แสงไฟบนเวทีส่องสว่าง แต่แสงไฟที่ส่องเข้าหาผู้ชมนั้นหรี่ลงมาก

เสี่ยวหลัวนั่งอยู่ในจุดที่ไม่เด่นมากนักในหอประชุม เขาจะออกจากหัวเย่ ในคืนนี้ แต่ก่อนที่เขาจะไปเขาอยากจะชื่นชมการแสดงของคณะนักร้องประสานเสียงของสาขาภาษาอังกฤษ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ฝึกสอนพวกเธอเองมากับมือ

“กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้เลือกที่จะร้องเพลง ‘แม่น้ำเหลือง’ ในความคิดของฉัน พวกเธอจะร้องเพลงออกมาได้ไม่ดีอย่างแน่นอน มันไม่มีทางที่กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ จะสามารถจับแก่นแท้ของเพลงนี้ได้!”

“ฉันก็คิดเหมือนกัน. ฉันกลัวว่าเอกภาษาอังกฤษจะต้องอยู่ในอันดับสุดท้ายซะแล้วในครั้งนี้!”

ชายทั้งสองคนที่นั่งถัดจากเสี่ยวหลัวกระซิบกัน พวกเขากำลังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงที่กำลังจะเริ่มขึ้นของสาขาภาษาอังกฤษ

เสี่ยวหลัว อดไม่ได้ที่จะพูดว่า“แก่นแท้ของเพลง นั้นไม่เพียงแต่เป็นการเปร่งเสียงร้องออกมาจากในลำคอเท่านั้น ในอดีตมีเพลงปฏิวัติหลายเพลงที่ถูกร้องขึ้นโดยผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่พวกเธอก็ยังคงสามารถถ่ายทอดความสำคัญและรสชาติของดนตรีได้ดี มันไม่มีเพลงใดที่ไม่เหมาะสมสำหรับการร้องเพลง มันมีแต่คนที่ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงออกมาให้ได้เหมาะสมอย่างไรก็เท่านั้น”

ชายทั้งสองคนมองมาที่ เสี่ยวหลัว และยิ้มเยาะอย่างสนุกสนาน

“พี่ชายดูเหมือนว่านายจะรู้จักดนตรีดีมาก นายมาจากสาขาดนตรีงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่”

“หรือว่านายเป็นสมาชิกของชมรมวรรณกรรมหรือศิลปะ?”

“ไม่ใช่เหมือนกัน ฉันก็เป็นแค่คนที่เดินทางผ่านมาก็เท่านั้น”

เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของชายทั้งสองก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้น

“นายไม่ได้เป็นนักศึกษาจากสาขาดนตรีและนายก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของชมรมวรรณกรรมหรือศิลปะ นายมีคุณสมบัติอะไรในการแสดงความเห็น?”

“นายมันก็เป็นแค่คนธรรมดา ที่แสร้งทำตัวเป็นปรมาจารย์เพลง”

เสี่ยวหลัวไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับคำพูดนี้ มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา เสี่ยวหลัวตอบกลับด้วยประโยคหนึ่งว่า“เพราะฉันเป็นผู้อำนวยการของคณะนักร้องประสานเสียงของสาขาภาษาอังกฤษ”

ชายทั้งสองคนตกใจกับสิ่งนี้ แต่ทันใดนั้นผู้ประกาศก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีจากในด้านหลังม่าน เขายิ้มและถือไมโครโฟนพร้อมกับประกาศว่า“รายการต่อไป โปรดเพลิดเพลินไปกับเพลง ‘แม่น้ำเหลือง’ จากคณะนักร้องประสานเสียงของกลุ่มที่ 16 ของสาขาภาษาอังกฤษ พวกเธอจะดำเนินการโดยมี ฮวาง รั่วหราน เป็นผู้นำ และมี ชูเยว่ เป็นผู้บรรยาย!”

ม่านสีแดงขนาดใหญ่ค่อยๆเปิดออกและเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่คุ้นเคยของเหล่านักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษ ทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและรอยยิ้ม พวกเธอยืนอยู่ในรูปแบบตามการปรับเปลี่ยนที่เสี่ยวหลัวเคยสอนเอาไว้

ฮวาง รั่วหนาน สวมชุดสูทและรองเท้าส้นสูงก้าวเดินออกมาจากเวทีและโค้งคำนับผู้ชม จากนั้นเธอก็หันไปเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมสาขา ในขณะนั้นเสียงคลอสำหรับเพลง ‘แม่น้ำเหลือง’ ก็ดังไหลออกมาเบาๆ เหมือนกับสายน้ำบนภูเขา

ชูเยว่ เมื่อเสียงคลอของเพลงเริ่มดังขึ้น เธอจึงเริ่มอ่านเสียงดัง:“แม่น้ำเหลืองเป็นแม่น้ำสายธารแห่งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและไม่มีที่สิ้นสุด แม่น้ำเหลืองเป็นแม่น้ำแม่ของลูกหลานแห่งไฟและจักรพรรดิเหลือง บุตรชายและบุตรสาวกว่า 1,300 ล้านคน มีสายเลือดที่เชื่อมโยงกับแผ่นดินแห่งนี้”

“จากภูเขาหิมะและทุ่งหญ้าไปจนถึงแม่น้ำนิรันดร์ เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ด้วยเพลงที่น่าเคารพเพลงนี้ มันเริ่มต้นด้วยการรุกรานของญี่ปุ่นและกระสุนแห่งสายฝน เราใช้เสียงของเราเพื่อต่อสู้อย่างกล้าหาญ ลูกหลานของเรารวมกันเป็นปึกแผ่น กลายเป็นมังกรที่ปกป้องบ้านเกิดและแม่น้ำเหลืองที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่ของเรา!”

การอ่านออกเสียงที่เรียบง่ายนี้ มันทำให้ผู้ชมเกิดความหลงใหลได้ง่าย ตอนนี้ผู้ชมถูกเร้าอารมณ์อย่างต่อเนื่องจากความดื้อรั้นและภาพที่แข็งแกร่ง ราวกับว่าผู้ชมได้เห็นการต่อสู้ของทหารในกองกำลังปฏิวัติ ด้วยตาของตัวเอง”

เสี่ยวหลัว ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ชูเยว่ นั้นเป็นผู้บรรยายที่เหมาะสมจริงๆ

ฮวาง รั่วหราน เริ่มดำเนินการต่อไปด้วยสัญลักษณ์มือ จากนั้นเสียงร้องที่เป็นระเบียบและชัดเจนก็เริ่มดังขึ้น

“ลมกำลังร้องโหยหวนม้ากำลังร้องตะโกนเสียงคำรามท่ามกลางแม่น้ำเหลือง…”

ตอนแรกมันฟังดูเหมือนกับ ม้าป่าที่กำลังควบม้าข้ามทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ในท้ายที่สุดมันก็ตามมาด้วยม้าจำนวนมาก และในที่สุดมันก็กลายมาเป็นกลุ่มใหญ่ ในไม่ช้ามันก็มีม้าหลายหมื่นตัววิ่งไปพร้อมกับแม่น้ำเหลืองที่ไหลผ่าน ด้วยเสียงของพวกเขาเสริมด้วยการบรรเลงดนตรี การปะทะกันของเสียงสูงและเสียงต่ำ ที่รุนแรงมันทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกับว่า พวกเขากำลังมองดูคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังซัดสาดอยู่อย่ไรอย่างนั้น

ชายทั้งสองคนที่รู้สึกสงสัยในตอนแรกว่าสาขาภาษาอังกฤษจะทำได้ดีจริงๆเหรอ? แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองนั้นตกตะลึงไปพร้อมกับผู้ชมทั้งหมดแล้ว พวกเขาไม่เคยได้ยินนักร้องที่ทรงพลัง และคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนแก้วหูเช่นนี้มาก่อนเลย

ในช่วงกลางของเพลง ทำนองเพลงนั้นก็ดังขึ้นราวกับเสียงของฟ้าร้อง มันเป็นงานเลี้ยงดนตรีที่งดงามที่หล่อเลี้ยงจิตใจของทุกคน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เหมือนกับลำธารขนาดเล็กและจากนั้นจึงกลายมาเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่

การแสดงนี้มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!

เมื่อเพลงจบลง ฮวาง รั่วหราน จึงหันไปหาผู้ชมเพื่อคำนับและขอบคุณพวกเขา มันเงียบมากจนเสียงเข็มที่ตกบนพื้นในหอประชุมขนาดใหญ่แห่งนี้มันก็คงจะได้ยินกันทั่ว ผู้คนมากกว่าหนึ่งพันคนต่ก็จ้องมองไปที่บนเวที เสียงเพลงนั้นยังคงดังก้องกังวานอยู่ในหู และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่จิตวิญญาณของพวกเขา

พวกผู้หญิงจากสาขาภาษาอังกฤษต่างก็มองหน้ากัน พวกเธอรู้สึกประหม่าไปประมาณหนึ่งนาที เนื่องจากพวกเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชม พวกเธอร้องเพลงได้ดีไหม ทำไมผู้ชมถึงได้เป็นแบบนี้?

“เปะ…แปะแปะแปะ…”

ในขณะนั้นอาจารย์ผู้ตัดสินที่นั่งอยู่ตรงกลางแถวแรกยืนขึ้นและกลายเป็นคนแรกที่ปรบมือ เขาได้ทำลายความเงียบแปลกๆนี้ลงไปในทันที ผู้ตัดสินและนักศึกษาคนอื่นๆ พวกเขาลุกขึ้นยืนและปรบมือตามๆกันไป

ทุกคนแสดงออกถึงการให้การยอมรับ ของคณะนักร้องประสานเสียงสาขาภาษาอังกฤษ ด้วยเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ที่เข้มข้น

จนถึงตอนนี้ มันไม่ได้มีอาจารย์ผู้ตัดสินคนใดให้การยอมรับ ด้วยการสรรเสริญอย่างสูงเช่นนี้ จนกระทั่งคณะนักร้องประสานเสียงของสาขาภาษาอังกฤษ ขึ้นมาบนเวทีและแสดงการขับร้องอย่างหนักแน่น ตอนนี้ทุกคนถูกพิชิตโดยการร้องเพลงที่น่าหลงใหลนี้ไปจนหมดแล้ว

“มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ที่กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ สามารถร้องเพลง” แม่น้ำเหลือง“ได้ดีขนาดนี้!”

“ใช่แล้ว มันเต็มไปด้วยแก่นแท้และอารมณ์ สไตล์การร้องเพลงของพวกเธอ มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังฟังคลื่นของทะเลที่กำลังซัดสาด!”

ชายทั้งสองคนที่สงสัยในตัวของพวกผู้หญิงประหลาดใจ พวกเขามองไปที่ ที่นั่งของเสี่ยวหลัวอย่างบังเอิญ แต่ตอนนี้มันว่างเปล่าไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่เมื่อกี้ จากไปเมื่อใด

แน่นอนว่า มีคนที่มีความสุข ก็ต้องมีคนที่โศกเศร้า ชิวเหลียง นักดนตรีมืออาชีพจากสาขาการวัดและควบคุม รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก เขาค่อนข้างแน่ใจว่าพวกเขานั้นแพ้แล้ว จากการเปิดการบรรยายจนถึงการดำเนินการของคณะนักร้องประสานเสียงสาขาภาษาอังกฤษ ความสามารถในการร้องเพลงโดยรวมของพวกผู้หญิงนั้นดีกว่าของสาขาวิชาของเขามาก ตามการเดิมพันที่พวกเขาทำ เขาจะต้องเปลื้องผ้าและวิ่งไปรอบมหาลัย!

ในขณะเดียวกันนั้น เสี่ยวหลัว ตอนนี้เขาก็กำลังลากกระเป๋าเดินทางของเขาและเดินช้าๆไปยังถนนสายหลักของมหาลัย

เช่นเดียวกับตอนที่เขามาอย่างเงียบๆ ตอนจากไปเขาก็จะจากไปอย่างเงียบๆเช่นกัน เขาไม่เสียใจ อย่างน้อยเขาก็จากไปด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าคณะนักร้องประสานเสียงของสาขาภาษาอังกฤษจะต้องชนะเป็นอันดับแรกแน่

เพียงแต่ในใจของเขาตอนนี้นั้นรู้สึกลังเลเล็กน้อยเกี่ยวกับการจากไป

เขาจะทิ้งเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้เบื้องหลัง จูเสี่ยวเฟย ผู้ที่ถูกทารุณอยู่ตลอด เติ้งไค ผู้ที่พูดไม่เก่งและผอมเหมือนลิง นอกจากนี้ยังมี ฮวาง รั่วหราน ผู้มีอำนาจ และ ฮวาง รั่วหราน ผู้น่ารัก และ ชูเยว่ สาวน้อยจอมเอาแต่ใจ เขาจะทิ้งเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้เบื้องหลังทั้งหมดเมื่อเขาจากไป…

ในทุกวันที่หัวเย่ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆอยู่เลย

อย่างไรก็ตามอารมณ์ทั้งหมดเหล่านี้ ก็จะถูกเจือจางลงไปตามกาลเวลา เขายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่อีกมาก

ที่ประตูของมหาลัย มีรถเบนท์ลีย์สีดำจอดรออยู่

“คุณเสี่ยว?” คนขับถามด้วยความเคารพ

เสี่ยวหลัวพยักหน้า: “สวัสดี”

คนขับรถเปิดประตูและพูดว่า “บอสกำลังรอคุณอยู่ที่โรงแรมศาลาน้ำหอมแห่งสวรรค์ เป็นเวลานานแล้ว กรุณาขึ้นรถด้วยครับ”

“ขอบคุณ”

เสี่ยวหลัวมองกลับไปที่หัวเย่ อีกครั้งก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปบนรถ