สุ่ยเซียนเริ่มไม่พอใจขึ้นมา จูขี้บ่นเกิดในครอบครัวทหารก็มีหน้ามีตาในระดับหนึ่ง เขาอุตส่าห์ยอมเสียสละอนาคตที่กำลังสดใสของตัวเองเพื่อมาช่วยเธอ แต่ทำไมกลับตกเป็นขี้ปากคนอื่นว่าเขาแต่งเข้าบ้านผู้หญิง?
อีกอย่างพวกเธอสองคนก็แบ่งเรื่องงานอย่างชัดเจน ถ้าจะให้พูดตามความจริง จูขี้บ่นทำประโยชน์ให้กับบริษัทมากกว่าเธอด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกเธอเห็นแก่ความรู้สึกของพ่อจึงให้เธอดำรงตำแหน่งประธาน พอได้ยินพ่อฉิวฉิวพูดแบบนี้สุ่ยเซียนก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที
ไม่รอให้สุ่ยเซียนโต้กลับ จูขี้บ่นรีบส่ายหน้าให้เธอ จูงมือเธอออกจากตรงนั้น ถ้าเถียงกับพ่อฉิวฉิวแบบนั้นจะเป็นการไม่ไว้หน้าเสี่ยวเชี่ยน
“น่าโมโหที่สุด! ทำไมเขาพูดถึงคุณแบบนั้น!” สุ่ยเซียนถูกพาออกจากวงสนทนาไปก็ยังโมโหไม่หาย
เมื่อก่อนที่เธอบอกเลิกกับจูขี้บ่นไปก็เพราะกลัวคนอื่นพูดถึงเขาในทางไม่ดี เจ้าของกิจการที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังยังกล้าพูดจาแบบนี้ คนนอกคงยิ่งพูดกันแรงกว่านี้
“คนอื่นจะพูดยังไงก็ช่าง เราจะไปโมโหคนแบบนี้ทำไม เด็กดี ไม่โกรธนะเดี๋ยวลูกเตะคุณ”
จูขี้บ่นเป็นพลาธิการทหารมาหลายปี เรื่องบุคลิกและนิสัยไม่ต้องพูดถึงว่าเก็บอารมณ์ได้ดีขนาดไหน จิตใจของเขาแข็งแก่งพอที่จะมองข้ามข่าวลือไร้สาระพวกนี้
“เขายังเล็กอยู่เลยจะถีบได้ไง” สุ่ยเซียนขำคำพูดของเขา จูขี้บ่นเขี่ยจมูกเธอเล่น ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
เลือกที่ตัวเองรัก รักในสิ่งที่ตัวเองเลือก ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง
“ตาลุงหัวดื้อนี่น่าโมโหที่สุด ทำไมพูดจากับเพื่อนผมแบบนั้น?!” ฉิวฉิวโกรธจนแทบยืนไม่ติดที่
เศรษฐีบ้านนอกการศึกษาน้อยช้าเร็วเดี๋ยวได้หมดตัว สถานการณ์แบบนี้คิดไม่เป็นเหรอ? คำพูดแบบนี้ยังกล้าพูดต่อหน้าพวกสุ่ยเซียน ไม่เหยียบหัวเขาไปเลยล่ะ!
โชคดีที่สุ่ยเซียนเป็นพี่น้องที่สนิทกันกับประธานเชี่ยน ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็คงพูดจาเกรงใจต่อหน้า ลับหลังเล่นเอาถึงตายแล้ว ตาแก่นี่ตายยังไงยังไม่รู้เลย
“แล้วที่พ่อพูดไม่ใช่เรื่องจริงหรือไง? ฉิวฉิว ไปกับพ่อเถอะ พ่อจะไม่มองข้ามแกแล้ว แกมีความสามารถ พ่อจะฝึกแกเอง แล้วจะหาลูกเขยที่ว่าง่ายๆมาแต่งเข้าบ้านเราเอง”
“ผมผิดหวังกับพ่อสุดๆแล้วนะ พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องการอะไร ผมจะบอกพ่ออีกครั้งนะ ผมมีชีวิตของตัวเอง ผมไม่ต้องการให้พ่อมาจัดการอะไรทั้งนั้น!”
หลังออกมาจากสนามกอล์ฟเสี่ยวเชี่ยนก็อารมณ์ไม่ดี แม้แต่ตอนที่ทุกคนไปร้องคาราโอเกะด้วยกันเธอก็ดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้านฉิวฉิวก็อาการเดียวกัน
การบังเอิญเจอพ่อที่สนามกอล์ฟทำให้เขารู้สึกแย่มาก ไป๋จิ่นที่อยู่ด้วยก็ไม่รู้จะพูดปลอบยังไงดี ทั้งสองคนจึงได้แต่นั่งดื่มเหล้าแก้เซ็งไปเงียบๆ
ส่วนคนอื่นๆแสร้งทำเป็นไม่เห็นบรรยากาศที่อึมครึม พยายามทำตัวให้ครึกครื้น
เสี่ยวเฉียงคอยมองเสี่ยวเชี่ยนไม่ขาด เห็นเธอเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรเขาก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
เขาอยู่กับเสี่ยวเชี่ยนตลอด รู้ว่าวันนี้ไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีอะไร
ถึงจะเจอพ่อฉิวฉิวโดยบังเอิญ แต่ก็ไม่ได้เกิดการปะทะกันทางร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเมียเขาโดยตรง
แล้วทำไมเสี่ยวเชี่ยนถึงได้ดูหนักใจแบบนั้น?
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนดื่มไปสองสามแก้วก็อ้างบอกขอออกไปสูดอากาศ
เมืองQไม่ใหญ่ เศรษฐกิจก็ไม่ถือว่าคึกคักมากนัก แต่การท่องเที่ยวยามค่ำคืนก็ถือได้ว่าไม่แพ้เมืองอื่น แสงไฟจากร้านคาราโอเกะสาดส่องสะท้อนกับพื้นหินอ่อนไปทั่ว มีผู้คนเป็นกลุ่มเดินเข้าๆออกๆ พบเจอผู้ชายหน้าหื่นๆเดินโอบผู้หญิงในชุด ‘ทำงาน’ กระโปรงสั้นรองเท้าส้นสูงได้เป็นระยะ พูดจาลามก การกระทำก็ลามก
สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนเปรียบได้กับกระจกสะท้อนปีศาจ สะท้อนให้เห็นปีศาจในคราบคนสุภาพเวลากลางวัน
เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนคอแข็ง ไวน์แค่ไม่กี่แก้วพวกนั้นทำอะไรเธอไม่ได้ แต่วันนี้เธอกลับรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไวน์หรือเปล่า
เธอเอาตัวพิงเสา หลับตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นก็มีแขนกำยำมาโอบไหล่ที่บอบบางของเธอไว้ เธอรีบลืมตาขึ้นทันที พอเห็นว่าเป็นเขาสายตาระแวงก็หายไป กลายเป็นความเหนื่อยล้า
อวี๋หมิงหลางแน่ใจว่าเขามองไม่ผิด สายตาของเมียที่แสนเก่งของเขาที่มองมาเมื่อครู่ดูเหนื่อยล้ามาก
“ออกมาทำไม ฉันก็แค่อยากออกมาเดินเล่น” เสี่ยวเชี่ยนเอาหัวพิงไหล่ของเขา เธออยากหาที่อิงสักหน่อย
อวี๋หมิงหลางโอบตัวเธอเข้ามาอย่างเอาใจใส่ แบกรับน้ำหนักเธอไว้ทั้งหมด
“ไปเถอะ ไปดื่มกันอีกหน่อย”
“แล้วคนอื่นจะทำไง?”
เรียกคนอื่นเขามาแล้วจะหนีไปก่อน มันไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า?
“เดี๋ยวผมโทรบอกจูขี้บ่นให้จัดการเอง สุ่ยเซียนท้องอยู่ไม่ควรอยู่ดึกอยู่แล้ว ผมเองก็ควรจะไปดื่มกับคุณ อีกหน่อยดื่มกันมันก็ไม่เหมือนกับตอนนี้หรอก”
“ไม่เหมือนตรงไหน?” ก็ดื่มกันสองคนไม่ใช่หรือไง
“ตอนนี้เป็นคนรัก วันหน้าเป็นภรรยา เห็นเขาฮิตปาร์ตี้สละโสดไม่ใช่เหรอ พวกเราก็เอาซะหน่อย”
“…มันจะไปเหมือนของเขาได้ยังไง? นั่นมันเป็นปาร์ตี้ฉลองโสดวันสุดท้ายที่จัดระหว่างเพื่อนด้วยกันไม่ใช่เหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนค้นพบว่าคนตระกูลอวี๋เอะอะก็หาเรื่องออกไปกินดื่มฉลองพร่ำเพรื่อกัน ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวใหญ่
“คุณก็อย่ามองว่าผมเป็นสามีคุณก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไปเถอะเพื่อน ดื่มเหล้ากันหน่อย~”
เขาโอบเสี่ยวเชี่ยนเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้พาเธอกลับบ้าน แต่จอดรถข้างทางซื้อเนื้อย่างเสียบไม้ก่อน จากนั้นก็ขับรถกลับไปที่บ้านพ่อ
“คุณไม่ต้องเข้าไปหรอก ผมจะเข้าไปขโมยเหล้าพ่อ พาคุณไปด้วยเดี๋ยววิ่งหนีไม่ทัน เกิดถูกจับขึ้นมาโดนสวดยาวเลย” เขาจอดรถ
“ไม่เหมาะมั้ง…”
มาถึงบ้านแม่สามีแล้วไม่เข้าไป แถมยังให้เสี่ยวเฉียงไปขนของ มันจะดีเหรอ
“ไม่เป็นไร บ้านเราไม่คิดมากกันขนาดนั้น รออยู่นี่นะเพื่อน!” เขาเอามือจิ้มจมูกเธอแล้วลงจากรถไป
สักพักเขาก็กลับมาพร้อมถุงพลาสติคใบใหญ่ เสี่ยวเชี่ยนเปิดประตูรถให้ เขาขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มได้ใจ
“เพื่อน ดวงดีเหมือนกันนะเรา คืนนี้แม่ผมทำกับแกล้มไว้เยอะ ให้ผมเอามาหมดเลย พ่อไม่อยู่บ้านผมเลยไปงัดตู้เหล้ามา”
“ถ้าพ่อมาไล่ฆ่านายทีหลังฉันไม่เกี่ยวนะ”
“คุณจะเกี่ยวอะไร? ผมบอกแม่ว่าไปกินเหล้ากับ ‘เพื่อน’ ไม่ได้บอกว่าไปกับเมียเสียหน่อย”
เพื่อเอาใจเสี่ยวเชี่ยนเขาเองก็พยายามอย่างมาก พูดคำว่าเพื่อนจนคล่องปาก
“นายทำตัวสนิทสนมกับเพื่อนผู้หญิงแบบนี้ทุกคนไหม?” เสี่ยวเชี่ยนขำคำพูดของเขา ไม่ได้รู้สึกแย่เหมือนเมื่อครู่แล้ว
“ผมไม่มีเพื่อนผู้หญิงจริงๆ มีคุณคนเดียว ไปกันเถอะเพื่อน~ วันนี้เมียไม่อยู่บ้าน ไปกินเหล้าบ้านฉันกันดีกว่า!”
เปิดหน้าต่างรถปล่อยให้คำพูดนี้ลอยไปกับสายลม พอผ่านแปลงดอกไม้ไปทันใดนั้นก็มีเงาคนโผล่มา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เจ้าเล็กจะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมก่อนแต่งยังกล้าพาผู้หญิงมากินเหล้าที่บ้านใหม่ล่ะ?
เรื่องนี้จะบอกตาอวี๋กับเมียดีไหม? บอกดีกว่า แต่ก็กลัวจะไปทำครอบครัวเขาทะเลาะกันงั้นไม่บอกดีกว่า แต่มันผิดธรรมเนียมนะแบบนี้ คนที่อาศัยอยู่ตึกเดียวกับครอบครัวอวี๋ล้วนเป็นทหารที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ทหารจะทนเห็นคนรุ่นหลานทำผิดได้ยังไง…
ลำบากใจจริง