ตอนที่ 288

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 288 – การเตรียมการ (9)

“ช่วยไม่ได้นี่”

คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างขมขื่น

“ตัวแทนคงจะคิดจะจบมันแบบบทฝึกสอนตามปกติ การฆ่าแก๊กกวี๊ในช่วงแรกจะทำให้ด่านที่เหลือเป็นเรื่องง่ายๆ”

“แต่ถึงแบบนั้น!”

“หากเป็นคุณโชฮงจะทำแบบไหนกันงั้นหรอ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้โชฮงก็เงียบไป พูดตามตรงแล้วที่เธอพูดแบบนี้ได้ก็เพราะว่าเธอรู้ดีถึงรายละเอียดทั้งหมดของบทฝึกสอนพิเศษ หากว่าเธอต้องเข้าร่วมโดยไม่มีความรู้ เธอจะทำยังไงล่ะ?

“…ผมก็เข้าใจ”

คาซุกิได้พูดออกมาอย่างสงบ

“หากว่าผมได้เจอกับบอสสุดท้ายแล้ว ผมก็อาจจะทำแบบเดียวกัน นี่เป็นวิธีที่ดี และยังมีแผ่นยันต์เหลืออยู่อีกด้วย”

เขาจะพยายามให้ได้รางวัลพิเศษก่อนที่จะไปช่วยผู้รอดชีวิตคนอื่น ยังไงแล้วก็ต้องทำให้มั่นใจว่าอึนยูริจะโดดเด่นเหนือคนอื่นในการล่าสมบัติ และพาคนไปที่เขตพื้นที่เป็นกลางให้มากที่สุดเพื่อให้ได้รับคะแนนเอาชีวิตรอดเพิ่มขึ้น

นี่มันเป็นแผนที่ไม่ค่อยมีจุดบอด แต่ปัญหาก็คือ…

“ชิ ชิ เขาดูถูกเหล่าเทพมากเกินไป”

อูเดรย์ บาสเลอร์ได้เดาะลิ้น จากนั้นก็เม้มปาก

“เทพผู้ยิ่งใหญ่ต้องคาดเดาถึงเรื่องแบบนี้เอาไว้ก่อนอยู่แล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้นบทฝึกสอนนี่ก็ซับซ้อนเกินไป ไม่ว่าจะเลือกทางไหน โอกาสที่ความยากจะเพิ่มขึ้นมาก็ครึ่งต่อครึ่งอยู่ดี ความแตกก็แค่จะมีขอบเขตแค่ไหนเท่านั้นเอง”

คิมฮันนาห์ได้อธิบายออกมาอย่างเชี่ยวชาญ

“แน่นอนเลยว่ามันยากกว่าบทฝึกสอนแบบปกติเป็นพันเท่า”

อูเดรย์ บาสเลอร์พยักไหล่ จากนั้นก็ถามออกมา

“แล้วมีกี่เงื่อนไขที่จะเพิ่มความยากเป็นสูงแบบนี้ล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ชูขึ้นมาสามนิ้วพร้อมตอบกลับมา

“ฟู่ว เขานี่มีพรสวรรค์จริงๆเลย”

อูเดรย์ บาสเลอร์ส่ายหัว

“จากเงื่อนไขมากมาย เขาเพิ่งจะชนเข้ากับเงื่อนไขที่เจอได้ยากที่สุดเลย”

“แล้วเขาเหลือแผ่นยันต์อยู่อีกกี่ใบล่ะ?”

โชฮงได้ถามขึ้นพร้อมทั้งเดินไปมา คิมฮันนาห์ได้หุบนิ้วลงเป็นชูสองนิ้ว

“สอง…”

โชฮงขมวดคิ้วขึ้น

“อ๊า สองแผ่นมันไม่พอสินะ? หากว่าเขาจะต้องใช้มันต้องมี…”

“ใช่แล้วล่ะ เขาจะต้องมีห้าใบ”

เมื่อได้ยินคำตอบอันแสนเย็นชาของคิมฮันนาห์ โชฮงก็ถึงกับกุมหัว

“คิคิ”

โอราฮีได้หัวเราะเยาะออกมา

“อืมม อืมม~”

เธอได้ม้วนผมพร้อมพูดเยาะเย้ยออกมา

“ดูเหมือนตัวแทนของเราจะทำอะไรเกินตัวไปหน่อยนะ แล้วนี่…”

จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกยิ้ม

“เขาซวยแล้ว”

***

พลังของแผ่นยันต์น่ากลัวมาก และผลของเวทย์ก็เกิดขึ้นในทันที ในเวลาครู่เดียวสีส้มก็ได้หายไป

[อ๊ากกก… อ๊ากกก…]

จากนั้นเมื่อควัน กับแสงสว่างผสมเข้าด้วยกัน และหายไป เสียงกรีดร้องเสียดหูก็หยุดลง สีเหลือที่ปกคลุมอยู่อีกครึ่งหนึ่งก็หายตามไปด้วย

‘สมกับเป็นแผ่นยันต์…’

ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ไปกันเถอะ จะมีอะไรอยู่ข้างในกันนะ?”

อึนยูริได้รีบวิ่งตามซอลจีฮูเข้าไป

ภายในถ้ำนั้นค่อนข้างจะน่าขนลุก ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึก พวกเขาก็จะเห็นแสงไฟสลัวๆส่องออกมาในความมืด รวมถึงความหนาวเย็นก็มากยิ่งขึ้นด้วย

ซอลจีฮูได้เดินต่อไปทั้งๆที่หายใจออกมาเป็นไอน้ำแล้ว จนกระทั่งเมื่อมาถึงพื้นที่เปิดกว้าง เขาก็หยุดลง ภาพตรงหน้าได้เผยขึ้นจนทำให้เขาส่งเสียงอุทานเบาๆ

ตรงกลางของห้องขนาด 40 เมตรมีแท่นบูชาที่ถูกสร้างขึ้นจากหินอยู่ ที่ด้านซ้ายของแท่นบูชามีรูปสลักไม้กางเขนซึ่งมีร่างเปลือยเปล่าอันงดงามที่มีผมสีน้ำเงินถูกแขวนเอาไว้

ยังไงก็ตามสิ่งที่น่าตกใจกลับไม่ใช่สิ่งนี้

ศพแห้ง มีศพแห่งอยู่รอบแท่นบูชาอยู่นับสิบ มีบางศพที่ยังไม่ได้กลายเป็นศพแห้ง แต่ว่าต่างก็ถูกทิ้งเอาไว้เกลื่อนรอบแท่นบูชาเหมือนเป็นขยะ

ไม่ต้องพูดก็บอกได้เลยว่าศพและมัมมี่เหล่านี้คือผู้รอดชีวิต ถึงบทฝึกสอนจะเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน แต่จำนวนผู้เสียชีวิตก็เกือบจะถึงหนึ่งในสามแล้ว

‘พวกเขาส่วนใหญ่คงจะตายไปที่ลานกว้างสินะ’

นี่มันก็เป็นธรรมดาในเมื่อตั้งแต่เริ่มก็มีคนตายไปแล้วสี่คน และยังมีฆาตกรอยู่ตั้งห้าคนอีกด้วย

ซอลจีฮูได้ละสายตามาจากศพ และหันมามองที่ร่างที่ถูกแขวน มีเถาวัลย์พันอยู่รอบตัวหญิงสาวหลวมๆ บริเวณแขน และขาของเธออย่างละข้างต่างก็ห้อยลงมา และมีเพียงแค่คอกับท้องเท่านั้นที่มีเถาวัลย์รัดร่างเอาไว้แน่น

ในตอนแรกเถาวัลย์รอบแขนกับขาคงจะถูกมัดเอาไว้แน่นอย่างแน่นอน แต่ด้วยบางอย่างอาจจะทำให้มันหลวมออกมา

‘เธอบอกว่าผู้รอดชีวิตเป็นเครื่องสังเวย?’

แม่คนที่หกบอกว่าเธอแค่ต้องการเวลาอีกคิด มันอาจจะเป็นไปได้ว่าการบูชายัญจะทำให้เถาวัลย์หลวมออกมา และปล่อยเธอเป็นอิสระ หากว่านักเวทย์มืดหลุดออกมาได้จะเกิดอะไรขึ้นกัน?

‘เกือบไปแล้ว’

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังรู้สึกโล่งใจที่รู้ตัวก่อน…

[อึก..!]

หญิงสาวที่ถูกแขวนได้ครางออกมา และบิดคอ ซอลจีฮูได้รีบยกมีดยาวขึ้นทันที

‘เธอยังไม่ตายหรอ?’

รูม่านตาของเธอดำสนิทไร้ซึ่งสีขาว และมีเลือดไหลลงมาจากเบ้าตาของเธอจะทำให้เธอดูน่ากลัว ถึงแม้เธอจะมีความงดงามเป็นอย่างมาก แต่ว่าด้วยความชั่วร้ายที่ปะทุจากสายตาเธอได้กลบความงดงามไว้จนมิด

[บ้า… บ้าเอ้ย!]

[ได้ยังไงกัน!? นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน!? ความปรารถนาของฉันเกือบจะกลายเป็นจริงแล้ว…!]

น้ำเสียงที่ดูชั่วร้ายไม่เข้ากับใบหน้าของหญิงสาวได้ดังก้องอยู่ในห้อง

[ทั้งหมดเพราะยัยนี่! หากว่าไม่ใช่เธอ..! หากว่าวิญญาณฉันไม่ได้ถูกขังอยู่ในร่างยัยนี่…!]

เสียงร้องโหยหวนได้ดังก้องไปทั้งถ้ำ

[ฉะ ฉันจะไม่ยอมสลายไปทั้งแบบนี้!]

[ฉันรอมานาน…!]

หญิงสาวดูจะพยายามดิ้นรน และหนึ่งในศพที่ยังไม่แห้งก็ถูกทำให้แห้งในทันที

ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น

‘ก็คิดอยู่ว่าเธอรอดได้ยังไงกัน…’

ดูเหมือนว่าเธอจะยื้อชีวิตตัวเองเอาไว้ได้การดูดซับพลังของผู้รอดชีวิตในห้องนี้ ซอลจีฮูที่ยอมให้เธอรักษาตัวเองไม่ได้ ได้รีบสร้างหอกมานาขึ้นทันที

[อ๊ะ!]

เมื่อเห็นหอกสีทองเป็นประกายสายฟ้า สีหน้าหญิงสาวก็บิดเบี้ยวไป

[นี่มันไม่ยุติธรรม…!]

[ฉันจะสาปแช่งแก! ฉันขอสาปแช่งแก!]

ซอลจีฮูได้ขว้างหอกมานาออกไปโดยไม่ลังเล

[ลูกฉัน! แก้แค้น…!]

ฉั๊วะ! ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันพูดจบ หัวของเธอก็ระเบิดไปแล้ว ในเวลาเดียวกันร่างกายของเธอก็เปล่งแสงซีดออกมาก่อนที่จะถูกแช่แข็งไปอย่างสิ้นเชิง ซ่าาห์ หลังจากนั้นก็สลายกลายไปเป็นฝุ่นผง

ตื๊ดดด! เมื่อเถาวัลย์ที่พันร่างหญิงสาวตกลงมา โทรศัพท์ของอึนยูริก็สั่นขึ้น

[ผู้ส่ง: นิรนาม]
ถ้ำ (สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนาม – หน้า 68)

หลังจากดูจำนวนหน้าแล้ว ซอลจีฮูก็ผงะไปเล็กน้อย การค้นพบถ้ำนี้ทำให้พวกเขาข้ามไปถึง 38 หน้า

‘ทำไมมันห่างกันขนาดนี้?’

ในที่สุด! ในที่สุดแม่ที่หกก็ถูกกำจัดแล้ว!

ฉันได้มองไปที่ศพบนแท่นบูชาด้วยความขมขื่น พรรคพวกของเราที่หายตัวไป และคนที่เข้ามาในถ้ำต่างก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่

ฉันได้หลบตาลงไป คำสาปอันอาฆาตแค้นของแม่ที่หกยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน

ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ก่อนจะออกไปจากถ้ำ ฉันก็ได้หันกลับไปมองอีกครั้ง ร่างที่ถูกแขวนเอาไว้ของแม่ที่หกยังคงอยู่ที่นั่น

…คำว่า ‘ไม่ยุติธรรม’ ที่เธอพูดหมายถึงอะไรกัน? แล้วเป้าหมายของแม่ที่หกคืออะไร?

‘เป้าหมาย?’

ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมา มีบางอย่างบนแท่นบูชาที่เขาเพิ่งจะเห็น

‘น้ำแข็ง’

พอมองดูดีๆแล้ว เขาก็เห็นดอกไม้น้ำแข็งที่กำลังปล่อยความหนาวเย็นออกมา ยิ่งเมื่อเห็นอัญมณีโปร่งใสที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายในกลีบดอกแล้ว ซอลจีฮูก็เปิดใช้งานนพเนตร

[แก่นแท้น้ำแข็ง]

แก่นแท้ของพลังชำระล้างปีศาจ

ครั้งหนึ่งปรมาจารย์นักเวทย์มืดได้ผสานพลังงานแห่งสุดขั้วเข้าด้วยกันด้วยความหวังที่ว่าการทดลองนี้จะส่งผลย้อนกลับให้เกิดการขัดแย้งของพลังงานจนเกิดเป็นเส้นทางใหม่ แต่สุดท้ายแล้วการทดลองนี้ก็ล้มเหลว

นักเวทย์มืดได้สูญเสียร่างกาย และวิญญาณของเธอก็ถูกขังเอาไว้ในร่างของผู้ใช้พลังต่อต้านปีศาจ

แม้ว่าหลังจากถูกผลึกอยู่เป็นเวลานานแล้ว แก่นแท้น้ำแข็งก็ยังไม่ได้สูญเเสียความบริสุทธิ์ไป ถึงมันจะไม่ได้มีพลังทำลายล้างเท่ากับแก่นแท้สายฟ้า หรือมีความยืดหยุ่นเหมือนกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่แก่นแท้น้ำแข็งก็มีพลังในการเยือกแข็งที่สามารถจะแช่แข็งได้ทั้งโลก

หลังจากที่อ่านคำอธิบายจบซอลจีฮูก็ต้องอ้าปากค้าง

‘น่าทึ่ง’

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอเข้ากับแก่นแท้แห่งพลัง ซอยูฮุยได้บกเอาไว้ว่าเธอจะต้องลำบากอย่างมากกว่าจะได้แก่นแท้แห่งพลังมาให้ซอลจีฮูได้สักชิ้น และนี่ก็เป็นของที่ล้ำค่ามาก

นี่สินะที่เรียกกันว่าผจญโชคลาภ ถึงแม้ว่าแก่นแท้จะยังติดอยู่ในน้ำแข็ง แต่ซอลจีฮูก็รู้ว่าควรจะสกัดมันออกมาอย่างไร

‘เนื่องจากว่ามันไวต่อการกระตุ้นจากภายนอก ฉันจะต้องระวังกับการจัดการมัน…’

“คุณอึนยูริ”

หลังจากคว้าดอกไม้น้ำแข็ง ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา

“คุณโชคดีมาก”

“?”

อึนยูริได้แต่เอียงหัวออกมา แต่ก็ยังกล่าวแสดงความยินดีกับซอลจีฮู

“ยินดีด้วยนะคะ”

“หืม? คุณพูดเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่นเลยนะครับ คุณไม่ต้องการมันหรอ?”

“หืม? ไม่ใช่-“

“ของทั้งหมดที่ได้รับมาระหว่างบทฝึกสอนกับเขตพื้นที่เป็นกลางจะเป็นของผู้เชิญ ผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราตัดสินใจกันมาแล้ว แต่ว่า- ผมมีแก่นแท้แห่งพลังอยู่แล้ว”

อึนยูริได้พยักหน้าอย่างสงบ ตัดสินจากดวงตาที่เป็นประกายของเธอ เธอดูจะสนใจอยู่

“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทำ”

ซอลจีฮูได้ขยิบตาออกมา ในเวลานั้นเขาก็ได้ตัดสินใจย้ำเตือนขึ้นอีกครั้งไปด้วย

“โอ้ จริงสิ อย่าลืมเก็บแผ่นยันต์เอาไว้ด้วย เมื่อกี้เราเพิ่งจะใช้ไปหนึ่งแผ่นเพราะไม่มีทางเลือก แต่ว่าเรายังต้องเก็บไว้หนึ่งแผ่นสำหรับเขตพื้นที่เป็นกลาง”

อึนยูริได้รีบกระพริบตาพร้อมพึมพำ “อ่อ นั่นเอาไว้สำหรับภารกิจที่เป็นไปไม่ได้?”

“โอ้? น่าแปลกที่คุณเดาได้ถูกเลย”

“นี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันคิดได้แล้ว”

เมื่อพูดจบ อึนยูริก็เลียริมฝีปากพร้อมมองไปรอบๆ

“จริงสิ ด้วยแผ่นยันต์นี่…”

เธอได้ยิ้มออกมาพร้อมเว้นช่วงคำพูด นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ซอลจีฮูเห็นเธอยิ้ม ครั้งแรกคือในตอนที่พวกเขาเจอกันในช่วงเริ่มต้นของบทฝึกสอน

“ได้ค่ะ ฉันก็สงสัยอยู่เลย นี่มันเยี่ยมมาก”

อึนยูริได้สาบานอย่างยินดี

“ฉันจะไม่ใช่แผ่นยันต์อีกสองใบที่เหลือ”

“ไม่ครับ ในเมื่อเรามีเหลืออีกสองแผ่น เราสามารถจะใช้ได้แผ่นหนึ่ง”

“คือว่าฉันก็มีแผ่นจะใช้แผ่นหนึ่งเหมือนกัน”

“…ไว้สำหรับอะไรหรอครับ?”

“คือว่านะ…”

เมื่ออึนยูริได้อธิบายออกมาสั้นๆ ซอลจีฮูก็อ้าปากค้าง เขาไม่เคยคิดถึงวิธีแบบนี้มาก่อนเลย

“คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม?”

“อืมม…”

ซอลจีฮูได้ตะกุกตะกักพร้อมทั้งจ้องมองอึนยูริ สิ่งเดียวที่เขาหวังจากอึนยูริคือคลาสนักเวทย์ แต่นี่…

‘เธอมาจากที่ไหนกัน?’

ความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่สิ เปลี่ยนไปมาก

อึนยูริที่ตีความความเงียบในทางที่ผิดได้รีบพูดต่อ

“แน่นอนว่ามันอาจจะทำได้โดยไม่ต้องใช้แผ่นยันต์ แต่ว่าเราก็มั่นใจไม่ได้ ทำให้มั่นใจจะดีกว่า”

“ครับ เอาให้มั่นใจก็ดีกว่า ทำตามใจเถอะ ผมเห็นด้วยเลย”

ซอลจีฮูก็เห็นด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะอยากคุยกับเธออีกหน่อย แต่ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอยู่ การพูดคุยไว้ค่อยหลังจากนั้น

“ยังไงเราไปดูรอบๆอีกสักหน่อยไหม?”

ทั้งคู่ได้ค้นรอบเถาวัลย์ และไม้กางเขน ยังไงก็ตามมันไม่มีอะไรอยู่ภายในห้องนี้อีกแล้ว จะมีก็แค่น้ำยารักษาที่อยู่ในกระเป๋านักของผู้รอดชีวิตที่ตายไปแล้ว

ในตอนนั้นเองอึนยูริก็เจอบางอย่าง

“คนๆนี้… เขายังหายใจอยู่”

ใต้แท่นบูชามีผู้รอดชีวิตที่ยังไม่กลายเป็นศพแห้งอยู่ เขาเป็นคนตัวผอมเตี้ย ถึงแม้ว่าจะมีเลือดไหลจากหัว แต่เขาก็ยังหายใจอย่างแผ่วเบา

“ดูจะโชคดีนะ”

ซอลจีฮูได้ราดน้ำยารักษาลงบนร่างของเขา ก่อนจะยกเขาขึ้นมา ในตอนนี้พวกเขาได้รับรางวัลพิเศษมาแล้ว การช่วยผู้รอดชีวิตที่เหลือจะเป็นประโยชน์กับพวกเขาที่สุด

‘ฉันก็ควรที่จะกำจัดฆาตกรได้ตามสบายแล้วด้วยเหมือนกัน’

ในเมื่อแม่ที่หกถูกกำจัดไปแล้ว ฆาตกรที่เหลือก็ไม่น่าจะแกร่งขึ้นได้อีก ซอลจีฮูได้เดินไปที่ทางออกจากถ้ำด้วยท่าทีไร้กังวล

“ตอนนี้เราควรจะกลับไปที่กระท่อมกันดีไหมคะ?”

“ไปช่วยคนที่เราซ่อนไว้สินะ?”

“ค่ะ ถึงเราจะไม่มั่นใจว่าเขายังรอดอยู่ไหมก็ตามที”

ทั้งคู่ได้รีบเดินออกไปจากถ้ำ