เล่ม 10 เล่มที่ 10 ตอนที่ 277 เสด็จป้าเก้าและเสด็จอาเก้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ฮองเฮาและแม่นมจูเดินถอยหลังทีละก้าว ดวงตาระแวดระวังของทั้งสองจับจ้องไปยังเยี่ยเซินอย่างไม่กล้าละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

“ฮองเฮา รีบไปก่อนเพคะ! ”

ทันใดนั้น แม่นมจูก็ผลักฮองเฮาไปยังประตูทางออก

ช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ ฮองเฮาจะทิ้งแม่นมเจิ้งกับแม่นมจูได้อย่างไร นางไม่ยอมจากไป ทว่าจับขอบประตูแล้วหันกลับไปพูดกับแม่นมเจิ้ง “ไม่… พวกเจ้าช่วยข้าแล้ว ข้าจะทิ้งพวกเจ้าสองคนได้อย่างไร? ”

“บ่าวกับแม่นมเจิ้งถูกพิษยันต์เป็นตายแล้ว แม้ไม่ตายในเงื้อมมือของไท่จื่อ ทว่าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านรีบไปหาพระชายาโยวอ๋องเถิด นำเรื่องเหล่านี้ไปบอกนาง ให้พระชายาโยวอ๋องแก้แค้นให้พวกเราด้วยเพคะ”

เมื่อได้ยินชื่อซูจิ่นซี สีหน้าของเยี่ยเซินก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขากลับเย็นชามากขึ้น

“เหอะ วันนี้พวกเจ้าอย่าคิดจะหนีไปได้แม้แต่คนเดียว เสด็จแม่ ท่านอย่าวิตกกังวล รอให้ลูกจัดการกับยายแก่สองคนนี้ก่อน แล้วลูกจะรีบส่งท่านไปอยู่ในปรโลกกับไทเฮา”

ดวงตาของเยี่ยเซินฉายแววน่าเกรงขาม เขาถือกระบี่ยาวในมือเดินเข้าไปแทงแม่นมจู

ทว่าขณะที่กระบี่ยาวเล่มนั้นกำลังจะแทงไปที่หัวใจของแม่นมจู สมุนไพรตังกุยชิ้นหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากหน้าต่าง กระแทกไปที่กระบี่ยาวในมือเยี่ยเซิน เสียงดัง ‘ตุบ’ จนทำให้กระบี่ยาวตกลงบนพื้น

เยี่ยเซินมองไปยังตังกุยที่อยู่บนพื้น เขายกข้อมือที่ถูกกระแทกจนบาดเจ็บขึ้นมา และหันไปมองด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาประหลาดใจ พลางกระแทกเสียงดังพูดว่า “เป็นผู้ใด? หลบอยู่ในที่มืดไม่นับว่าเป็นสุภาพบุรุษ หากมีความสามารถก็ออกมาต่อสู้กับไท่จื่อเช่นข้าอย่างเปิดเผยสิ”

“ถุย! ” สิ้นเสียงพูดของเยี่ยเซิน ด้านนอกหน้าต่างก็มีเสียงที่ฟังดูทั้งเสียดสีทั้งเย่อหยิ่งดังขึ้น “เป็นบุรุษเสียเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะรังแกผู้หญิงที่อ่อนแอไร้พลังถึงสามคน ในนั้นยังเป็นหญิงชราถึงสองคน เยี่ยเซิน เจ้าช่างไร้ยางอายสิ้นดี มารดาเจ้าคู่ควรมาพูดเรื่องสุภาพบุรุษอันใดกับข้าหรือ? ”

สิ้นเสียงคำพูดนั้น รองเท้าข้างหนึ่งก็ลอยมาจากด้านนอกหน้าต่างอีกบานหนึ่ง และกระแทกเข้าที่หน้าผากของเยี่ยเซินอย่างรุนแรง

“ข้าให้รางวัลเจ้าเป็นรองเท้าข้างหนึ่งก่อน เพื่อสั่งสอนเจ้าว่าการเคารพผู้ใหญ่ เมตตาต่อเด็กเป็นเช่นไร”

เยี่ยเซินมองไปยังรองเท้าข้างนั้น ภายในใจรู้สึกอับอายอย่างมากจนบันดาลโทสะ ดวงตาทั้งคู่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ

เยี่ยเซินกัดฟันกรอดพูดว่า “เจ้าคือผู้ใดกันแน่? มีความสามารถก็ออกมาสู้ตัวต่อตัวกับข้าสิ! ”

เวลานี้บนหลังคาฝั่งตรงข้ามปรากฏร่างสีแดงเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์ นอนเฉิดฉายสบายอารมณ์อยู่บนชายคา ด้านข้างมีบุรษผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวนวลจันทร์ยืนอยู่

“เฮ้ เจ้าฉี หลานชายผู้นั้นให้พวกเราออกไปต่อสู้ตัวต่อตัว ทว่าพวกเรามีสองคน! เจ้าจะไปหรือให้ข้าไป? ” บุรุษที่สวมชุดสีแดง ในปากคาบเศษหญ้ากก พูดอย่างสบายใจ

บุรุษที่สวมชุดสีขาวนวลจันทร์ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอก พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ตามข้อมูลทั้งหมดที่ข้าเข้าใจ เยี่ยเซิน องค์รัชทายาทแห่งแคว้นจงหนิงเคยเป็นคู่หมั้นของน้องสาวผู้นั้นของข้า แม้ภายหลังจะถอนหมั้นไปแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่รู้ด้วยเหตุใด บุรุษผู้นี้จึงเปลี่ยนใจ กลับมาสนใจนางอีกครั้ง”

“ไอ้บัดซบ! ”

ชายที่สวมชุดสีขาวนวลจันทร์เพิ่งพูดจบ ชายในชุดสีแดงก็เอ่ยเสียงต่ำสาปแช่ง ทันใดนั้นก็เห็นเป็นเพียงดอกไม้สีสันสดใสเหาะอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นแม้เงาของชายชุดแดงแล้ว

ต่อจากนั้น ในเรือนพลันมีเสียงของเยี่ยเซินดังออกมาราวกับหมูที่ถูกเชือด

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเยี่ยเซินเงียบหายไปแล้ว ชายชุดแดงบีบข้อมือที่มีอาการเจ็บ เดินออกมาจากเรือนอย่างโอ้อวด

สิ่งที่เหมือนกันระหว่างชายชุดแดงและชายชุดขาวนวลจันทร์คือ พวกเขาสวมหน้ากากไว้บนใบหน้า แสงแรกแห่งรุ่งอรุณที่สวยงามและนุ่มนวล สาดส่องลงมายังร่างในชุดสีแดงสดอย่างอ่อนโยน ทำให้ท่าทางยียวนของเขา ดูบ้าระห่ำยิ่งขึ้น

ที่แท้เขาคือจอมวายร้ายไป๋เฉ่านั่นเอง

“ความจริง เจ้าสามารถใช้ยาพิษได้” ชายชุดขาวนวลจันทร์ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

“ใช้ยาพิษหรือ? เช่นนั้นจะไม่ทำให้ข้าดูเลวร้าย รังแกผู้ที่ไม่อยู่ในสายพิษอย่างเขาหรือ? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางเหาะขึ้นไปบนชายคา

เวลานี้ ฮองเฮากับแม่นมจูกำลังช่วยกันพยุงแม่นมเจิ้งที่ได้รับบาดเจ็บเดินออกมาจากเรือน

“ผู้มีพระคุณทั้งสองโปรดรอก่อน! ” ฮองเฮาพูด

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าและชายชุดขาวนวลจันทร์หยุดเดินแล้วหันกลับมา

“จงเหมยจวง? ” บุรุษในชุดขาวนวลจันทร์พูดเสียงต่ำ พลางหยุดชะงักในทันที

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างฉับไว

“เจ้ารู้จักนางหรือ? ”

ภายใต้หน้ากากเย็นชา ดวงตาคู่งามปรากฏความสับสน “ไม่รู้จัก เพียงเห็นภาพวาดของนางอยู่ในพระราชวัง”

พระราชวังแคว้นหนานหลี เหตุใดถึงมีภาพวาดของฮองเฮาแห่งแคว้นจงหนิง?

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเกิดความสงสัยเล็กน้อย “จะว่าไป เจ้าฉี เจ้าไม่ได้ดูผิดนะ? ”

ชายในชุดขาวนวลจันทร์พูดด้วยความโกรธ “แม้แต่ภาพเหมือน ข้ายังดูผิดอีกหรือ? ”

“ฮ่า ฮ่า! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหัวเราะเสียงต่ำ ในน้ำเสียงมีความเสียดสีและเยาะเย้ยแฝงอยู่ “บุรุษสกุลมู่หรงของพวกเจ้าแต่ละรุ่นล้วนมีนิสัยเจ้าชู้ ข้านับถือจริงๆ พวกเจ้าโปรยเสน่ห์ไปทั่ว คิดไม่ถึงว่าจะมาไกลถึงพระราชวังในแคว้นจงหนิง ช่างมีความสามารถจริงๆ ! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางโอบไหล่ของชายชุดขาวนวลจันทร์

“อย่าพูดจาไร้สาระ! ” บุรุษผู้นั้นสะบัดไหล่และมือของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า และพูดว่า “หากนางเป็นสตรีในภาพวาดที่ข้าเห็นในพระราชวังจริงๆ นางน่าจะเป็นพระชายาของเสด็จอาเก้า ทว่าไม่ได้อภิเษกอย่างเป็นทางการ”

พระชายาของเสด็จอาเก้าแห่งแคว้นหนานหลี คือฮองเฮาแห่งแคว้นจงหนิง?

ในที่สุดจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็เกิดความสนใจ เขาเปลี่ยนแปลงท่าทีของตนก่อนหน้านี้ “ข้าฟังแล้วประหลาดใจยิ่งนัก เรื่องครอบครัวของพวกเจ้าช่างน่าสับสนเสียจริง! ”

“ขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสอง รบกวนทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องตอบแทนเป็นสองเท่า” ฮองเฮาพูด

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เรื่องเล็กน้อย ท่านไม่ต้องเกรงใจ! สิ่งที่ข้ารำคาญใจที่สุดคือเรื่องบุญคุณจำพวกนี้ ขอบคุณอันใดกัน พวกเราเพียงผ่านทางมาพอดี และไม่คุ้นกับการเห็นคนถูกรังแก ทั้งพวกเจ้าสามคนยังเป็นหญิงอ่อนแอไร้กำลังต่อสู้” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าโบกมือ หัวเราะฮ่า ฮ่า พูดขึ้น

“มู่หรงฉี! ”

ชายในชุดขาวนวลจันทร์ตั้งใจสังเกตอารมณ์บนใบหน้าของฮองเฮาอย่างละเอียด แล้วพูดชื่อของตนออกมาทีละคำ

“มู่หรงฉี? ”

สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปในทันที นางมองมู่หรงฉีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ทว่านอกจากชุดสีขาวนวลจันทร์ที่เหาะอยู่ในอากาศกับหน้ากากเขี้ยวสัตว์แล้ว นางก็มองไม่เห็นอันใดอีก

“ฮูหยินรู้จักข้าหรือ? ” มู่หรงฉีไม่พลาดการแสดงออกบนใบหน้าของฮองเฮา เขาถามนางอย่างคาดคั้น

“ไม่! ” ฮองเฮากะพริบตา ปกปิดความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้ดวงตาอย่างรวดเร็ว “เพียงเคยได้ยินชื่อเท่านั้น สกุลมู่หรง เป็นสกุลประจำราชวงศ์แห่งแคว้นหนานหลี ทั้งอาณาจักรเทียนเหอมีเพียงเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหนานหลีเท่านั้นที่ใช้สกุลนี้ได้ ใต้เท้าคงเป็นฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลีใช่หรือไม่? ช่วงเวลาที่ไร้ความสงบ ไม่มีจดหมายเชิญระหว่างแคว้น ฉีอ๋องบุกรุกอาณาเขตของแคว้นจงหนิงเรา เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไรกระมัง? ”

“หากฮูหยินรู้สึกว่าข้ากระทำการไม่เหมาะสม ก็สามารถไปแจ้งทางการ ให้โยวอ๋องนำคนมาจับตัวข้าได้ทันที” มู่หรงฉีพูดอย่างผ่อนคลาย

สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปในทันที นางปิดบังอารมณ์ประหลาดบางอย่างไว้อย่างดีเยี่ยม “ที่ผ่านมา แคว้นหนานหลีไม่เคยคิดสู้รบกับแคว้นจงหนิงเรา ข้าขอเตือนฉีอ๋องให้รีบออกจากแคว้นจงหนิงไปเสีย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและความเข้าใจผิดระหว่างสองแคว้นโดยไม่จำเป็น”

ฮองเฮาพูดจบก็หันไปพูดกับแม่นมจูและแม่นมเจิ้งที่อยู่ด้านหลังว่า “พวกเราไปกันเถิด! ”

เดี๋ยวก็พูดว่าฉีอ๋อง เดี๋ยวก็พูดว่าการต่อสู้ระหว่างสองแคว้น แม่นมจูกับแม่นมเจิ้งฟังแล้วตื่นตกใจอยู่บ้าง

“ช้าก่อน! ” เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ มู่หรงฉีก็ตะโกนเรียกพวกนาง

ฮองเฮาหันศีรษะกลับไป นางขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าฉีอ๋องมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือ? ”

“เอาไป! ” มู่หรงฉีโยนยาขวดเล็กสองขวดลงบนมือของฮองเฮาอย่างพอดิบพอดี “สิ่งนี้ให้แม่นมข้างกายเจ้าใช้ห้ามเลือด แม้นางจะดวงแข็ง ไม่ถูกเยี่ยเซินใช้กระบี่สังหารจนตาย ทว่านางเสียเลือดมาก หากออกไปในสภาพนี้อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”

“ขอบพระทัย! ”

ฮองเฮาประสานมือคำนับมู่หรงฉีอย่างภูมิใจ และกล่าวคำขอบคุณ

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าจับที่หน้าอกตนเองอย่างรวดเร็ว ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที “ข้าว่า เจ้าฉี ยืมดอกไม้ถวายพระ [1] คงไม่ดีกระมัง? ”

“เสด็จป้าเก้ากล้าหาญองอาจเหมือนคำร่ำลือจริงๆ ข้าและขุนนางทั้งหลายแห่งแคว้นหนานหลีกำลังรอเสด็จป้าเก้าและเสด็จอาเก้ากลับแคว้น” มู่หรงฉีไม่ได้ตอบกลับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า เขาประสานมือคำนับฮองเฮาด้วยความเคารพนอบน้อม

นัยน์ตาของฮองเฮาฉายแววประหลาดใจ

คาดไม่ถึงว่าพบหน้ากันครั้งแรก มู่หรงฉียังจำสถานะที่แท้จริงของนางได้ นอกจากนั้น เขารู้ได้อย่างไรว่าอวิ๋นเกอยังมีชีวิตอยู่?

……

เชิงอรรถ

[1] ยืมดอกไม้ถวายพระ สุภาษิตจีน เป็นการอุปมา หมายถึงการใช้สิ่งของของผู้อื่นเพื่อความโปรดปราน