บทที่ 287 – การเตรียมการ (8)
สภาพของอึนยูริดูแย่กว่าที่เขาคิดไว้ ผมของเธอยุ่งไปจนหมดเพราะลมที่พัดใส่อย่างรุนแรง และสายตาของเธอก็เปิดมองฟ้าด้วยความสับสนอยู่ด้วย
“อึก.. อึก”
ยิ่งดูจากน้ำลายที่ไหลออกจากปากเธอ เธอเหมือนกับใกล้จะเป็นลมไปแล้ว
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกในพาราไดซ์ของเธอ แต่ว่าเธอก็ยังไม่เคยก้าวออกไปจากเขตพื้นที่เป็นกลางเลย การที่ต้องมาเจอกับการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่เหมือนกับสายฟ้าแบบนี้มันจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะมีสภาพแบบนี้
“อึก อ่า”
แต่ยังไงก็ตามอึนยูริก็ยังประคองสติเอาไว้ได้ และค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยมือที่สั่นเทา
…
[ผู้ส่ง: นิรนาม]
หน้าผาชายฝั่ง (สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามหน้าที่ 30)
ระหว่างกำลังค้นหาทั่วภูเขาเพื่อหาวิธีจัดการกับฆาตกร ได้มีหนึ่งในพรรคพวกของเราหายตัวไป ไม่ว่าจะหายังไงก็หาตัวเขาไม่เจอเลย
ในที่สุดแล้วพวกเราก็เจอเข้ากับร่องรอยของพรรคพวกที่หายตัวไป หลังจากที่ค้นหามาครึ่งวัน เราได้เจอเข้ากับรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงหน้าถ้ำบนหน้าผา รองเท้าคู่นี้เป็นของคนที่หายตัวไป
แต่ถ้ำนี่มันอะไรกัน? ทำไมถึงได้มีคราบเลือดอยู่เต็มไปหมดเลยล่ะ?
แปลกแล้วสิ ที่นี่ต่างก็เต็มไปด้วยความมืด ความเย็น และความรู้สึกแย่ที่อธิบายออกมาไม่ได้
ฉันคิดว่าคนอื่นๆก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน ทำให้พวกเขาต่างก็ดูจะไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในถ้ำนั่น
ในตอนแรกคนที่แนะนำให้เราจับตัวฆาตกรแทนที่จะฆ่าพวกมันได้ชักชวนให้พวกเรารีบทำการสำรวจต่อ แต่ว่าหลังจากที่คุยกันแล้ว คนที่เหลือต่างก็ล้มเลิกการสำรวจถ้ำนั่น
เธอคนนั้นได้ต่อว่าเราอย่างรุนแรง และบอกว่าเธอบอกว่าจะเข้าไปเอง เธอฝืนที่จะทำการค้นหาต่อไปโดยลำพัก พวกเราได้พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้เธอหยุดแล้ว แต่ว่าเราก็หยุดเธอไว้ไม่ได้
นี่มันทำให้ฉันจะบ้าตาย ฉันเข้าใจนะที่เธอสูญเสียเหตุผลไปนั่นก็เพราะคนรักเธอหายตัวไป แต่ว่าฉันไม่อยากจะเข้าไปในถ้ำนั่นเลยจริงๆ
ให้ตายสิ ทำไมเธอถึงยังไม่ออกมาล่ะ? มีอะไรเกิดขึ้นข้างในนั้น?
เราที่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่รอเธออยู่สักพัก ก่อนที่จะหันหลังกลับเพราะทนต่อความรู้สึกไม่ดีได้ มันอาจจะเป็นฉันคิดไปเองก็ได้ แต่ว่าทันทีที่ท้าวของเราพ้นออกมาจากผานั่น ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะน่ากลัวตามหลังมาอีกด้วย
การเลือกหนีเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะจัดการได้
ฉันจะไม่มีวันเข้าไปใกล้ที่นั่นอีก
…
หลังจากที่อ่านสมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามจบได้ปล่อยอึนยูริลง
“คุณโอเคนะ?”
อึนยูริได้ทรุดตัวลงไปแทน เธอได้จับมือของซอลจีฮูเอาไว้ และค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมา
“ฮ่าห์ ฮ่าห์”
เธอได้สูดหายใจอยู่สักพัก ก่อนที่จะเช็ดน้ำลายออกจากปาก และกลับขึ้นมายืนตรง ซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยความอึดอัดใจ
“ขอโทษนะครับ ควันมันเร็วกว่าที่ผมคิดไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อึนยูริได้สงบลมหายใจลง และส่ายหัว
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มีประสบการณ์น่าตื่นเต้นอะไรแบบนี้”
ถึงเธอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สายตาที่เธอมองเขาดูจะไม่พอใจเล็กน้อย
ซอลจีฮูได้แต่ไอแห้งๆ และเปลี่ยนเรื่อง
“อ๊ะ ดูนั่นสิครับ”
อึนยูริได้หันไปมองที่ชายฝั่งตามที่ซอลจีฮูชี้
“ดูเหมือนว่าเราจะเจอแล้วใช่ไหม?”
เมื่อเธอมองเห็นถ้ำที่อยู่ภายในหน้าผา สีหน้าเธอก็สดใสขึ้นเล็กน้อย
“เยี่ยมไปเลย ทำได้ดีมากจริงๆ”
ซอลจีฮูได้ปล่อยคำชมออกมา และลูบแผ่นหลังของเธอจนทำให้อึนยูริผงะไป เธอได้แสดงสีหน้าแห้งๆ แต่ว่าซอลจีฮูก็กำลังมองไปที่ถ้ำอยู่
‘มาดูกัน’
เขาได้เริ่มเดินไปพร้อมเปิดใช้งานนพเนตร จากนั้น
“…”
เขาได้ชะงักเท้าไปทันที อึนยูริที่กำลังเดินตามหลังเขาก็ยังหยุดเท้าด้วยความสับสน
“รอเดี๋ยวก่อน”
อึนยูริได้ขมวดคิ้วมองมาที่ซอลจีฮู
เมื่อครู่นี้เขายังตื่นเต้นอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆสีหน้าเขาถึงได้เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีสัญญาณใด
มันเป็นสีหน้าของคนที่ได้รู้ว่าคำตอบที่ต้องการกลับกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่น่าจะเป็นคำตอบเลย
ขณะจ้องไปที่ถ้ำ ซอลจีฮูก็กลืนน้ำลายลงไป
‘สีเหลืองกับสีส้ม?’
ไม่น่าเชื่อเลย เมื่อก่อนก็เคยมีอยู่หลายครั้งที่มีสองสีปรากฏขึ้นพร้อมกัน แต่ว่านี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่มีสีเตือนภัยแสดงออกมาพร้อมๆกัน
‘นั่นมันหมายความว่าต้องระวัง และอย่างเข้าใกล้สินะ’
ซอลจีฮูได้เม้มปากเล็กน้อยโดยที่ไม่อาจจะหาทางออกกับสถานการณ์ได้
‘หากว่าฉันลองเปรียบเทียบมันกับบทฝึกสอนพื้นฐาน’
เพียงแค่เพราะการปรากฏตัวในชั้นที่ 1 แล้วมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่ 2 หรือชั้นที่ 3
ยกตัวอย่างเช่นมอนสเตอร์ที่เป็นศัตรูที่ยากที่สุดที่เขาได้เจอในบทฝึกสอนปกติ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นนับตั้งแต่ที่พวกเขาหลบหนีจากหอประชุม ก่อนที่มันจะมาปรากฏตัวอีกครั้งในชั้นที่ 3 ทำให้ผู้รอดชีวิตทุกๆคนต่างก็ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ การกำจัดสิ่งที่อยู่ภายในถ้ำก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เลย บางทีการจัดการอะไรให้เรียบร้อยไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในอนาคตมันอาจจะดีกว่าก็ได้
นี่คือวิธีการที่ซอลจีฮูตัดสินใจตีความระวัง และอย่าเข้าใกล้
“ถอยไปสักหน่อยนะครับ”
ซอลจีฮูได้รีบถอยไปพร้อมโคจรมานาออกมา หากว่าเป็นการเตือนให้ออกห่างทันที หรือหลบหนีในทันที เขาก็คงจะหันหน้าวิ่งหนีไปแล้ว แต่ว่าโชคดีที่เขาไม่ได้เห็นสีแดงหรือดำ
แน่นอนว่าแค่สีส้มมันก็หมายถึงอันตรายได้แล้ว แต่ก็อย่างที่สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามได้บอกไว้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้ถ้ำก็จะไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น
‘ถ้าแบบนี้แล้ว’
ซอลจีฮูได้สร้างหอกมานาขึ้นมาหลังจากที่รักษาระยะห่างออกมาไกลจากถ้ำ เมื่อเขาได้เล็งหอกไปที่ถ้ำเพื่อลองทดสอบดู หอกมานาสีฟ้าก็ได้พุ่งทะลวงอากาศออกไป
ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ได้เห็น
ทันทีที่หอกสัมผัสเข้ากับควันดำที่ลอยอยู่ในถ้ำแล้ว…
‘มันหายไป?’
หอกมานาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขารู้สึกแปลกๆขึ้น
‘อีกครั้ง’
ซอลจีฮูได้เตรียมหอกมานาอีกครั้ง
เขาได้ใช้มานาจนถึงขีดสุดจนทำให้วงจรมานาของเขาร้อนขึ้น และหลอมคุณสมบัติต่อต้านปีศาจเข้าไปในมานา
เมื่อเขาได้ขว้างหอกออกไปอย่างสุดกำลัง หอกสายฟ้าก็กลายเป็นเส้นสีทองพุ่งออกไปพร้อมแสงเจิดจ้า
ซ่าาาาาส์!
คราวนี้ต่างออกไปอย่างแน่นอน ด้วยการขว้างหอกมานาออกไปอย่างสุดพลังทำให้หอกไม่ได้หายไปในทันที และทะลวงผ่านควันสีดำเข้าไป
แต่ยังไงก็ตามมันก็แค่เท่านั้น
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีซอลจีฮูก็ต้องเบิกตากว้าง
จู่ๆควันดำก็ได้ปกคลุมหอกมานา
ซ่าาาห์! ซ่าห์!
หอกมานาได้ค่อยๆลดความเร็วลง ก่อนที่แสงสว่างสีทองเจิดจ้าจะหายไป
“…”
ซอลจีฮูได้มองไปที่ถ้ำด้วยสายตาหม่นหมอง
เขาได้อัดมานาระดับสูง (สูง) เข้าไปในหอก และยังมีพลังสายฟ้าที่เป็นพลังงานต่อต้านปีศาจในระดับสูงที่สุดอีกด้วย แต่หอกของเขากลับเข้าใกล้ถ้ำไม่ได้เลย
ถึงเขาจะยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดก็ตามที เขายังมีปราณดาบที่เป็นทักษะบ่งบอกถึงนักรบระดับ 5 อยู่
วูมมม!
เมื่อเขาได้เชื่อมต่อวงจรมานาเข้ากับมีดยาวแล้ว มีดยาวก็ได้เริ่มส่งเสียงอันทรงพลังออกมาพร้อมเปล่งแสงสีทอง
เมื่อเขาทำแบบนี้แล้ว ระดับความหนาแน่นของควันก็เพิ่มมากขึ้นราวกับจะท้าทายเขา
‘โอ้?’
เมื่อรู้สึกว่ามันกำลังท้าทายเขา ซอลจีฮูก็จับมีดยาวเอาไว้ด้วยความลังเล เขารู้สึกเหมือนกับว่ามันจะไม่ได้กลืนกินเหมือนคราวก่อนแล้ว
‘ฉันควรจะลองเข้าไปดีไหม?’
จู่ๆความคิดนี้ก็ได้เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าเขาก็ส่ายหัวออกมา มันไม่ใช่แค่นพเนตรเท่านั้น แต่สัญชาตญาณของเขาก็กำลังส่งสัญญาณเตือนออกมา มันกำลังบอกไม่ให้เขาไปใกล้ถ้ำหรือแม้กระทั่งสัมผัสโดนควันพวกนั้น
ซอลจีฮูเม้มปากแน่น
‘คงจะเป็นบอสสุดท้ายของบทฝึกสอนพิเศษสินะ?’
ในตอนนั้นเอง
[ฮิฮิฮิฮิ]
เสียงหัวเราะน่าขนลุกได้ดังออกมาจากถ้ำ มันเป็นเสียงหัวเราะอันน่ากลัวจนแค่ได้ยินก็ทำให้ขนลุกได้แล้ว
[คุณสมบัติต่อต้านปีศาจสินะ?]
[คิคิ ฉันคิดว่านายเป็นแค่พวกเศษสวะที่มั่นใจในความสามารถเล็กๆน้อยซะอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นสินะ]
‘อะไรกัน?’
[คิคิคิ การที่คุณสมบัติต่อต้านปีศาจยังคงสืบทอดต่อไปได้นี่ก็นะ ฉันคิดว่าวันนั้นฉันกำจัดมันออกไปหมดแล้วซะอีก]
[ฉันก็แปลกใจอยู่หน่อยนะ แต่ว่าในเมื่อพลังนี้ถูกจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง นายยังคิดที่จะใช้มันทำร้ายฉันอีกงั้นหรอ?]
ดวงตาซอลจีฮูได้กลายเป็นเฉียบคมขึ้น
“คุณเป็นใคร?”
[ฉันงั้นหรอ?]
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยได้ดังตามออกมา
[ไม่รู้สินะ ถ้าสงสัยทำไมไม่เข้ามาดูเองล่ะ?]
มีเพียงแค่เสียงหัวเราะเยาะตอบกลับมาก็เท่านั้น
ขณะที่เขายืนเฝ้าระวังถ้ำ สมองของซอลจีฮูก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว จากที่ได้ยินก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าตัวตนด้านในน่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับคุณสมบัติต่อต้านปีศาจของเขา
‘พลังต่อต้านปีศาจเคยถูกจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง?’
ตอนนี้พอมาคิดดู เขาก็รู้สึกเหมือนเคยได้ยินมันมาก่อน เมื่อเขาพยายามค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำ คำพูดของคิมฮันนาห์ที่เคยบอกเขาในระหว่างตรวจสอบโกดังก็ย้อนกลับมา
[ในพาราไดซ์ พลังเวทย์แบ่งออกเป็นเจ็ดรูปแบบตามการใช้ วิธีการ และการสอน]
[เนโครแมนเซอร์ ต่อต้านปีศาจ อัญเชิญ แปรธาตุ พลังธาตุ เวทย์สว่าง และเวทย์มืด]
[ท่ามกลางทั้งเจ็ดรูปแบบนี้ เวทย์สว่างกับเวทย์มืดได้สูญหายไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิ]
[มรดกแห่งเวทย์ต่อต้านปีศาจได้หายไปตั้งนานแล้วหลังจากที่ถูกสาวกเวทย์มืดจัดการลงไป]
ซอลจีฮูได้ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เวทย์มืด?”
[โฮ่]
น้ำเสียงตกใจได้ดังออกมา
[ได้ยังไง… ไม่สิ มันเป็นธรรมดาที่ผู้สืบทอดเวทย์ต่อต้านปีศาจจะรู้]
[เยี่ยม เยี่ยม ทีนี้แล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ? ไม่อยากจะแก้แค้นงั้นหรอ?]
หมอกควันได้ส่ายไปมาราวกับจะยั่วยุเขา แต่ซอลจีฮูก็ตัดสินใจคอยรวบรวมข้อมูลก่อน
“ทำไมเวทย์มืดถึงได้มาอยู่ที่นี่?”
[ฮิฮิฮิ ถ้าเข้ามาแล้วฉันจะบอกเอง]
ยังไงก็ตามฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ตอบเขา
ซอลจีฮูไม่มีความคิดจะเข้าไปในถ้ำเลยสักนิด คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปเชื่อมอนสเตอร์ที่แสดงเจตนาออกมาชัดเจนแบบนี้
[ฮิฮิ ดูเจ้าหนูผู้ใช้พลังต่อต้านปีศาจนิ่งกับที่อย่างหวาดกลัวสิ ช่างเป็นภาพที่น่าชมจริงๆ!]
[ช่างเถอะนะ จงสั่นกลัวได้ตามต้องการเลย เหลืออีกแค่ไม่นานแล้ว ลูกๆของฉันกำลังตั้งใจทำงานกันอยู่ มันเกือบจะถึงเวลาแล้ว]
“เวลาอะไร?”
อึนยูริที่ยืนอยู่เงียบๆได้พูดออกมา
“พวกเราจะไม่เข้าใจ”
เธอได้พูดใส่ถ้ำ
“มันไม่มีเหตุผลให้เราเข้าไป จากที่ดูแล้ว คุณเหมือนจะถูกขังอยู่ที่นี่ พวกเราก็แค่ต้องฆ่าฆาตกรที่เหลือเพื่อออกไปจากที่นี่”
ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกว่าต้องรวบรวมข้อมูลอีก ทำให้เธอเลือกโยนคำพูดออกไปสุ่มๆ เพื่อหลอกล่อมอนสเตอร์ตรงหน้า
[คิคิ! ช่างเป็นเด็กส่าวที่น่ารัก ใครกันล่ะเนี้ย?]
ทันใดนั้นนักเวทย์มืดก็หยุดหัวเราะ และส่งเสียงแปลกๆออกมา
[โฮ่ พอมาดูแล้ว เธอก็ยอดเยี่ยมเลยนี่ แต่ก็นะ สุดท้ายก็เป็นแค่มนุษย์อยู่ดี]
[ค่อนข้างจะน่าเสียดายนะ แต่เธอก็ยังคงเป็นเครื่องสังเวยที่ดีอยู่ คิคิคิคิ!]
มันดูเหมือนจะพูดกับตัวเอง และหัวเราะกับคำพูดนั้น ถึงซอลจีฮูจะไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องอะไร แต่เขาก็รู้ว่าในตอนมันพูดถึงเครื่องสังเวยมันไม่ใช่เรื่องดีแน่
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจพูดตามอึนยูริ
“โอ้ ผมคิดว่าคุณคงพูดถูก แต่น่าสงสารนะ อีกไม่นานลูกๆ ของคุณก็จะตายลงด้วยมือของผม”
[คิคิ!]
แต่สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นการหัวเราะเยาะเย้ย
[นี่แหละนะปัญหาของผู้ใช้พลังเวทย์ต่อต้านปีศาจทุกคน]
[พวกนายมันโง่สิ้นดี โง่อะไรกันขนาดนี้]
[หัดใช้หัวสักหน่อยสิ มันก็เพราะพวกนายมันไม่รู้จักคิด เชื่อมั่นใจพลังที่ทรงพลังจนตามืดบอดจนทำให้ท้ายที่สุดแล้วถูกเราทำลายลงไงล่ะ]
[แต่ก็นะ ทำตามใจนายเถอะ ฉันควรจะขอบคุณด้วยซ้ำไป คิคิคิคิ!]
ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น
นักเวทย์มืดไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน? เขารู้ว่าไม่ควรจะเข้าไปในถ้ำ แต่ดูจากท่าทีไม่แยแสแล้ว เขารู้สึกไม่มั่นใจแล้วว่าควรจะกำจัดฆาตกรที่เหลือไหม
‘คิดสิ คิด’
อย่างแรกที่เขามั่นใจคือเมื่อไหร่ที่ฆาตกรถูกผู้รอดชีวิตฆ่า ฆาตกรที่เหลือจะแกร่งขึ้น เมื่อมีฆาตกรตายไปหนึ่งคน ความสามารถทางร่างกายจะเพิ่มขึ้น และเมื่อตายไปอีกคน ประสาทสัมผัสของพวกมันก็จะดีขึ้น
หากว่าเขาฆ่าฆาตกรเพิ่มอีกสองคน และปล่อยเอาไว้หนึ่งคน เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าฆาตกรคนสุดท้ายจะแกร่งขนาดไหน
มีวิธีที่ใช้รับมืออยู่คือการใช้เชือกเวทมนต์มัดฆาตกรที่เหลือทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนที่จะฆ่าพวกมันทั้งหมดพร้อมๆกัน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีเชือกให้ใช้มากขนาดนั้น นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่ใช้ในการหาเชือก และหาตัวฆาตกรอีกด้วย
เขาไม่มั่นใจเลยว่าในระหว่างนั้นนักเวทย์มืดคนนี้จะทำอะไรลงไปแล้วบ้าง
หรือก็คือเขากำลังจนมุม
ซอลจีฮูได้หลับตาลง สิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ทุกอย่าง
บางทีแล้ว…
เขาอาจจะดูถูกบทฝึกสอนมากเกินไป?
ความคิดได้แล่นเข้าในหัวของเขา
‘ฉันควรจะทำยังไงดี?’
หลังจากคิดอยู่สักพัก ซอลจีฮูก็ตัดสินใจออกมา
เขาควรที่จะทำตามแผนต่อไป
ไม่ว่ายังไงเขาก็แทบจะมั่นใจแล้วว่านักเวทย์มืดที่มีชื่อว่าแม่ที่หกมีบทบาทสำคัญในบทฝึกสอนนี้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไร แต่หากเขากำจัดเธอไปก่อนก็เป็นเรื่องดี ในตอนนี้เขาคิดว่านี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“คุณอึนยูริ”
หลังจากคิดกับตัวเองได้แล้ว ซอลจีฮูก็หันกลับไปพูด
“ไม่ว่าจะคิดยังไงแล้ว ผมคิดว่ามันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฆ่าเจ้าสิ่งนี้แล้ว”
“ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ”
อึนยูริได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบตกลง
“วิญญาณฆาตกรที่ถูกฆ่าได้หายเข้าไปในถ้ำ จากนั้นฆาตกรที่เหลือก็จะแข็งแกร่งขึ้น ถึงฉันจะไม่รู้ขั้นตอน แต่ฉันคิดว่ามันต้องเกี่ยวกับแม่ที่หกภายในถ้ำแน่ๆ”
หรือก็คือมันมีความเป็นไปได้ว่าหากพวกเขาฆ่าแม่ที่หกไปแล้ว ฆาตกรที่เหลือก็จะไม่แกร่งขึ้น
ทั้งสองคนต่างก็คิดเหมือนกัน
[ฆ่า? หมายถึงฆ่าฉันงั้นหรอ? คิฮ่าฮ่าฮ่า!]
เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งได้ดังออกมาจากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“ดีล่ะ ถ้างั้นก็”
‘หัวเราะได้ตามต้องการเลย’
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังจ้องไปที่ถ้ำ
“มาจัดการที่นี่กัน”
อึนยูริได้เบิกตากว้าง แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว
เธอได้เข้าใจ และหยิบเอาแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากกระเป๋าในทันที
มันก็คือแผ่นยันต์
“ไม่มีอะไรอีกแล้ว ฉีกมันเลย”
เมื่อได้รับคำสั่งจากซอลจีฮู อึนยูริก็ได้ฉีกแผ่นยักษ์ออกด้วยความลังเล
[คุณได้ใช้ยันต์จำเป็น]
[ค้นหาเวทย์ที่ต้องการที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้โปรดรอสักครู่]
[เปิดใช้งานเวทมนต์ชำระล้างต้องห้าม: อาณาเขตสวรรค์พิพากษา]
[แสงแห่งสวรรค์จะส่องลงไปบนพื้นที่ที่กำหนด และทำให้ความชั่วร้ายทั้งหมดหวนคืนสู่ความว่างเปล่า]
คลืนนนน!
แรงสั่นสะเทือนได้เกิดขึ้นจนเหมือนกับแผ่นดินไหวปะทุ และท้องฟ้าก็ได้เริ่มแยกออกจากกัน
[หือ?]
นักเวทย์มืดได้ชะงักไป
ต่อจากนั้น
แสงสีขาวก็ได้ส่องลงมาจากท้องฟ้าที่แยกออกจากกัน
[อะ อะไรกัน?!]
นักเวทย์มืดได้ตื่นตระหนกขึ้น
[นะ นี่มันเป็นไปไม่ได้! เวทย์สว่างระดับสูงสุดนี่จู่ๆมาจากไหนกัน?]
ประกายแสงได้ส่องสว่างออกมาทั่วทั้งพื้นที่
[ดะ เดี๋ยวก่อน!]
เส้นแสงนี้ได้พุ่งตรงเข้าไปภายในถ้ำเหมือนกับน้ำท่วม
[เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว! อ๊ากกกกกกกก!]
เสียงกรีดร้องอันหวาดหวั่นได้ดังออกมา
***
ในเวลาเดียวกัน
ณ เขตพื้นที่เป็นกลาง กลุ่มคนห้าถึงหกคนได้รวมตัวกันมองดูหน้าจอที่แสดงถึงบทฝึกสอนอยู่
เมื่อตัดสินจากอาหาร และแอลกอฮอล์จำนวนมากแล้ว ภายในห้องที่ควรจะมีบรรยากาศอันครึกครื้น กลับเงียบกริบ
คนส่วนใหญ่ที่มองดูจอตรงหน้าต่างก็พูดไม่ออก
“ฉันอยากจะบ้าตาย”
โชฮงได้ยกมือปิดหน้า และตะโกนออกมา
“ดูสิ่งที่เขาทำลงไปสิ!”
บทที่ 287 – การเตรียมการ (8)
สภาพของอึนยูริดูแย่กว่าที่เขาคิดไว้ ผมของเธอยุ่งไปจนหมดเพราะลมที่พัดใส่อย่างรุนแรง และสายตาของเธอก็เปิดมองฟ้าด้วยความสับสนอยู่ด้วย
“อึก.. อึก”
ยิ่งดูจากน้ำลายที่ไหลออกจากปากเธอ เธอเหมือนกับใกล้จะเป็นลมไปแล้ว
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกในพาราไดซ์ของเธอ แต่ว่าเธอก็ยังไม่เคยก้าวออกไปจากเขตพื้นที่เป็นกลางเลย การที่ต้องมาเจอกับการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่เหมือนกับสายฟ้าแบบนี้มันจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะมีสภาพแบบนี้
“อึก อ่า”
แต่ยังไงก็ตามอึนยูริก็ยังประคองสติเอาไว้ได้ และค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยมือที่สั่นเทา
…
[ผู้ส่ง: นิรนาม]
หน้าผาชายฝั่ง (สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามหน้าที่ 30)
ระหว่างกำลังค้นหาทั่วภูเขาเพื่อหาวิธีจัดการกับฆาตกร ได้มีหนึ่งในพรรคพวกของเราหายตัวไป ไม่ว่าจะหายังไงก็หาตัวเขาไม่เจอเลย
ในที่สุดแล้วพวกเราก็เจอเข้ากับร่องรอยของพรรคพวกที่หายตัวไป หลังจากที่ค้นหามาครึ่งวัน เราได้เจอเข้ากับรองเท้าคู่หนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงหน้าถ้ำบนหน้าผา รองเท้าคู่นี้เป็นของคนที่หายตัวไป
แต่ถ้ำนี่มันอะไรกัน? ทำไมถึงได้มีคราบเลือดอยู่เต็มไปหมดเลยล่ะ?
แปลกแล้วสิ ที่นี่ต่างก็เต็มไปด้วยความมืด ความเย็น และความรู้สึกแย่ที่อธิบายออกมาไม่ได้
ฉันคิดว่าคนอื่นๆก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน ทำให้พวกเขาต่างก็ดูจะไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในถ้ำนั่น
ในตอนแรกคนที่แนะนำให้เราจับตัวฆาตกรแทนที่จะฆ่าพวกมันได้ชักชวนให้พวกเรารีบทำการสำรวจต่อ แต่ว่าหลังจากที่คุยกันแล้ว คนที่เหลือต่างก็ล้มเลิกการสำรวจถ้ำนั่น
เธอคนนั้นได้ต่อว่าเราอย่างรุนแรง และบอกว่าเธอบอกว่าจะเข้าไปเอง เธอฝืนที่จะทำการค้นหาต่อไปโดยลำพัก พวกเราได้พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้เธอหยุดแล้ว แต่ว่าเราก็หยุดเธอไว้ไม่ได้
นี่มันทำให้ฉันจะบ้าตาย ฉันเข้าใจนะที่เธอสูญเสียเหตุผลไปนั่นก็เพราะคนรักเธอหายตัวไป แต่ว่าฉันไม่อยากจะเข้าไปในถ้ำนั่นเลยจริงๆ
ให้ตายสิ ทำไมเธอถึงยังไม่ออกมาล่ะ? มีอะไรเกิดขึ้นข้างในนั้น?
เราที่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่รอเธออยู่สักพัก ก่อนที่จะหันหลังกลับเพราะทนต่อความรู้สึกไม่ดีได้ มันอาจจะเป็นฉันคิดไปเองก็ได้ แต่ว่าทันทีที่ท้าวของเราพ้นออกมาจากผานั่น ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะน่ากลัวตามหลังมาอีกด้วย
การเลือกหนีเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะจัดการได้
ฉันจะไม่มีวันเข้าไปใกล้ที่นั่นอีก
…
หลังจากที่อ่านสมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามจบได้ปล่อยอึนยูริลง
“คุณโอเคนะ?”
อึนยูริได้ทรุดตัวลงไปแทน เธอได้จับมือของซอลจีฮูเอาไว้ และค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมา
“ฮ่าห์ ฮ่าห์”
เธอได้สูดหายใจอยู่สักพัก ก่อนที่จะเช็ดน้ำลายออกจากปาก และกลับขึ้นมายืนตรง ซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยความอึดอัดใจ
“ขอโทษนะครับ ควันมันเร็วกว่าที่ผมคิดไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อึนยูริได้สงบลมหายใจลง และส่ายหัว
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มีประสบการณ์น่าตื่นเต้นอะไรแบบนี้”
ถึงเธอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สายตาที่เธอมองเขาดูจะไม่พอใจเล็กน้อย
ซอลจีฮูได้แต่ไอแห้งๆ และเปลี่ยนเรื่อง
“อ๊ะ ดูนั่นสิครับ”
อึนยูริได้หันไปมองที่ชายฝั่งตามที่ซอลจีฮูชี้
“ดูเหมือนว่าเราจะเจอแล้วใช่ไหม?”
เมื่อเธอมองเห็นถ้ำที่อยู่ภายในหน้าผา สีหน้าเธอก็สดใสขึ้นเล็กน้อย
“เยี่ยมไปเลย ทำได้ดีมากจริงๆ”
ซอลจีฮูได้ปล่อยคำชมออกมา และลูบแผ่นหลังของเธอจนทำให้อึนยูริผงะไป เธอได้แสดงสีหน้าแห้งๆ แต่ว่าซอลจีฮูก็กำลังมองไปที่ถ้ำอยู่
‘มาดูกัน’
เขาได้เริ่มเดินไปพร้อมเปิดใช้งานนพเนตร จากนั้น
“…”
เขาได้ชะงักเท้าไปทันที อึนยูริที่กำลังเดินตามหลังเขาก็ยังหยุดเท้าด้วยความสับสน
“รอเดี๋ยวก่อน”
อึนยูริได้ขมวดคิ้วมองมาที่ซอลจีฮู
เมื่อครู่นี้เขายังตื่นเต้นอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆสีหน้าเขาถึงได้เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีสัญญาณใด
มันเป็นสีหน้าของคนที่ได้รู้ว่าคำตอบที่ต้องการกลับกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่น่าจะเป็นคำตอบเลย
ขณะจ้องไปที่ถ้ำ ซอลจีฮูก็กลืนน้ำลายลงไป
‘สีเหลืองกับสีส้ม?’
ไม่น่าเชื่อเลย เมื่อก่อนก็เคยมีอยู่หลายครั้งที่มีสองสีปรากฏขึ้นพร้อมกัน แต่ว่านี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่มีสีเตือนภัยแสดงออกมาพร้อมๆกัน
‘นั่นมันหมายความว่าต้องระวัง และอย่างเข้าใกล้สินะ’
ซอลจีฮูได้เม้มปากเล็กน้อยโดยที่ไม่อาจจะหาทางออกกับสถานการณ์ได้
‘หากว่าฉันลองเปรียบเทียบมันกับบทฝึกสอนพื้นฐาน’
เพียงแค่เพราะการปรากฏตัวในชั้นที่ 1 แล้วมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่ 2 หรือชั้นที่ 3
ยกตัวอย่างเช่นมอนสเตอร์ที่เป็นศัตรูที่ยากที่สุดที่เขาได้เจอในบทฝึกสอนปกติ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นนับตั้งแต่ที่พวกเขาหลบหนีจากหอประชุม ก่อนที่มันจะมาปรากฏตัวอีกครั้งในชั้นที่ 3 ทำให้ผู้รอดชีวิตทุกๆคนต่างก็ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ การกำจัดสิ่งที่อยู่ภายในถ้ำก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เลย บางทีการจัดการอะไรให้เรียบร้อยไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในอนาคตมันอาจจะดีกว่าก็ได้
นี่คือวิธีการที่ซอลจีฮูตัดสินใจตีความระวัง และอย่าเข้าใกล้
“ถอยไปสักหน่อยนะครับ”
ซอลจีฮูได้รีบถอยไปพร้อมโคจรมานาออกมา หากว่าเป็นการเตือนให้ออกห่างทันที หรือหลบหนีในทันที เขาก็คงจะหันหน้าวิ่งหนีไปแล้ว แต่ว่าโชคดีที่เขาไม่ได้เห็นสีแดงหรือดำ
แน่นอนว่าแค่สีส้มมันก็หมายถึงอันตรายได้แล้ว แต่ก็อย่างที่สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามได้บอกไว้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้ถ้ำก็จะไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น
‘ถ้าแบบนี้แล้ว’
ซอลจีฮูได้สร้างหอกมานาขึ้นมาหลังจากที่รักษาระยะห่างออกมาไกลจากถ้ำ เมื่อเขาได้เล็งหอกไปที่ถ้ำเพื่อลองทดสอบดู หอกมานาสีฟ้าก็ได้พุ่งทะลวงอากาศออกไป
ยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ได้เห็น
ทันทีที่หอกสัมผัสเข้ากับควันดำที่ลอยอยู่ในถ้ำแล้ว…
‘มันหายไป?’
หอกมานาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขารู้สึกแปลกๆขึ้น
‘อีกครั้ง’
ซอลจีฮูได้เตรียมหอกมานาอีกครั้ง
เขาได้ใช้มานาจนถึงขีดสุดจนทำให้วงจรมานาของเขาร้อนขึ้น และหลอมคุณสมบัติต่อต้านปีศาจเข้าไปในมานา
เมื่อเขาได้ขว้างหอกออกไปอย่างสุดกำลัง หอกสายฟ้าก็กลายเป็นเส้นสีทองพุ่งออกไปพร้อมแสงเจิดจ้า
ซ่าาาาาส์!
คราวนี้ต่างออกไปอย่างแน่นอน ด้วยการขว้างหอกมานาออกไปอย่างสุดพลังทำให้หอกไม่ได้หายไปในทันที และทะลวงผ่านควันสีดำเข้าไป
แต่ยังไงก็ตามมันก็แค่เท่านั้น
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีซอลจีฮูก็ต้องเบิกตากว้าง
จู่ๆควันดำก็ได้ปกคลุมหอกมานา
ซ่าาาห์! ซ่าห์!
หอกมานาได้ค่อยๆลดความเร็วลง ก่อนที่แสงสว่างสีทองเจิดจ้าจะหายไป
“…”
ซอลจีฮูได้มองไปที่ถ้ำด้วยสายตาหม่นหมอง
เขาได้อัดมานาระดับสูง (สูง) เข้าไปในหอก และยังมีพลังสายฟ้าที่เป็นพลังงานต่อต้านปีศาจในระดับสูงที่สุดอีกด้วย แต่หอกของเขากลับเข้าใกล้ถ้ำไม่ได้เลย
ถึงเขาจะยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดก็ตามที เขายังมีปราณดาบที่เป็นทักษะบ่งบอกถึงนักรบระดับ 5 อยู่
วูมมม!
เมื่อเขาได้เชื่อมต่อวงจรมานาเข้ากับมีดยาวแล้ว มีดยาวก็ได้เริ่มส่งเสียงอันทรงพลังออกมาพร้อมเปล่งแสงสีทอง
เมื่อเขาทำแบบนี้แล้ว ระดับความหนาแน่นของควันก็เพิ่มมากขึ้นราวกับจะท้าทายเขา
‘โอ้?’
เมื่อรู้สึกว่ามันกำลังท้าทายเขา ซอลจีฮูก็จับมีดยาวเอาไว้ด้วยความลังเล เขารู้สึกเหมือนกับว่ามันจะไม่ได้กลืนกินเหมือนคราวก่อนแล้ว
‘ฉันควรจะลองเข้าไปดีไหม?’
จู่ๆความคิดนี้ก็ได้เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าเขาก็ส่ายหัวออกมา มันไม่ใช่แค่นพเนตรเท่านั้น แต่สัญชาตญาณของเขาก็กำลังส่งสัญญาณเตือนออกมา มันกำลังบอกไม่ให้เขาไปใกล้ถ้ำหรือแม้กระทั่งสัมผัสโดนควันพวกนั้น
ซอลจีฮูเม้มปากแน่น
‘คงจะเป็นบอสสุดท้ายของบทฝึกสอนพิเศษสินะ?’
ในตอนนั้นเอง
[ฮิฮิฮิฮิ]
เสียงหัวเราะน่าขนลุกได้ดังออกมาจากถ้ำ มันเป็นเสียงหัวเราะอันน่ากลัวจนแค่ได้ยินก็ทำให้ขนลุกได้แล้ว
[คุณสมบัติต่อต้านปีศาจสินะ?]
[คิคิ ฉันคิดว่านายเป็นแค่พวกเศษสวะที่มั่นใจในความสามารถเล็กๆน้อยซะอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นสินะ]
‘อะไรกัน?’
[คิคิคิ การที่คุณสมบัติต่อต้านปีศาจยังคงสืบทอดต่อไปได้นี่ก็นะ ฉันคิดว่าวันนั้นฉันกำจัดมันออกไปหมดแล้วซะอีก]
[ฉันก็แปลกใจอยู่หน่อยนะ แต่ว่าในเมื่อพลังนี้ถูกจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง นายยังคิดที่จะใช้มันทำร้ายฉันอีกงั้นหรอ?]
ดวงตาซอลจีฮูได้กลายเป็นเฉียบคมขึ้น
“คุณเป็นใคร?”
[ฉันงั้นหรอ?]
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยได้ดังตามออกมา
[ไม่รู้สินะ ถ้าสงสัยทำไมไม่เข้ามาดูเองล่ะ?]
มีเพียงแค่เสียงหัวเราะเยาะตอบกลับมาก็เท่านั้น
ขณะที่เขายืนเฝ้าระวังถ้ำ สมองของซอลจีฮูก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว จากที่ได้ยินก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าตัวตนด้านในน่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับคุณสมบัติต่อต้านปีศาจของเขา
‘พลังต่อต้านปีศาจเคยถูกจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง?’
ตอนนี้พอมาคิดดู เขาก็รู้สึกเหมือนเคยได้ยินมันมาก่อน เมื่อเขาพยายามค้นหาเศษเสี้ยวความทรงจำ คำพูดของคิมฮันนาห์ที่เคยบอกเขาในระหว่างตรวจสอบโกดังก็ย้อนกลับมา
[ในพาราไดซ์ พลังเวทย์แบ่งออกเป็นเจ็ดรูปแบบตามการใช้ วิธีการ และการสอน]
[เนโครแมนเซอร์ ต่อต้านปีศาจ อัญเชิญ แปรธาตุ พลังธาตุ เวทย์สว่าง และเวทย์มืด]
[ท่ามกลางทั้งเจ็ดรูปแบบนี้ เวทย์สว่างกับเวทย์มืดได้สูญหายไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิ]
[มรดกแห่งเวทย์ต่อต้านปีศาจได้หายไปตั้งนานแล้วหลังจากที่ถูกสาวกเวทย์มืดจัดการลงไป]
ซอลจีฮูได้ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เวทย์มืด?”
[โฮ่]
น้ำเสียงตกใจได้ดังออกมา
[ได้ยังไง… ไม่สิ มันเป็นธรรมดาที่ผู้สืบทอดเวทย์ต่อต้านปีศาจจะรู้]
[เยี่ยม เยี่ยม ทีนี้แล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ? ไม่อยากจะแก้แค้นงั้นหรอ?]
หมอกควันได้ส่ายไปมาราวกับจะยั่วยุเขา แต่ซอลจีฮูก็ตัดสินใจคอยรวบรวมข้อมูลก่อน
“ทำไมเวทย์มืดถึงได้มาอยู่ที่นี่?”
[ฮิฮิฮิ ถ้าเข้ามาแล้วฉันจะบอกเอง]
ยังไงก็ตามฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ตอบเขา
ซอลจีฮูไม่มีความคิดจะเข้าไปในถ้ำเลยสักนิด คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปเชื่อมอนสเตอร์ที่แสดงเจตนาออกมาชัดเจนแบบนี้
[ฮิฮิ ดูเจ้าหนูผู้ใช้พลังต่อต้านปีศาจนิ่งกับที่อย่างหวาดกลัวสิ ช่างเป็นภาพที่น่าชมจริงๆ!]
[ช่างเถอะนะ จงสั่นกลัวได้ตามต้องการเลย เหลืออีกแค่ไม่นานแล้ว ลูกๆของฉันกำลังตั้งใจทำงานกันอยู่ มันเกือบจะถึงเวลาแล้ว]
“เวลาอะไร?”
อึนยูริที่ยืนอยู่เงียบๆได้พูดออกมา
“พวกเราจะไม่เข้าใจ”
เธอได้พูดใส่ถ้ำ
“มันไม่มีเหตุผลให้เราเข้าไป จากที่ดูแล้ว คุณเหมือนจะถูกขังอยู่ที่นี่ พวกเราก็แค่ต้องฆ่าฆาตกรที่เหลือเพื่อออกไปจากที่นี่”
ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกว่าต้องรวบรวมข้อมูลอีก ทำให้เธอเลือกโยนคำพูดออกไปสุ่มๆ เพื่อหลอกล่อมอนสเตอร์ตรงหน้า
[คิคิ! ช่างเป็นเด็กส่าวที่น่ารัก ใครกันล่ะเนี้ย?]
ทันใดนั้นนักเวทย์มืดก็หยุดหัวเราะ และส่งเสียงแปลกๆออกมา
[โฮ่ พอมาดูแล้ว เธอก็ยอดเยี่ยมเลยนี่ แต่ก็นะ สุดท้ายก็เป็นแค่มนุษย์อยู่ดี]
[ค่อนข้างจะน่าเสียดายนะ แต่เธอก็ยังคงเป็นเครื่องสังเวยที่ดีอยู่ คิคิคิคิ!]
มันดูเหมือนจะพูดกับตัวเอง และหัวเราะกับคำพูดนั้น ถึงซอลจีฮูจะไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องอะไร แต่เขาก็รู้ว่าในตอนมันพูดถึงเครื่องสังเวยมันไม่ใช่เรื่องดีแน่
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจพูดตามอึนยูริ
“โอ้ ผมคิดว่าคุณคงพูดถูก แต่น่าสงสารนะ อีกไม่นานลูกๆ ของคุณก็จะตายลงด้วยมือของผม”
[คิคิ!]
แต่สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นการหัวเราะเยาะเย้ย
[นี่แหละนะปัญหาของผู้ใช้พลังเวทย์ต่อต้านปีศาจทุกคน]
[พวกนายมันโง่สิ้นดี โง่อะไรกันขนาดนี้]
[หัดใช้หัวสักหน่อยสิ มันก็เพราะพวกนายมันไม่รู้จักคิด เชื่อมั่นใจพลังที่ทรงพลังจนตามืดบอดจนทำให้ท้ายที่สุดแล้วถูกเราทำลายลงไงล่ะ]
[แต่ก็นะ ทำตามใจนายเถอะ ฉันควรจะขอบคุณด้วยซ้ำไป คิคิคิคิ!]
ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น
นักเวทย์มืดไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน? เขารู้ว่าไม่ควรจะเข้าไปในถ้ำ แต่ดูจากท่าทีไม่แยแสแล้ว เขารู้สึกไม่มั่นใจแล้วว่าควรจะกำจัดฆาตกรที่เหลือไหม
‘คิดสิ คิด’
อย่างแรกที่เขามั่นใจคือเมื่อไหร่ที่ฆาตกรถูกผู้รอดชีวิตฆ่า ฆาตกรที่เหลือจะแกร่งขึ้น เมื่อมีฆาตกรตายไปหนึ่งคน ความสามารถทางร่างกายจะเพิ่มขึ้น และเมื่อตายไปอีกคน ประสาทสัมผัสของพวกมันก็จะดีขึ้น
หากว่าเขาฆ่าฆาตกรเพิ่มอีกสองคน และปล่อยเอาไว้หนึ่งคน เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าฆาตกรคนสุดท้ายจะแกร่งขนาดไหน
มีวิธีที่ใช้รับมืออยู่คือการใช้เชือกเวทมนต์มัดฆาตกรที่เหลือทั้งสามคนเอาไว้ ก่อนที่จะฆ่าพวกมันทั้งหมดพร้อมๆกัน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีเชือกให้ใช้มากขนาดนั้น นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่ใช้ในการหาเชือก และหาตัวฆาตกรอีกด้วย
เขาไม่มั่นใจเลยว่าในระหว่างนั้นนักเวทย์มืดคนนี้จะทำอะไรลงไปแล้วบ้าง
หรือก็คือเขากำลังจนมุม
ซอลจีฮูได้หลับตาลง สิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ทุกอย่าง
บางทีแล้ว…
เขาอาจจะดูถูกบทฝึกสอนมากเกินไป?
ความคิดได้แล่นเข้าในหัวของเขา
‘ฉันควรจะทำยังไงดี?’
หลังจากคิดอยู่สักพัก ซอลจีฮูก็ตัดสินใจออกมา
เขาควรที่จะทำตามแผนต่อไป
ไม่ว่ายังไงเขาก็แทบจะมั่นใจแล้วว่านักเวทย์มืดที่มีชื่อว่าแม่ที่หกมีบทบาทสำคัญในบทฝึกสอนนี้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไร แต่หากเขากำจัดเธอไปก่อนก็เป็นเรื่องดี ในตอนนี้เขาคิดว่านี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“คุณอึนยูริ”
หลังจากคิดกับตัวเองได้แล้ว ซอลจีฮูก็หันกลับไปพูด
“ไม่ว่าจะคิดยังไงแล้ว ผมคิดว่ามันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฆ่าเจ้าสิ่งนี้แล้ว”
“ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ”
อึนยูริได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบตกลง
“วิญญาณฆาตกรที่ถูกฆ่าได้หายเข้าไปในถ้ำ จากนั้นฆาตกรที่เหลือก็จะแข็งแกร่งขึ้น ถึงฉันจะไม่รู้ขั้นตอน แต่ฉันคิดว่ามันต้องเกี่ยวกับแม่ที่หกภายในถ้ำแน่ๆ”
หรือก็คือมันมีความเป็นไปได้ว่าหากพวกเขาฆ่าแม่ที่หกไปแล้ว ฆาตกรที่เหลือก็จะไม่แกร่งขึ้น
ทั้งสองคนต่างก็คิดเหมือนกัน
[ฆ่า? หมายถึงฆ่าฉันงั้นหรอ? คิฮ่าฮ่าฮ่า!]
เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งได้ดังออกมาจากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“ดีล่ะ ถ้างั้นก็”
‘หัวเราะได้ตามต้องการเลย’
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังจ้องไปที่ถ้ำ
“มาจัดการที่นี่กัน”
อึนยูริได้เบิกตากว้าง แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว
เธอได้เข้าใจ และหยิบเอาแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากกระเป๋าในทันที
มันก็คือแผ่นยันต์
“ไม่มีอะไรอีกแล้ว ฉีกมันเลย”
เมื่อได้รับคำสั่งจากซอลจีฮู อึนยูริก็ได้ฉีกแผ่นยักษ์ออกด้วยความลังเล
[คุณได้ใช้ยันต์จำเป็น]
[ค้นหาเวทย์ที่ต้องการที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้โปรดรอสักครู่]
[เปิดใช้งานเวทมนต์ชำระล้างต้องห้าม: อาณาเขตสวรรค์พิพากษา]
[แสงแห่งสวรรค์จะส่องลงไปบนพื้นที่ที่กำหนด และทำให้ความชั่วร้ายทั้งหมดหวนคืนสู่ความว่างเปล่า]
คลืนนนน!
แรงสั่นสะเทือนได้เกิดขึ้นจนเหมือนกับแผ่นดินไหวปะทุ และท้องฟ้าก็ได้เริ่มแยกออกจากกัน
[หือ?]
นักเวทย์มืดได้ชะงักไป
ต่อจากนั้น
แสงสีขาวก็ได้ส่องลงมาจากท้องฟ้าที่แยกออกจากกัน
[อะ อะไรกัน?!]
นักเวทย์มืดได้ตื่นตระหนกขึ้น
[นะ นี่มันเป็นไปไม่ได้! เวทย์สว่างระดับสูงสุดนี่จู่ๆมาจากไหนกัน?]
ประกายแสงได้ส่องสว่างออกมาทั่วทั้งพื้นที่
[ดะ เดี๋ยวก่อน!]
เส้นแสงนี้ได้พุ่งตรงเข้าไปภายในถ้ำเหมือนกับน้ำท่วม
[เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว! อ๊ากกกกกกกก!]
เสียงกรีดร้องอันหวาดหวั่นได้ดังออกมา
***
ในเวลาเดียวกัน
ณ เขตพื้นที่เป็นกลาง กลุ่มคนห้าถึงหกคนได้รวมตัวกันมองดูหน้าจอที่แสดงถึงบทฝึกสอนอยู่
เมื่อตัดสินจากอาหาร และแอลกอฮอล์จำนวนมากแล้ว ภายในห้องที่ควรจะมีบรรยากาศอันครึกครื้น กลับเงียบกริบ
คนส่วนใหญ่ที่มองดูจอตรงหน้าต่างก็พูดไม่ออก
“ฉันอยากจะบ้าตาย”
โชฮงได้ยกมือปิดหน้า และตะโกนออกมา
“ดูสิ่งที่เขาทำลงไปสิ!”