เล่ม 10 เล่มที่ 10 ตอนที่ 276 เปิดเผยการปลอมตัวของเจ้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เมื่อเยี่ยเซินมองดูที่พื้น ก็เห็นเงาของฮองเฮาได้อย่างชัดเจน

ใบหน้าหวาดกลัวพลันสลายไปในทันที เขามองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นชา “เสด็จแม่… เสด็จแม่ยังไม่ตาย? ”

ฮองเฮาถอยไปด้านหลังสองก้าว “เซินเอ๋อร์… เจ้า… เจ้าคิดจะทำอันใด? ”

ดวงตาของเยี่ยเซินเต็มไปด้วยไอสังหาร เขาเดินเข้าไปหาฮองเฮาทีละก้าว “เสด็จแม่… ที่แท้เสด็จแม่ยังไม่ตายใช่หรือไม่? เสด็จแม่หลอกลวงทุกคน”

ฮองเฮาถูกเยี่ยเซินกดดันจนก้าวถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว สุดท้ายก็ถอยจนหลังติดกำแพง ไม่สามารถถอยไปได้อีก ทว่านางกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย

“เยี่ยเซิน ตอนนี้ราชสำนักเป็นของโยวอ๋อง แคว้นจงหนิงเป็นของโยวอ๋อง หากเจ้าฆ่าพวกเรา เจ้าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

แววตาชั่วร้ายของเยี่ยเซินมองฮองเฮาด้วยความกระวนกระวายใจ “หุบปาก! เสด็จแม่ยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ อย่างไรก็ตาม ท่านก็เป็นถึงฮองเฮา ท่านทำเรื่องต่ำช้ามากมายได้อย่างไร ตอนนี้ยังสมรู้ร่วมคิดกับคนนอก หลอกลวงผู้คนใต้หล้า แม้ข้าไม่มีอำนาจในราชสำนัก ทว่าวันนี้พวกท่านก็อย่าคิดจะมีชีวิตรอดออกไป”

เยี่ยเซินพูดพลางเดินไปด้านหน้าฮองเฮา เขาบีบคอฮองเฮาอย่างรุนแรง และยกนางจนร่างลอยขึ้นกลางอากาศ

สองมือ สองขาของฮองเฮาพยายามตะกายดิ้นรนกลางอากาศอย่างสุดชีวิต ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ พูดอันใดไม่ออก

ทันใดนั้น แม่นมเจิ้งก็ฉุกคิดอันใดขึ้นมาได้ นางตะโกนพูดกับเยี่ยเซินว่า “ไท่จื่อ ฮองเฮาเป็นคนที่พระชายาโยวอ๋องต้องการ การกระทำของพวกเราทั้งหมดในวันนี้ พระชายาล้วนรับรู้ หากวันนี้ก่อนฟ้ามืด พระชายายังไม่เห็นบ่าวพาฮองเฮากลับไป นางต้องเกิดความสงสัยเป็นแน่ ถึงเวลานั้น เพียงพระชายาตรวจสอบดูก็จะทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จากความเฉลียวฉลาดของพระชายา คงตรวจสอบได้ไม่ยากว่าร่องรอยของพวกเราเกี่ยวข้องกับไท่จื่อ”

ซูจิ่นซี?

เมื่อพูดถึงซูจิ่นซี ดวงตาของเยี่ยเซินก็ปรากฏความซับซ้อนอย่างมาก

แม่นมเจิ้งพูดต่ออีกว่า “มิสู้ไท่จื่อกับพวกเรามาทำข้อตกลงกัน วันนี้ท่านปล่อยพวกบ่าวไป สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกบ่าวล้วนไม่ได้ยินอันใดและไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น เป็นอย่างไร? นอกจากจะไว้ชีวิตบ่าวและฮองเฮาแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาให้ไท่จื่อด้วยนะเพคะ”

แม่นมเจิ้งพูดพลางส่งสายให้แม่นมจูที่ยืนอยู่ด้านข้าง แม่นมจูหยิบก้อนอิฐสีเขียวก้อนหนึ่ง ค่อยๆ ย่องออกมาจากเส้นทางลับ

นางพูดถึงซูจิ่นซีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเยี่ยเซินชั่วคราว กลับนึกไม่ถึงว่าจะใช้ได้ผล

“ซูจิ่นซี? พวกเจ้าเป็นคนที่ซูจิ่นซีส่งมาหรือ? ยังมีเสด็จแม่อีกคน… ” เยี่ยเซินมองไปยังฮองเฮาที่ถูกเขาจับไว้ในมือ “เรื่องที่เสด็จแม่แสร้งตาย ก็เป็นแผนการของซูจิ่นซีหรือ? ”

เมื่อเยี่ยเซินไม่มีสมาธิ แรงที่มือก็ผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว ฮองเฮาจึงสามารถส่งเสียงได้อีกครั้ง

“หึ! เยี่ยเซิน หากวันนี้เจ้ากล้าสังหารพวกเรา ทำลายแผนการของซูจิ่นซี สะพานเชื่อมระหว่างเจ้ากับนางคงปรากฏรอยแยกที่ลึกเกินหยั่ง ต่อไปหากเจ้าต้องการใจของนาง เกรงว่าจะยากมากขึ้น”

แม่นมเจิ้งไม่รู้ความคิดของเยี่ยเซินที่มีต่อซูจิ่นซี ทว่าสุดท้ายแล้ว เยี่ยเซินคือผู้ที่ฮองเฮาเลี้ยงดูมาจนโต ความคิดของเขาเป็นอย่างไร ฮองเฮาย่อมรู้ดีที่สุด

หลังจากที่ฮองเฮาพูดจบ แววตาของเยี่ยเซินก็ปรากฏความลังเลขึ้นมาทันที

เวลานี้เป็นโอกาสเหมาะที่สุดให้แม่นมจูลงมือ แม่นมเจิ้งมองไปทางแม่นมจูแล้วพยักหน้า แม่นมจูรีบออกมาจากเส้นทางลับ นางใช้อิฐสีเขียวที่อยู่ในมือตีไปที่ศีรษะของเยี่ยเซินอย่างรุนแรง

แววตาของเยี่ยเซินเลื่อนลอยด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะล้มลงไปกับพื้น โดยไม่มีโอกาสหันกลับไปมองว่า ผู้ที่ลงมือกับเขาจากทางด้านหลังเป็นผู้ใด

“ฮองเฮา รีบหนีไปเพคะ! ”

แม่นมจูคว้ามือของฮองเฮาพาวิ่งออกไปด้านนอก แต่แม่นมเจิ้งยังไม่ลืมว่ามีซูเซียนฮุ่ยอีกคนหนึ่ง

“เดี๋ยวก่อน! ” แม่นมเจิ้งพูด

แม่นมจูกับฮองเฮาที่วิ่งมาถึงหน้าประตูพลันหยุดลงทันที เมื่อหันหลังกลับไป ก็เห็นแม่นมเจิ้งถกแขนเสื้อขึ้นและเดินเข้าไปหาซูเซียนฮุ่ยที่อยู่บนเตียงอย่างเชื่องช้า

เรื่องเมื่อครู่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซูเซียนฮุ่ยยังไม่ทันแต่งกายให้เรียบร้อย ทั้งเสื้อผ้ายังยุ่งเหยิง นางทำเพียงกุมเสื้อผ้าไว้แน่น และมองไปที่แม่นมเจิ้งด้วยสีหน้าหวาดกลัว พลางพูดว่า “เจ้า… เจ้าคิดจะทำอันใด? ”

“ทำอันใดหรือ? ” แม่นมเจิ้งยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “นางแพศยาอย่างเจ้า คิดจะทำร้ายพระชายาโยวอ๋องตั้งหลายครั้งหลายครา เจ้าว่า… หากข้าจับตัวเจ้ากลับไปมอบให้พระชายาโยวอ๋อง ท่านจะจัดการกับเจ้าอย่างไร? ”

ซูจิ่นซีหักขาทั้งสองของนางไปแล้ว ทั้งนางยังหลบหนีออกจากจวนอีก หากกลับไปอยู่ในเงื้อมมือของซูจิ่นซีอีกครั้ง ซูจิ่นซีต้องไม่ปล่อยนางไปโดยง่ายเป็นแน่

ซูเซียนฮุ่ยค่อยๆ เบียดตัวเข้ามุมกำแพง แล้วพูดว่า “เจ้า… เจ้าอย่ามายุ่ง ข้าขอบอกเจ้า… ข้าเป็นคนของไท่จื่อแล้ว หากพวกเจ้ากล้าทำอันใดกับข้า ไท่จื่อต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

“เหอะ! ” แม่นมเจิ้งกล่าวอย่างเหยียดหยามอีกครั้งว่า “ข้าอดใจตีเจ้าไม่ไหวจริงๆ หญิงสำส่อนอย่างเจ้าช่างไร้ยางอาย เมื่อครู่ไท่จื่อทำกับเจ้าเช่นนั้น และยังบาดแผลบนตัวเจ้าอีก ดูก็รู้ว่าไท่จื่อไม่ได้เห็นเจ้าเป็นคนของพระองค์ เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าเจ้าเป็นคนของไท่จื่ออีกหรือ ช่างไร้ยางอายเสียจริง เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นได้หรือ? ”

แม่นมเจิ้งพูดจบ ซูเซียนฮุ่ยก็กัดริมฝีปากของตนทันที ร่างกายของนางสั่นสะท้าน หยดน้ำตาไหลรินออกมาราวกับลูกปัด

เรื่องบางเรื่อง เมื่อเจอเข้ากับตัวจึงได้รู้

แม้จะแสร้งทำเป็นปากแข็ง ทว่าภายในใจย่อมไม่หลอกลวง

ช่องว่างระหว่างเรื่องจริงและเท็จ มีเพียงชั้นกระดาษบางๆ กั้นอยู่เท่านั้น

เมื่อยืนอยู่ฝั่งเท็จก็จะมองไม่เห็นความจริง คิดว่าเรื่องจริงเป็นเรื่องที่ตนปั้นแต่งขึ้นมา เมื่อเวลาผ่านไป แม้แต่ตนเองก็แยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความเท็จ

ทว่าเมื่อใดที่เรื่องราวนั้นถูกผู้อื่นเปิดเผย มันจะกลายเป็นกระบี่คมกริบกลับมาทำร้ายคนผู้นั้น ทิ่มแทงเจ้าจนหายใจไม่ออก และพังทลายภาพลวงตาจอมปลอมทั้งหมดของเจ้า

เปิดเผยการเสแสร้งของเจ้า ทำให้เจ้าไม่อาจหนีไปที่ใดได้อีก

แม้ปากจะถือดี ทว่าหลายปีมานี้ไท่จื่อปฏิบัติต่อนางอย่างไร ในใจของซูเซียนฮุ่ยชัดเจนที่สุด

สถานะของสกุลซูไม่ได้สูงส่งมากนัก ตอนนั้นไท่จื่อใกล้ชิดกับนาง เพราะต้องการยืมมือนางตามหาหยกกิเลนในจวนสกุลซู

แม้ตอนนั้นไท่จื่อเคยให้สัญญาว่าจะสมรสกับนาง แต่หลังจากชัดเจนแล้วว่า หยกกิเลนไม่อยู่ในจวนซู เขาก็ไม่เคยเหลียวแลนางอีกเลย

ทั้งหมดล้วนเป็นตัวนางเองที่มองภาพสะท้อนของตนในกระจก

ทว่าสตรีที่มัวแต่ร้องไห้นั้น แม่นมเจิ้งเคยเห็นมามากแล้ว ผู้หญิงที่ตกอยู่ในชะตากรรมที่เจ็บปวดยิ่งกว่าซูเซียนฮุ่ย นางก็เคยเห็นมามาก หยาดน้ำตาตรงหน้าล้วนไม่มีประโยชน์อันใด

แม่นมเจิ้งเดินไปด้านหน้า นางดึงผ้าม่านที่อยู่บนเตียงออกมามัดซูเซียนฮุ่ยไว้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังยัดผ้าเข้าไปในปากของซูเซียนฮุ่ย

“แม่นมจูมาช่วยหน่อยสิ นางแพศยานี่ตัวหนักเอาการ”

แม่นมจูรีบเข้าไปช่วย ทั้งสองคนหามซูเซียนฮุ่ยออกไปข้างนอก

แม่นมเจิ้งหามไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง อีกสักครู่จะจัดการกับรถม้าที่มีเพียงหนึ่งคันอย่างไรดี

หากมีเพียงพวกเขาสามคนออกไปก็คงไม่ยาก ทว่าตอนนี้มีซูเซียนฮุ่ยเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เกรงว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้นแล้ว

ทว่าซูเซียนฮุ่ยก็สำคัญยิ่งนัก ไม่อาจทิ้งนางไว้ได้

“ระวัง! ”

แม่นมเจิ้งกำลังครุ่นคิดอยู่ ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงร้องด้วยความตกตะลึงของฮองเฮาดังขึ้น

แม่นมเจิ้งเพิ่งได้ยินเสียงเตือน ยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกกระบี่แทงจากทางด้านหลังทะลุร่างของนาง

นางค่อยๆ หันศีรษะกลับไปมอง เห็นเยี่ยเซินที่ถูกแม่นมจูทุบศีรษะจนหมดสติไปกำลังยืนมึนงง คาดไม่ถึงว่าเขาจะลุกขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าเขาเอากระบี่ยาวเล่มหนึ่งจากที่ใดมาแทงทะลุท้องของนาง

ดวงตาของเยี่ยเซินมีแววกระหายเลือด ไอสังหารคุกรุ่น เขาดึงกระบี่ยาวเล่มนั้นออกจากหน้าอกของแม่นมเจิ้ง ก่อนจะหันไปทางฮองเฮากับแม่นมจู และเดินเข้าไปหาพวกนางทีละก้าว ทีละก้าว