ในเวลานี้ นางยินดีเติมเชื้อไฟลงไปในกองเพลิงอีกครั้ง
แม่นมเจิ้งพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ทราบว่า ไทเฮากับฮองเฮาเคยเข้าฝันพระองค์หรือไม่ ทว่าเหล่าพระนางเข้าฝันบ่าวหลายต่อหลายครั้ง บอกว่าพวกท่านคิดถึงไท่จื่อยิ่งนักเพคะ ทั้งยังบอกอีกว่า… พวกท่านจะรอให้ไท่จื่อมีบุตรธิดาสืบทอดราชวงศ์ ผลิดอกออกผลจากรุ่นสู่รุ่น! ”
แม่นมเจิ้งขมวดคิ้วพูดสำทับอีกว่า “แต่… ไท่จื่อเพคะ ไม่ทราบเพราะเหตุใด ไทเฮากับฮองเฮาดูไม่มีความสุขเท่าใดนัก! ทั้งยังมีหวาหรงจวิ้นจู่อีก นางบอกว่าฮองเฮาอยู่ที่พระราชพิธีพระศพ เฝ้าตามหาท่านอยู่นาน แต่ไม่พบท่านเลย นางยังถามบ่าวอีกว่า ไท่จื่อไปไหน พระองค์คิดว่า เมื่อบ่าวพบพวกนางทั้งสองอีกครั้ง บ่าวควรบอกพวกนางอย่างไรดีเพคะ? ”
เยี่ยเซินอยู่บนแท่นบรรทม เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบไหลออกมาจากหน้าผาก ช่วงล่างยังคงสั่นไม่หยุด เขาจ้องเขม็งมาที่แม่นมเจิ้ง
“แม่นมเจิ้ง เจ้า… เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” แม่นมเจิ้งเงยหน้าขึ้นหัวเราะคำโต “ไท่จื่อ บ่าวมาตามหาท่านตามรับสั่งของไทเฮา ฮองเฮา และหวาหรงจวิ้นจู่เพคะ! ”
“เจ้าคิดจะเล่นลูกไม้อันใด พวกนางสิ้นพระชนม์กันหมดแล้ว! ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” แม่นมเจิ้งหัวเราะเสียงดังอย่างมีความนัยแอบแฝง นางจ้องใบหน้าเยี่ยเซินโดยไม่ละสายตา ทว่าไม่พูดอันใด
เยี่ยเซินรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “เจ้าหัวเราะอันใด? ”
“บ่าวหัวเราะ… ” แม่นมเจิ้งลากเสียงยาวพลันหันไปมองซูเซียนฮุ่ยที่หลบอยู่ในผ้าห่มข้างกายเยี่ยเซินด้วยความตกใจและอับอาย “เห็นใบหน้าแม่นางซีดเซียว บ่าวคาดว่าไท่จื่อคงไม่ได้กลับตำหนักบูรพาตลอดทั้งคืน ทั้งยังนอนคลอเคลียอยู่กับนางทั้งคืนใช่หรือไม่? ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไท่จื่อไม่กลัวไทเฮากับฮองเฮาจะตำหนิท่านที่ไม่เคารพวิถีแห่งความกตัญญู ทั้งยังกระทำการไม่บริสุทธ์กับนางหรือเพคะ? ”
แม่นมเจิ้งพูดพลางแสดงสีหน้าสำทับได้อย่างเหมาะสม ภายในพระราชวัง เรื่องกระทำการอกตัญญูในพระราชพิธีพระศพเป็นเรื่องต้องห้ามมากที่สุด
เมื่อครู่แม่นมเจิ้งพบว่า เยี่ยเซินตกใจไม่น้อย อีกทั้งในเวลานี้ร่างกายส่วนล่างของเขาก็ผิดปกติ เยี่ยเซินได้ยินแม่นมเจิ้งพูดเช่นนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกสันหลังเย็นวาบ เขาหันไปมองซูเซียนฮุ่ยที่อยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้นางมีใบหน้างดงาม มีเสน่ห์ และดูเขินอายเล็กน้อย ทว่าในเวลานี้กลับมีใบหน้าหมองคล้ำราวกับภูตผี
เยี่ยเซินรีบสวมกางเกงและเสื้อ ก่อนจะกระโดดลงจากเตียง ซูเซียนฮุ่ยไม่สนใจว่าเรือนร่างของนางจะมีเสื้อผ้าน้อยชิ้น นางคว้าแขนเสื้อของเยี่ยเซิน พลางร้องเรียกด้วยเสียงออดอ้อน “ไท่จื่อ… ”
“ออกไปให้พ้น! ” เยี่ยเซินผลักซูเซียนฮุ่ยกระแทกขอบเตียงจนนางแทบหมดสติ
แม่นมเจิ้งที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ภายในใจมีความสุขยิ่งนัก
“นางมารร้าย เจ้าเป็นใครมาจากไหน? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เจ้าตั้งใจพูดจาก่อกวนไท่จื่อของข้า เจ้ามีแผนการอันใดกันแน่? ” ซูเซียนฮุ่ยชี้หน้าพูดกับแม่นมเจิ้ง
เยี่ยเซินจัดแจงแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินคำว่าก่อกวน เขาจึงได้สติกลับมา
เขาเพิ่งตระหนักว่า คำพูดของแม่นมเจิ้งเมื่อครู่นี้เพียงต้องการก่อกวนและยั่วยุเท่านั้น อีกทั้งเวลานี้เขารู้สึกว่าช่วงล่างของตนผิดปกติ ไม่รู้ต่อไปยังสามารถทำกิจบนเตียงได้อีกหรือไม่ เมื่อครู่ที่อยู่บนเตียง เขาใช้พลังภายในปรับสมดุลอยู่พักใหญ่ ทว่ายังไร้ผล
หากในอนาคตเขาเกิดโรคอันใด ล้วนเป็นเพราะการกระทำของบ่าวที่ไม่รู้จักที่ตายนางนี้ทั้งสิ้น
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ จู่ๆ เยี่ยเซินก็หันมามองแม่นมเจิ้งด้วยสายตาเย็นชา ทั้งยังเผยไอสังหารเข้มข้น
แม่นมเจิ้งตกใจ นางมีท่าทีระแวดระวัง พลางก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้าโดยไม่กล้าละสายตาจากเขา
ที่นางบุ่มบ่ามออกมาเมื่อครู่นั้น นางใส่ใจเพียงแค่ทำตามเป้าหมายที่คิดไว้ให้สำเร็จ แต่กลับลืมไปเสียสนิทว่า เยี่ยเซินเป็นวรยุทธ์ ส่วนนางไม่เป็นวรยุทธ์แม้แต่น้อย หากเยี่ยเซินคิดสังหารนาง เขาย่อมสังหารนางได้เหมือนบี้มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า ไท่จื่อ พระโกศของฮองเฮายังอยู่ที่ตำหนักจ้งหวา! อีกทั้งเพิ่งเสร็จพระราชพิธีของไทเฮาไปได้ไม่นาน วันนี้สองมือของพระองค์ไม่ควรแปดเปื้อนเลือดกระมัง? พระองค์ไม่ทรงเกรงกลัวหรือว่า การกระทำที่อกตัญญูและขาดศีลธรรมเช่นนี้ อาจทำให้จิตใจของพระองค์ต้องทุกข์ร้อน ทั้งยังเป็นการทำลายบุญกุศลที่สั่งสมมามากเพียงใด ต่อไปพระองค์จะมีวาสนาได้ขึ้นครองราชย์หรือเพคะ? ” แม่นมเจิ้งรวบรวมความกล้าพูดออกไปด้วยรอยยิ้มเจื่อน
แววตาของเยี่ยเซินถมึงทึง เขายกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “สังหารบ่าวรับใช้ที่มีความผิดติดตัวอย่างเจ้า ย่อมเป็นหลักการที่ถูกต้อง นอกจากนั้น ที่ข้ารักใคร่และเอ็นดูซูเซียนฮุ่ยก็เพื่อสืบเชื้อสายราชวงศ์ต่อไป จะเป็นการอกตัญญูและขาดศีลธรรมได้อย่างไร เป็นการทำลายบุญกุศลที่สั่งสมมาอย่างที่เจ้าพูดได้อย่างไร? ”
ขณะที่พูด เยี่ยเซินก็พุ่งเข้าไปหาแม่นมเจิ้งอย่างรวดเร็ว และบีบคอแม่นมเจิ้งด้วยความรุนแรง
แม่นมเจิ้งพยายามดึงรั้งมือของเยี่ยเซิน ดวงตาของนางเบิกกว้างมองเยี่ยเซิน พลางดิ้นรนเอาตัวรอดสุดชีวิต นางพยายามพูดอันใดบางอย่าง ทว่าไม่สามารถพูดออกมาได้
แม่นมจูที่หลบอยู่ในเส้นทางลับตกใจมากจนร้องอุทานออกมา ฮองเฮารีบเข้าไปปิดปากของแม่นมจูทันที
ทว่าสายไปเสียแล้ว
“ผู้ใด? ” เยี่ยเซินตะโกนไปทางเส้นทางลับนั้น
แม่นมจูกับฮองเฮาตกใจกลัวสุดขีด
“ยังไม่ออกมาอีก! หากไม่ออกมา ข้าจะสังหารนางเดี๋ยวนี้”
มือทั้งสองของเยี่ยเซินส่งพลังบีบไปที่ลำคอของแม่นมเจิ้งมากขึ้น เขายกตัวแม่นมเจิ้งขึ้นจนขาทั้งสองลอยจากพื้น ทั้งตัวของนางลอยขึ้นกลางอากาศ
อย่างไรเสีย นางก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันมาค่อนชีวิต แม่นมจูมองแม่นมเจิ้งที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิต พลางส่ายศีรษะไม่หยุด ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ทว่าปากของนางยังถูกฮองเฮายกมือปิดไว้ จึงไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
“ไม่ออกมาใช่หรือไม่? หากไม่ออกมา ข้าจะสังหารบ่าวนางนี้ก่อน จากนั้นจะเข้าไปสังหารเจ้าอีกคน” เยี่ยเซินพูดกดดันอีกครั้ง
ในความเป็นจริง เยี่ยเซินสามารถกระทำอย่างที่เขาพูดไว้ได้ทั้งหมด สังหารแม่นมเจิ้งก่อน จากนั้นก็เข้าไปในเส้นทางลับ ทว่าเขายังรอบคอบระมัดระวัง
ฝ่ายตรงข้ามอยู่ในที่มืด เขาอยู่ในที่แจ้ง ไม่รู้ว่าในเส้นทางลับจะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง เขาไม่มีทางบุ่มบ่ามเข้าไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน
“เซินเอ๋อร์… ”
ขณะที่เยี่ยเซินกำลังจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง เสียงของฮองเฮาก็ดังออกมาจากเส้นทางลับ
พระมารดาของเขาสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ฮองเฮาเป็นผู้ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เสียงนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ทว่าเป็นไปไม่ได้???
เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว!
เป็นไปไม่ได้ เขาต้องหูฝาดแน่นอน!!
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ” เยี่ยเซินถามออกไปด้วยใบหน้าซีดเผือด
“เซินเอ๋อร์ มารดาชุบเลี้ยงเจ้ามาหลายปี แม้แต่เสียงของมารดา เจ้ายังจำไม่ได้อีกหรือ? ” ฮองเฮาพูดพลางทำผมเผ้ารุงรังปกปิดใบหน้า ก่อนจะเดินออกมาจากเส้นทางลับด้านในด้วยแววตาสงบนิ่ง
“เสด็จ… เสด็จแม่? ”
เมื่อพบกับฮองเฮา เยี่ยเซินก็ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เขารีบปล่อยตัวแม่นมเจิ้งและก้าวถอยหลังออกไป
ในขณะเดียวกัน แม่นมเจิ้งที่ถูกโยนลงบนพื้นก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทว่าเมื่อเห็นฮองเฮาทำผมเผ้ารุงรังเดินออกมา นางก็รู้เจตนาของฮองเฮาทันที
แม้เวลานี้นางจะพูดค่อนข้างลำบาก ทว่านางยังเสแสร้งแสดงละครกับฮองเฮาได้เป็นอย่างดี นางทำท่าทางตกใจจนออกนอกหน้า “ฮอง… ฮองเฮา? บ่าว… บ่าว… ไม่ได้ทำอันใดเลยเพคะ เป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นคนร้ายต้องชดใช้กรรม [1] ไท่จื่อไม่เคารพกฎระหว่างไว้ทุกข์ ผู้ที่ทำให้ท่านอยู่ไม่เป็นสุขในปรโลกคือไท่จื่อ ผู้ที่พระองค์ต้องตามหาคือไท่จื่อ อย่าลากบ่าวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลยเพคะ! ”
อย่างไรเสีย เยี่ยเซินก็เป็นคนที่ทำเรื่องผิดประเพณีจริงๆ เขารู้ว่าตนเองทำผิด กอปรกับร่างกายช่วงล่างที่ไม่ปกตินัก จึงไม่สามารถรวบรวมสติแยกแยะเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าว่าจริงหรือเท็จ เขาตกใจยิ่งนัก
ทว่าซูเซียนฮุ่ยที่อยู่บนเตียงคงสติไว้ได้ดีมาก ดวงตางดงามทั้งสองของนางเหลือบไปเห็นเงาด้านหลังของฮองเฮา นางจึงพูดว่า “ไท่จื่อ ฮองเฮาไม่ใช่ดวงวิญญาณ นางมีเงาเพคะ”
……
เชิงอรรถ
[1] เป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นคนร้ายต้องชดใช้กรรม สุภาษิตจีน มีความหมายทำนองว่า กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา เป็นคำอุปมาว่า ต้องหาบุคคลที่รับผิดชอบในการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้น