[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 458 : สัญญาณเตือน!

ถังเมิ่งเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยมาก เขาจึงเช่าเรือลำค่อนข้างใหญ่ให้กับหลิงหยุน เรือลำนี้ยาวสิบห้าเมตร กว้างสามเตร และลึกสองเมตร

สิ่งสำคัญสองอย่างก็คือเครื่องยนต์ขนาด 2700 แรงม้า อัตราความเร่งสูงกว่า 57นอต ห้องโดยสารก็กว้างขวางใหญ่โต หากมองจากภายนอกก็นับว่าเป็นเรือที่ใหญ่โตมากลำหนึ่งเลยทีเดียว หลิงหยุนเองก็พอใจอย่างมาก

เรือที่มีอัตราการแล่นในน้ำได้สูงเช่นนี้ หากติดตั้งอาวุธปืน ตอร์ปิโด หรืออาวุธอื่นๆ ก็จะใช้เป็นเรือลาดตระเวนสำหรับรักษาน่านน้ำได้เป็นอย่างดี

แต่แน่นอนว่าสปีดโบ๊ทลำนี้ไม่ได้ติดตั้งอาวุธใดๆ และไม่มีแม้กระทั่งป้าย ‘ตำรวจน้ำแห่งประเทศจีน’ ติดอยู่ด้านนอกของลำเรือง เพราะมันคือเรือส่วนบุคคล!

แม้ว่าเรือลำนี้จะไม่ได้ติดตั้งอาวุธใดๆ หรือไม่มีแม้กระทั่งป้ายตำรวจน้ำก็ตาม แต่เรือลำนี้ก็มีอาวุธที่น่ากลัวที่สุดอยู่บนเรืออยู่แล้ว ซึ่งก็คือหลิงหยุน และเจ้าขาวปุยนั่นเอง!

วิธีการขับสปีดโบ๊ทรุ่นใหนๆก็คล้ายๆกัน หลิงหยุนใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีในการเรียนรู้ หลังจากออกจากท่าเรือ เขาก็เพิ่มความเร็วมุ่งหน้าสู่ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

หลิงหยุนขับอยู่ที่ความเร็วสี่สิบนอต หลังจากนั้นเพียงครึ่งชั่วโมง เรือของเขาก็ค่อยๆแล่นห่างจากท่าเรือไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถมองเห็นฝั่งได้อีก และตอนนี้เขาก็กำลังอยู่กลางทะเลจีนฝั่งตะวันออกซึ่งมีระดับความลึกของน้ำทะเลอยู่ที่หนึ่งกิโลเมตรโดยประมาณ

และในเวลานี้.. หลิงหยุนก็ขับเรือห่างออกมาจากฝั่งได้หกสิบกิโลเมตรแล้ว

ท้องทะเลมีคลื่นซัดมาไม่หยุดหย่อน ลมทะเลก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้คลื่นในทะเลก็สูงมากกว่าหนึ่งเมตร และรุนแรงจนน่ากลัว!

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้มาทะเลตั้งแต่มาอยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงมีความอยากรู้อยากเห็นค่อนข้างสูง หลิงหยุนเร่งความเร็วของเรือขึ้นเป็น 50 นอต และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

หากขับเคลื่อนด้วยความเร็วขนาดนี้ หลิงหยุนจะใช้เวลาอีกราวสี่ชั่วโมงก็จะไปถึงเกาะเตียวหยู

หลังจากจัดการกำหนดพิกัดของเกาะเตาหยูแล้ว หลิงหยุนก็ไม่ได้ควบคุมหางเสืออีก เขาหยิบขวดน้ำแร่ขึ้นมาเปิดดื่มสองสามอึก แล้วจึงส่งให้เข้าขาวปุยที่หมอบอยู่ข้างๆ

ดวงตากลมโตแวววาวของเจ้าขาวปุยนั้น มีร่องรอยของความเครียด หลิงหยุนจึงยิ้มให้มันพร้อมกับถามขึ้นอย่างอ่อนโยน

“ขาวปุย.. เจ้ากลัวงั้นรึ?”

เจ้าขาวปุยพยักหน้าทันทีด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด และเต็มไปด้วจยความวิตกกังวล ในใจของมันคิดอยากให้หลิงหยุนหันเรือกลับไปที่ฝั่ง

หลิงหยุนลูบหัวของมันอย่างนุ่มนวลแล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “เจ้ากลัวทะเล หรือว่ากลัวการกลายร่างกันแน่?”

ดวงตาสวยงามมีเสน่ห์ของเจ้าขาวปุยชำเลืองมองออกไปข้างนอก จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยกเท้าหน้าของมันขึ้น และชี้ออกไปที่ทะเลด้านนอกหน้าต่าง

หลิงหยุนถึงกับหัวเราะและพูดปลอบโยน “ก็แค่ทะเล.. ไม่ต้องกลัวหรอก ไปนั่งข้างบนดาดฟ้ากับข้าดีกว่า!”

หลิงหยุนลุกขึ้นเปิดประตู และลมทะเลที่รุนแรงก็พัดเข้ามาในห้องโดยสารปะทะเข้ากับร่างของหลิงหยุน จนเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่แนบชิดติดตัว เผยให้เห็นรูปร่างที่สวยงามสมส่วนของเขา

ลมทะเลค่อนข้างรุนแรงมาก แต่เรือก็ยังคงมุ่งไปข้างหน้าที่ความเร็วห้าสิบนอต หากเป็นคนธรรมดาคงจะถูกพัดปลิวไปแล้ว แต่หลิงหยุนที่ตอนนี้อยู่ในระดับกลางของขั้นปรับร่างกาย-6  แรงลมเพียงเท่านี้จึงไม่สามารถทำให้เขาสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย

หลิงหยุนขึ้นไปยืนอยู่บนหัวเรือ และขาของเขาก็ยึดแน่นอยู่ที่พื้นดาดฟ้าราวกับตอกตะปู หลิงหยนุยืนบนนั้นในลักษณะมือกำลังไขว้หลังอยู่ ร่างของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามความเร็วของเรือ ดวงตาคู่สวยของเขาจ้องมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

เจ้าขาวปุยยืนอยู่ข้างหลิงหยุน และในที่แห่งนี้มันก็ไม่จำเป็นต้องพรางตัวอีกต่อไป หางสีขาวทั้งสามของมันโบกสะบัดไปมาท้าสายลมอย่างเปิดเผย

“หลุมยักษ์นั่นพวกเราก็ลงไปสำรวจมาแล้ว พวกเราฆ่างูเหลือมยักษ์ ปลาขนาดใหญ่ แม้กระทั่งค้างคาวดูดเลือด แล้วยังจะกลัวอะไรกับมหาสมุทรเล็กๆแห่งนี้..”

หลิงหยุนโน้มตัวลงอุ้มร่างของเจ้าขาวปุยขึ้นมา และลูบไล้ขนนุ่มนวลของมันในขณะที่พูดอย่างภาคภูมิใจ

“สักพักเจ้าก็จะคุ้นเคยไปเอง!”

จากการปลอบโยนและกำลังใจที่ได้รับบจากหลิงหยุน ในที่สุดแววตาของเจ้าขาวปุยก็เริ่มนิ่งและกล้ามากขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็เริ่มปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมต่างๆในทะเลได้ และเริ่มเล่นกับหลิงหยุน พวกเขาวิ่งเล่นอยู่ในเรือที่ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

ความเป็นเด็กในตัวหลิงหยุนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เขาวิ่งเล่นกับเจ้าขาวปุยอยู่บนเรืออย่างสนุกสนาน

ที่นี่เป็นท้องทะเลที่เวิ้งว้างไร้ขอบเขต ห่างไกลจากตัวเมืองที่แสนโกลาหลวุ่นวาย มีเพียงเขากับสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ทำให้หลิงหยุนรู้สึกราวกับว่าได้กลับไปยังโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง

และหากเรือลำนี้ไม่ใช่สปีดโบ๊ท แต่เป็นเรือไม้.. หลิงหยุนคงรู้สึกว่าเขาได้กลับคืนสู่โลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ

เรือแล่นห่างจากชายฝั่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้รอบกายเขาก็ล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลิงหยุนรู้สึกสดชื่น และสบายอกสบายใจอย่างมาก

พลังชีวิตจากน้ำนั้นแตกต่างจากพลังชีวิตที่ได้จากพืชและสมุนไพร เพราะน้ำเปรียบเสมือนต้นกำเนิดของทุกชีวิต น้ำมีทั้งความอ่อนโยนและรุนแรงในคราวเดียวกัน

และแน่นอนว่าน้ำมีประโยชน์สำหรับหลิงหยุนในการฝึกวิชามหานที..

วิชามหานที – คือการควบคุมน้ำในปริมาณมากๆ โดยใช้ความอ่อนโยนของน้ำในการป้องกันตัว และใช้ความรุนแรงของน้ำในการโจมตีศัตรู

หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง หลิงหยุนก็กลับไปที่ห้องโดยสารดูระบบนำทางของเรือ และรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ห่างจากเกาะเตียวหยูไม่ถึงสามสิบไมล์ทะเล

สิ่งที่หลิงหยุนเป็นกังวลมากที่สุดก็คือน้ำและอาหาร เขาจึงจัดการเรียกน้ำและอาหารทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่จนเต็ม และไม่สามารถยัดอะไรเข้าไปได้อีกแม้แต่อย่างเดียว

ยิ่งใกล้ถึงเกาะเตียวหยูมากเท่าไหร่ หลิงหยุนก็ยิ่งต้องระมัดระวังไม่ให้เรือของเขากระแทกเข้ากับโขดหินต่างๆ เขาจึงลดความเร็วลงเหลือเพียงสามสิบนอต แล้วก็เริ่มกินอาหารบนเรือพร้อมกับเจ้าขาวปุย

ท้องฟ้าค่อยๆมืดครึ้มลงเรื่อยๆ และทางด้านหน้าเรือของเขาก็มีเงาดำๆคล้ายเกาะอยู่ห่างออกไป และมันก็คือเกาะเตียวหยูนั่นเอง

เกาะเตียวหยูเป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ทางด้านทะเลจีนตะวันออก มีพื้นที่เพียง 4.38 ตารางกิโลเมตร และระดับความสูงสุดอยู่ที่ 362 เมตร เกาะเตียวหยูและหมู่เกาะโดยรอบ ล้วนเป็นดินแดนของประเทศจีนมาตั้งแต่โบราณกาล

ในปี 1945 ทหารญี่ปุ่นพ่ายแพ้ และเกาะแห่งนี้ก็กลับคืนสู่อ้อมกอดของแผ่นดินแม่ เอกสารต่างประเทศหลายฉบับก็ชี้ชัดว่าเกาะเตียวหยู และหมู่เกาะโดยรอบนี้เป็นของประเทศจีน แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงยืนกรานที่จะครอบครองเกาะเตียวหยูและหมู่เกาะโดยรอบ ด้วยการพ่วงเกาะเตาหยูเข้ากับเกาะริวกิวที่กองทัพสหรัฐอเมริกาเคยครอบครอง

ในปี ค.ศ. 1970 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งมอบหมู่เกาะริวกิวให้กับประเทศญี่ปุ่น และพ่วงเอาเกาะเตาหยูไปด้วย

ในปี 1972 ประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่นได้ผูกสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้วางความเป็นเจ้าของของเกาะต่างๆรวมทั้งเกาะเตียวหยูลง และรอจนกว่าทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นนี้ได้ในอนาคต

แต่หลังจากนั้นเจ็ดปี ประเทศญี่ปุ่นก็ได้สร้างสนามบินสำหรับจอดเฮลิคอปเตอร์ขึ้นที่เกาะเตียวหยู และในปี 1990 ญี่ปุ่นก็ได้สร้างประภาคานขึ้นบนเกาะแห่งนี้ และเข้ามาบูรณะประภาคานใหม่อีกครั้งในปี 1996

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีน ก็เริ่มมีความกังวล และเริ่มต่อต้านอย่างจริงจัง..

ตั้งแต่นั้นมา การแสดงอำนาจอธิปไตยบนเกาะเตียวหยูของทั้งสองประเทศก็เริ่มรุนแรงยิ่งขึ้นและต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการเสนอให้มีการซื้อขายเกาะเตียวหยูอย่างจริงจัง!

และเมื่อปีที่แล้ว เรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นก็ชนเข้ากับเรือประมงของชาวจีนที่เข้าไปหาปลาในเกาะเตียวหยู และได้จับตัวกัปตันเรือประมงลำนั้นไว้ นับว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอุกอาจ!

การกระทำของประเทศญี่ปุ่นหลายครั้งหลายคราได้ยั่วยุ และกระตุ้นความโกรธแค้นของชาวจีนให้หวงแหนอำนาจอธิปไตยบนเกาเตียวหยูมากยิ่งขึ้น

หลิงหยุนขับเรือมุ่งหน้าไปทางเกาะเตียวหยูด้วยอัตราความเร็วเท่าเดิม และด้วยสายตาที่ธรรมดาของหลิงหยุน ทำให้เขาสามารถมองเห็นเกาะเตียวหยูที่อยู่ในระยะไกลได้อย่างชัดเจน

“อีกเพียงแค่สิบห้าไมล์ทะเล ดูซิว่าข้าจะเข้าไปในเกาะเตียวหยูได้หรือไม่?”

หลิงหยุนมองเกาะเตียวหยูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ สีหน้าสงบนิ่ง และผ่อนคลาย!

เหลืออีกสิบสองไมล์ทะเล.. ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็เห็นเรือประมงของชาวจีนกำลังแล่นเข้ามาใกล้เรือของเขา

ท่ามกลางทะเลลึก ลมก็พัดแรงมากยิ่งขึ้น และตอนนี้คลื่นก็สูงเกือบสามเมตรแล้ว แต่หลิงหยุนยังคงแล่นเรือไปข้างหน้าด้วยความเร็วเช่นเดิม เขายืนมองเรือประมงที่แล่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“นี่เพื่อน.. อย่าไปไกลกว่านี้! ข้างหน้ามีเรือลาดตระเวนของพวกญี่ปุ่นอยู่ พวกมันเพิ่งจะไล่พวกเราออกมา..”

ชาวประมงบนเรือหาปลาสังเกตเห็นสปีดโบ๊ทของหลิงหยุน จึงรีบใช้เครื่องขยายเสียงร้องเตือน แต่หลิงหยุนกลับตะโกนตอบชาวประมงวัยกลางคนไปว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วง..”

หลิงหยุนไม่ได้เกรงกลัวหน่วยลาดตระเวนของญี่ปุ่นแม้แต่น้อย และอยากจะลองดีกับพวกมันด้วยซ้ำ!

ชายชาวประมงวัยกลางคนเห็นหลิงหยุนไม่ยอมฟังคำเตือน ก็เลยหันไปทางลูกเรือพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ดูท่าทางคนบนเรือนั่นต้องการจะเข้าไปในเขตประมงของเกาะเตียวหยูให้ได้ นี่เขาไปกินดีงูมาหรือยังไง.. ถึงได้บ้าบิ่นแบบนั้น? ไม่รู้หรือไงว่าเรือลำแค่นั้น หากโดนปืนกลกับอาวุธบนเรือของหน่วยลาดตระเวนญี่ปุ่นเข้าไป คงไม่เหลืออะไร!”

การที่ลูกเรือของเรือประมงลำนี้กล้าเข้ามาหาปลาในเขตนี้ก็นับว่าใจกล้ามากพอสมควร ลูกเรือหนุ่มผมยาวคนหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า

“ไปกัน.. พวกเราน่าจะตามไปดู ตอนนี้ทะเลก็คลื่นแรงมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่นพวกเราจะได้ช่วยทัน?”

ชายประมงวัยกลางคนชื่อหยางเต๋อเซิงรีบค้านขึ้นมาทันที “หวังจงอี้ นี่เจ้าจะพาลุงหยางไปตายหรือยังไง? ท้องฟ้ามืดครึ้มขนาดนี้ เรือนั่นก็ไม่มีสัญลักษณ์อะไรติดอยู่เลย ทำไมพวกเราจะต้องตามไปช่วยเขาสู้กับเรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นด้วย? นั่นไม่เท่ากับว่าไปรนหาที่ตายหรือยังไง?”

หยางเต๋อเซิงมองเรือของหลิงหยุนที่แล่นไปด้วยความเร็ว และมุ่งหน้าไปทางเกาะเตียวหยูที่อยู่ห่างไปราวสิบห้าไมล์ทะเล พร้อมกับพึมพำเสียงเบา

“หากพ่อหนุ่มนั่นต้องการจะไปที่เกาะเตียวหยู เขาต้องเผชิญกับหน่วยลาดตระเวนของญี่ปุ่นแน่นอน เขาควรจะต้องรีบกลับออกมาก่อนที่เรื่องราวจะยุ่งยากไปมากกว่านี้ แต่อีกฟากก็มีเรือลาดตระเวนของจีนอยู่สามลำ.. ก็ต้องคอยดูว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ เรือลาดตระเวนของจีนจะเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลาหรือเปล่า?!”

หวังจงอี้เกาหัวแกรกๆ พร้อมกับรำพึงรำพันออกมาอย่างหยามเหยียด และเครียดแค้น “เชอะ.. เรือลาดตระเวนน่ะเหรอ..! รับรองว่าช่วยอะไรไม่ได้หรอก..”

ลูกเรืออีกคนก็เสริมขึ้นมาที “นั่นสิ.. เรือลาดตระเวนพวกนั้นก็มัวแต่กลัวว่าจะทำให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศ คงได้แต่ขับรอบๆเกาะอยู่ในระยะสิบห้าไมล์ทะเลไปงั้นๆล่ะ!”

หลิงหยุนยืนหันหน้าไปทางลม และตอนนี้เขาอยู่ห่างจากเรือประมงลำนั้นเพียงแค่สามไมล์ทะเล หลิงหยุนเห็นเรือกลไฟสามลำกำลังถูกเรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นเจ็ดแปดลำไล่ล่าอยู่กลางทะเล ไม่ต่างจากแมวกำลังจับหนู

หลิงหยุนได้แต่เย้นหยันในใจ “นี่น่ะเหรอเรือลาดตระเวนที่เลื่องลือ?”