่หันอวี่ยังไม่นอน แสงไฟยังส่องสว่างไสว วันนี้เขาโดนตบจนหน้าตาฟกช้ำ ย่อมเจ็บจนนอนไม่หลับ

 

 

จิ่งเหิงปัวปล่อยมวยผมออกมาแล้ว ตอนนี้จึงปล่อยสยายเสียเลย ขับให้กระโปรงขาวราวหิมะสง่างามดั่งเซียน มีเสน่ห์แตกต่างจากก่อนหน้านี้

 

 

เงาด้านหลังของนางในความมืดยามราตรีดั่งเทพธิดาฉางเอ๋อจุติจากฟ้า ร่วงบนลูกกรงหน้าต่างของลี่หันอวี่

 

 

ลี่หันอวี่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ใช้แท่งไม้จุ่มกอเอี๊ยะในขวดทาทั่วหน้า เขาใช้หน้าตาหากิน ไม่กล้าสะเพร่าแม้แต่น้อย

 

 

เขาพลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ หอมกรุ่นแต่ไม่ฉุนจมูก สูงส่งสะพรั่ง ชวนให้นึกถึงโบตั๋นที่ผลิบานยามคิมหันต์

 

 

ขณะเดียวกันหางตาเขาก็เหลือบไปเห็นชายผ้าไหมขาวราวหิมะ ปักดอกกระจับเล็กๆ น้อยๆ ร่ายรำแช่มช้อยในสายลมค่ำคืน

 

 

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น พลันรู้สึกหายใจไม่ออก

 

 

สตรีสวมกระโปรงขาวผ้าไหมม่วงนั่งอยู่ตรงหน้าต่างไม่รู้ตั้งแต่ยามใด กำลังก้มหน้ามองเขาเล็กน้อย ไกลออกไปโคมไฟส่องแสงสลัว ดวงหน้าที่ย้อนแสงของนางคล้ายเกิดแสงรุ่งโรจน์ขึ้นเอง

 

 

พริบตาหนึ่งนั้น เขารู้สึกว่าถูกเทพธิดาก้มมอง เคลิบเคลิ้มในนัยน์ตาคู่นั้นของอีกฝ่ายที่เยือกเย็นดั่งน้ำทะเล สว่างไสวดั่งทะเลสาบบริสุทธิ์ ทว่างดงามดั่งแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ

 

 

จนกระทั่งนางเคาะลูกกรงหน้าต่าง เขาถึงได้สติขึ้นมา อ้าปากเล็กน้อย พลันเกลียดหน้าตาที่ไม่เหลือเค้าเดิมของตน

 

 

บนใบหน้าเทพธิดาไม่มีเจตนาร้าย มีความแปลกใจกับความสงสัยรำไร

 

 

ในใจเขากระตุกวูบ ลมหายใจอดจะถี่กระชั้นเล็กน้อยไม่ได้

 

 

จิ่งเหิงปัวนั่งข้างหน้าต่าง สังเกตการเปลี่ยนสีหน้าของลี่หันอวี่ ในใจหัวเราะเยาะ

 

 

นางยิ้มพราวเคาะหน้าต่าง เท้าศอกแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เอ๊ะ เหตุใดหน้าเจ้าถึงเป็นเช่นนี้?”

 

 

ลี่หันอวี่ฟังน้ำเสียงสนิทสนมของนางแล้วชะงักงัน “…แม่นาง…เจ้ารู้จักข้า?”

 

 

“ไม่รู้จัก” นางโบกมือ

 

 

ลี่หันอวี่มีสีหน้าผิดหวัง

 

 

“เพียงแต่เจ้าหน้าตาคล้าย…สหายเก่าผู้หนึ่งของข้ายิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวเผยสีหน้าโศกเศร้า “ยามบ่ายข้าเห็นเจ้า สนใจเจ้าเข้าแล้ว เพียงแต่ยามราตรีเจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

 

ลี่หันอวี่ชะงักอีกครั้ง คิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนอุทานว่า “เจ้าคือ…รา…”

 

 

เขาอุทานได้ครึ่งเดียวแล้วรีบหุบปากลงคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ ทว่าบนใบหน้ามีสีหน้าดีใจ ภูมิใจจนปิดไม่มิด

 

 

ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกหรอไม่พบพาน ยามได้มาไม่เสียเวลาเลยด้วยซ้ำ

 

 

นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้ากวนจยาชวนก็เจอราชินีแล้ว ราชินีสังเกตเห็นเขาจริงๆ ซ้ำยังแอบตามมาพบเขากลางดึก

 

 

เช่นนี้เห็นได้ชัดไม่ใช่หรือว่าเจ้าสำนักหลัวซาคาดเดาได้ถูกต้อง ราชินีมีความรู้สึกต่อผู้ที่มีหน้าตาเช่นนี้?

 

 

เช่นนั้นเขาก็มีโอกาสยิ่งนักไม่ใช่หรือ?

 

 

พอคิดว่าตนเองได้รับความสนใจจากราชินีเร็วขนาดนี้แล้ว ในใจเขาเกิดความลำพองใจเล็กน้อย นึกถึงท่าทางเลวร้ายที่คนเหล่านั้นมีให้เขาก่อนหน้านี้ หากคนเหล่านั้นรู้ว่าเขาได้รับความโปรดปรานจากราชินี ยังจะกล้าทำท่าทางเช่นนั้นใส่เขาหรือไม่?

 

 

แน่นอน เขาคิดว่าเขาจะไม่บอก เขาจะไม่เปิดโปงฐานะของราชินีเช่นกัน เขาจะปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน ชดเชยให้นาง ได้หัวใจของนาง

 

 

นางเป็นราชินี ซ้ำยังงดงามเช่นนี้ คู่ควรให้เขาใช้ความคิด

 

 

“แม่นางอาภรณ์บางเบา หนาวหรือไม่” เขาเงยหน้าขึ้น ลอกเลียนรอยยิ้มเยือกเย็นและสูงส่ง เสียดายว่าหน้าตาฟกช้ำ กระทบต่อความหล่อยิ่งนัก

 

 

จิ่งเหิงปัวอดกลั้นความอยากอาเจียน โน้มตัวลงเล็กน้อย นิ้วมือเชิดคางเขาขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าจะยอมเปลื้องอาภรณ์ไล่ความหนาวให้ข้าหรือไม่?”

 

 

ตอนที่กล่าวแบบนี้ นางรู้สึกทันทีว่าข้างหลังเย็นวาบ