บทที่ 62 ฉากที่น่าอับอายเป็นที่น่าสังเวชจนไม่คิดว่าจะมีอยู่ในโลกนี้ได

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

“ไม่!เธอไม่อยาก!”หลินจือยกมือขึ้นไปผลักหน้าอันสวยงามของนานิกลับไป

ใบหน้าของนานินี้ ผู้ชายเห็นแล้วสิถึงอยากทำมิดีมิร้าย

นานิหัวเราะขึ้นมา หัวเราะเสร็จก็บ่นเทาเท่ด้วยความรังเกียจ:“ฉันอยากแนะนำให้เทาเท่ไปแผนกตาจริงๆ ทิ้งผู้หญิงอย่างเธอที่สวยทั้งภายในและภายนอก แล้วไปเอาซูซียัยแรดที่จิตใจดำอำมหิตแบบนั้น”

สายตาของหลินจือนิ่งไป:“คนทุกคนต่างกัน ต่างมีความรักเป็นของตัวเอง บังคับความรู้สึกไม่ได้”

นานิถอนหายใจเบาๆ:“ตอนนี้เธอช่างมีเมตตาเสียจริงนะ”

หลินจือหัวเราะขึ้นมา:“หลังจากประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ก็ต้องมีเมตตา”

ความรู้สึกนั้นช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ใครจะกล้าสัมผัสรักที่เอื้อมไม่ถึงนั้นอีก?

นานิจับแก้มด้วยมือข้างหนึ่งแล้วพูดอย่างเศร้าๆ:“แต่ทำไมฉันผ่านประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจเหมือนกัน ยังรักเขาอยู่ล่ะ?”

หลินจือปลอบเธอเบาๆ:“สถานการณ์เธอกับฉันไม่เหมือนกัน พวกเธอสองคนรักกันจริงๆ แต่ถูกบังคับให้แยกจากกัน และเธอยังต้องเลิกเพื่ออนาคตของเขาด้วย”

“ฉันกับเทาเท่เป็นฉันที่รักข้างเดียว ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงไม่นึกถึงแล้ว เพราะว่านึกถึงเขาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

“เธอยังมีโอกาส”

หลินจือพูดว่าเธอยังมีโอกาส ทำให้นานิดีใจสุดๆ

หลินจือหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคุณท่าน ขอโทษเขาและบอกคุณท่านว่าตัวเองมีประชุมกะทันหัน ไปนัดบอดไม่ได้จริงๆ

ถึงคุณท่านจะไม่ยินดีนัก แต่ทำไงได้เพราะในหัวหลินจือมีแต่งาน คุณท่านเลยได้แต่ปล่อยไป

ตอนที่หลินจือกับนานิมาถึงเบลดิ้ง ก็เจอคนสองคนในห้องโถง เป็นหญิงสาวคนเขียนบทเบลดิ้งของกับผู้ช่วยของเธอ

นามปากกาชื่อผู้หญิงเขียนบทคนนั้นคือลีวาย อาวุโสกว่าหลินจือสองสามปี

ได้ยินว่าสองสามปีก่อนเธอเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงในเน็ตมาก ทันยุคทองของ IP และนวนิยายในมือหลายเรื่องก็ได้ขายลิขสิทธิ์ไปแล้ว

ละครย้อนยุคหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องที่เจเทาวน์แสดงนำพอดี ตอนนั้นเจเทาวน์โด่งดังอีกครั้งจากเรื่องนี้

และก็หลังจากเรื่องนั้น เจเทาวน์จึงก่อตั้งเบลดิ้งแล้วเริ่มทำเบื้องหลัง และในเวลานั้นลีวายก็ถูกเจเทาวน์เรียกมาเป็นคนเขียนบทที่เบลดิ้ง ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเบลดิ้ง

ก็แค่ หลายปีมานี้ลีวายไม่ได้ผลิตละครที่โด่งดังออกมาเลย

ตอนนั้นนิยายไม่กี่เล่มเหล่านั้นที่เธอขายลิขสิทธิ์ไป ก็มีแค่เรื่องย้อนยุคเรื่องนั้นที่เจเทาวน์แสดงนำโด่งดัง เรื่องอื่นๆก็ไม่มีแม้แต่กระแส

ได้ยินว่าตอนนั้นเธอยังอยากให้ครูสรับเธอเป็นศิษย์ด้วยความจริงใจ แต่ครูสดูแบบร่างของเธอแล้วก็ปฏิเสธไปโดยตรง

ครูสเป็นคนใหญ่คนโตของวงการคนเขียนบท มีความสามารถและมีประสบการณ์ ให้ความเห็นไปว่า:ดูไม่สมจริงมากไป ไม่รู้ว่าพูดถึงอะไร

จนเกือบทำให้ลีวายโมโหจัด

หลังจากหลินจือเข้าร่วมเบลดิ้ง เพราะว่าตอนแรกแค่ทำงานพาร์ทไทม์ ดังนั้นสองสามปีนั้นจึงเห็นลีวายแค่ครั้งสองครั้ง หลินจือรู้สึกได้ชัดเจนว่าลีวายไม่ได้รู้สึกดีกับเธอนัก แต่เธอก็ไม่เอามาใส่ใจ

ตอนนี้พอได้เจอกันอีก หลินจือจึงทักทายเธอไปอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน:“สวัสดีค่ะ ครูลีวาย”

หลินจือยี่สิบหก ลีวายเหมือนจะสามสิบห้าสามสิบหก ถึงแม้หลินจือจะอายุต่างกับเธอไม่มากนัก แต่เพื่อความสุภาพแล้วหลินจือจึงเรียกไปว่าครูลีวาย

ลีวายพยักหน้าไปให้หลินจือด้วยใบหน้านิ่งๆ ถือว่าทักทายแล้ว

ทั้งสี่อยู่ตรงนั้น ก็ได้ยินผู้ช่วยลีวายพูดกับลีวายอย่างดูถูกว่า:“คนบางคน ได้โปรแกรมบทไป ไม่ได้มาจากความสามารถพิเศษ แต่มาจากหน้าตา ทำให้วงการคนเขียนบทของพวกเราแปดเปื้อนเสียจริง”

ประโยคนี้กำลังกระแนะกระแหนใครทุกคนรู้ดี นานิโกรธจนอยากเข้าไปเคลียร์

หลินจือห้ามเธอไว้ และส่ายหน้าให้เธอ

ลีวายนี้ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนิยายในเน็ตหรือว่าวงการคนเขียนบท ชื่อเสียงไม่ดีทั้งนั้น ชอบไปต่อกรกับคนอื่น

ตอนที่เป็นนักเขียนในเว็บ เว็บที่เธออยู่ในรายการต่างๆล้วนเป็นแต่เธอครอบงำทั้งนั้น ถ้ามีนักเขียนคนอื่นครอบงำเธอ เธอก็จะออกโรงไปต่อกรด้วย

ต่อมาเข้าสู่วงการคนเขียนบท เธอในฐานะที่เป็นคนละสายงานเข้ามาจึงไม่กล้าต่อกรกับคนเขียนบทแต่ละคนอย่างซึ่งๆหน้า แต่ลับหลังก็จะจ้างแอคหลุมเพื่อปั่นกระแสฝ่ายตรงข้ามเยอะมาก

เป็นคนที่เห็นคนอื่นดีไม่ได้ ดังนั้นหลินจือจึงไม่อยากมีปัญหากับเธอ

หลังจากทั้งสองเข้าไปในลิฟต์ นานิพูดด้วยความโกรธว่า:“ลีวายนั่นอิจฉาที่ประธานเจเทาวน์เอาบทของ”The Legend of Concubine Rong “ให้เธอเขียน”

“คนแก่ไร้ประโยชน์ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเย็นชาอย่างเธอนั้น อยากใช้หน้าตาก็คงไม่มีใครเอา!”

“นอกจากเรื่องนั้นของประธานเจเทาวน์แล้ว เธอยังมีเรื่องไหนที่ดังระเบิดอีกล่ะ?ถ้ายังไม่มีผลตอบรับที่ดีอีก ไม่ช้าก็เร็วประธานเจเทาวน์ต้องไล่เธอออกแน่”

นานิก็เป็นคนปากร้ายคนหนึ่ง โดยเฉพาะกับคนที่มีความคิดไม่ดี เหล่านั้น

หลายปีมานี้หลินจือเดินอย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังตลอดเวลา นานิรู้ดีกว่าใคร

หลินจือจบจากสาขาวรรณกรรมละครอย่างสง่าผ่าเผย และยังได้คะแนนยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในสาขา เขียนโครงร่างกับประวัติตัวละครสี่ปีอย่างเยือกเย็นสุขุม ก้าวไปทีละก้าวจึงไปสู่จุดของบรรณาธิการอำนวยการ

ลีวายนั่นผันตัวมาเป็นคนเขียนบทกลางคัน และยังก้าวขึ้นไปกลายเป็นคนเขียนบทมือทองของคนเขียนบทที่มีชื่อเสียงอีก

ตอนนี้ดูสิ คุณภาพที่ทำละครถดถอยลงเรื่อยๆ นี่สินะที่บอกว่าก้าวยาวเกินไป จะล้มลงได้ง่าย!

หลินจือปลอบเธอ:“อย่าทะเลาะกับคนที่มีความรู้ต่ำกว่าอย่างเธอเลย พวกเราทำส่วนของเราให้ดีที่สุดก็พอ ถึงตอนนั้นใช้คะแนนแล้วค่อยว่ากัน”

นานิทั้งรักทั้งเบื่อเธอ:“เธอจะดีเกินไปแล้วนะ”

“เธอต้องแข็งแกร่งขึ้น!แกร่งขึ้นมา!โอเคไหม!”นานิเขย่าแขนเธอและสั่ง

ลิฟต์หยุดลงตรงชั้นที่พวกเธอจะไปพอดี พอประตูเปิดลงทั้งสองก็เดินออกไปอย่างขำขัน

หลินจือจึงหยอกล้อกับนานิ:“ฉันไม่ใช่ผู้ชายนะ ทำแบบนั้นไม่ได้”

เธอพูดจบก็เงยตาขึ้นมา แล้วก็เห็นเทาเท่กับควีนที่ยืนอยู่ไม่ไกลตรงทางเดิน

มองควีนที่กลั้นหัวเราะ ชัดเจนว่าได้ยินที่เธอพูด

หลินจืออยากจะเป็นลมไปที่ตรงนั้นทันที

นี่มันเป็นฉากน่าอับอายสุดๆจนไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ห่าอะไรเนี่ย?

เธอลามก และสามีเก่าก็ได้ยิน

ที่อยากจะบ้าตายที่สุดก็คือ เมื่อก่อนเธอมีภาพลักษณ์สง่างามใจกว้างต่อหน้าสามีเก่า แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงยังหน้าแดงและกังวล

ติ่งหูของหลินจืออดไม่ได้ที่จะร้อนผ่าว แต่ก็จำต้องเดินเข้าไป

ช่างเถอะๆ ตอนนี้เธอก็ไม่แคร์แล้วที่ต้องมีภาพลักษณ์ดีๆต่อหน้าเทาเท่

อีกอย่าง คนที่วันๆเอาแต่อยู่กับงานเขียนอย่างเธอ ข้างในใจใครบ้างที่ไม่ซ่อนความสับปลับไว้?

เรื่องแบบไหนที่พวกเธอไม่เคยอ่าน?ภาพแบบไหนกันที่ไม่เคยเขียน?

พอคิดแบบนี้ ตอนเดินไปถึงตรงหน้าเทาเท่เธอก็ดูสบายใจขึ้นมา

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเทาเท่กับควีน เธอทักทายพวกเขาสองคนอย่างสุภาพ:“ประธานเทาเท่ ผู้ช่วยควีน”

แววตาของเทาเท่ดูไม่อยากจะเชื่อ ตกใจกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูด

แต่พอเธอเดินไปใกล้ สายตาก็ดูตกตะลึงเพราะหน้าตาของเธอในวันนี้

จากนั้น เขาก็ก้มหน้าลงอีกครั้งและไม่พอใจ

เทาเท่รู้ว่า วันนี้ตอนเที่ยงหลินจือต้องไปนัดบอด ดังนั้นนี่คือการแต่งตัวที่เธอจะไปนัดบอดสินะ?

แต่งเต็มเพื่อไปเข้าร่วมอย่างตื่นเต้นขนาดนี้ นี่เธอแทบรอไม่ไหวที่จะแต่งงานอีกครั้งเหรอ?