บทที่ 63 เข้าท่าไหม

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

หลินจือไม่สนใจเทาเท่ว่าสีหน้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เธอไม่อยากอยู่คุยกับเขามากนัก ดังนั้นทักทายเสร็จจึงพูดว่า:“ฉันไปก่อนนะคะ”

เห็นเทาเท่กับควีนเป็นแค่พันธมิตรทั่วไป

หลินจือไปแล้ว นานิก็จ้องเทาเท่แล้วพูด:“ประธานเทาเท่ โครงการนี้คุณให้อำนาจผู้ช่วยควีนไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอคะ?ทำไมยังปรากฏตัวแบบนี้อยู่เรื่อยๆล่ะ?”

ควีนตอบแทนเทาเท่:“ครั้งนี้เปลี่ยนผู้กำกับค่ะ เรื่องใหญ่ ดังนั้นประธานเทาเท่เลยตั้งใจมาเป็นประธานที่ประชุม”

นานิหัวเราะเหอะๆ:“ก็แค่กลัวว่าคนบางคนจะมีแรงจูงใจอื่นแอบแฝง ระวังเถอะคนไม่มีวาสนาต่อกันใกล้กันแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้”

นานิพูดจบก็เหยียบส้นสูงแล้วออกไป เทาเท่โมโหคำพูดของนานิสุดๆ

เขายังจำได้ว่า วันแรกที่หลินจือกลับประเทศมาพวกเขาเจอกันที่เบลดิ้ง ตอนนั้นเขาพูดใส่นานิว่าคนมีวาสนาต่อกันอย่างไรก็ไม่แคล้วกัน คิดไม่ถึงว่าวันนี้นานิจะตอบเขาไปว่าคนไม่มีวาสนาต่อกันใกล้กันแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้

นิสัยที่ไม่ยอมใครแบบนานินี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนกับหลินจือที่นิสัยไม่ชอบมีปัญหาหรือต่อสู้กับใครได้อย่างไร

ตอนที่หลินจือเข้าไปในห้องประชุม เจเทาวน์ก็อยู่ด้านในแล้ว ก้มหน้าดูเอกสาร

เจเทาวน์ในฐานะที่เคยเป็นไอดอล เรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าได้ทุกมุมทั้ง 360 องศา รอดจากกล้องถ่ายทุกทิศทาง

แต่น่าจะเพราะว่าเป็นไอดอล ดังนั้นบุคลิกของเขาจึงสง่างามกว่าเทาเท่เยอะเลย

ยังไงเทาเท่ก็เป็นครอบครัวนักธุรกิจ ได้รับอิทธิพลจากธุรกิจตั้งแต่เด็กเป็นประจำ ดังนั้นทั้งตัวจึงมีแต่ความโหดเหี้ยมแพร่ออกมา และความหนาวเย็นที่ปฏิเสธผู้คนที่ในหลายพันไมล์

ตอนนี้หลินจือรู้สึกว่า ผู้ชายดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิอย่างเจเทาวน์นี้มองดูแล้วสบายใจ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอเป็นอะไรไป ถึงได้ชอบผู้ชายอย่างเทาเท่ที่ห้ามใครเข้าใกล้

ตอนวัยรุ่นใครบ้างที่ไม่รักคนหัวปักหัวปำ?

หลงทางยังมีวันกลับได้ ยังไม่สาย

หลังจากเห็นเธอเข้าไป เจเทาวน์ก็ตะลึงก่อน จากนั้นก็ชมเธอด้วยความประหลาดใจ:“วันนี้สวยจัง”

“ขอบคุณค่ะ”หลินจือเขินอายเล็กน้อย นั่งลงข้างเจเทาวน์แล้วถามเขา“ประธานเจเทาวน์ ทำไมจู่ๆก็ตัดสินเป็นผู้กำกับเรื่องนี้คะ?”

เจเทาวน์ยิ้มออกมา:“แทนที่จะให้คนอื่นมากำกับและทำให้ความคืบหน้าล่าช้า ผมลงมือเองดีกว่า”

“แต่งานของผู้กำกับลำบากมาก แบบนี้คุณก็จะยุ่งหรือเปล่าคะ?”ในใจหลินจือรู้สึกผิด

ถ้าไม่ใช่เธอที่ทำเรื่องพวกนี้ เจเทาวน์แค่เป็นเจ้านายที่วางแผนภาพรวมก็พอ ไม่ต้องมาเป็นผู้กำกับที่ชีวิตทั้งยุ่งและเหนื่อย

เจเทาวน์มองความคิดของเธอออก จึงพูดอย่างอบอุ่น:“ไม่เป็นไร ยังไงซะผมก็อยากลองเป็นผู้กำกับดู”

ยังไงซะ……เพื่อนที่เป็นพันธมิตรกับเขาก็จะกลับมาแล้ว ต่อไปเขาก็สามารถเอาเรื่องที่บริษัทให้เขาจัดการได้

หลินจือขอโทษเสียงเบา:“ขอโทษค่ะ ประธานเจเทาวน์ เป็นเพราะฉันเอง……”

เจเทาวน์ปลอบเธออย่างอ่อนโยน:“ไม่เกี่ยวกับคุณ อย่าคิดอะไรไปมั่ว”

ตอนที่เทาเท่เดินเข้าไปในห้องประชุม ก็เห็นฉากที่เจเทาวน์ละสายตาลงปลอบหลินจือเสียงอ่อนโยน

เทาเท่เหลือบมองเจเทาวน์อย่างไม่พอใจ พวกเนมาไม่ใช่คนดี เจเทาวน์ก็ไม่ดีพอกันแหละ

เทาเท่เสียใจเล็กน้อยที่ยอมให้เจเทาวน์มาเป็นผู้กำกับ นี่ไม่ใช่โอกาสที่เรียกว่าใครมือยาวสาวได้สาวเอาแก่เจเทาวน์เหรอ?

จากนั้นจึงเริ่มประชุม เทาเท่นั่งหัวโต๊ะ ตำแหน่งของเขานั้น เงยหน้าไปก็มองเห็นคอที่เรียวยาวและขาวของหลินจือพอดี และยังมีเหมือนอัญมณีเล็กๆที่ติ่งหู

แล้วจู่ๆก็คอแห้ง เขาหันไปแล้วเปิดน้ำดื่มตรงหน้ามาดื่ม

โทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะสั่น เขาเหลือบมอง เป็นโซเมนที่ส่งข้อความให้เขา

ไม่มีคำพูด มีแต่อิโมจิหัวหมาสามหัว

โซเมนส่งอิโมจิแบบนี้ กำลังดูถูกเขาชัดๆว่าก่อกวนนัดบอดของหลินจือ

เทาเท่ขี้เกียจสนเขา โซเมนผู้ชายคนหนึ่ง วันๆเอาแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน สนุกเหรอไง?

อีกอย่าง เขาตั้งใจก่อกวนเมื่อไหร่?

“The Legend of Concubine Rong “เปลี่ยนผู้กำกับ ถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องประชุมฉุกเฉิน

หลังจากคุยเรื่องผู้กำกับเสร็จ ก็พูดถึงการเลือกพระเอก

ที่จริงในใจของหลินจือมีตัวเลือกพระเอกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว คนอื่นเสนอเป็นนักแสดงชายสองสามคน ล้วนแต่ไม่ใช่คนที่อยู่ในใจเธอเลย

สายตาของเทาเท่มองไปที่หน้าหลินจือ มองออกว่าเธอน่าจะมีตัวเลือกอื่นในใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงถามอย่างสบายๆ:“คนเขียนบทคิดว่าไง?มีตัวเลือกที่เหมาะสมไหม?”

ดังนั้นหลินจือจึงเงยขึ้นสบตากับเขาแล้วพูดตรงๆ:“ฉันคิดว่าคุณนิปปอนนั้นเหมาะมาก”

นิปปอนเป็นนักแสดงที่อยู่ในสถานะพอๆกับเจเทาวน์ ได้รางวัลมาแทบทั้งหมดแล้ว เป็นนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

แต่นิปปอนวัยรุ่นกว่าหน่อย ปีนี้สามสิบสอง

นิปปอนก็ถ่อมตัวมากกว่า หลังจากที่เจเทาวน์ประสบความสำเร็จโด่งดังก็เลือกก่อตั้งบริษัททำธุรกิจของตัวเอง ส่วนนิปปอนดันกลับไปในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นครูคณะภาพยนตร์

ถึงแม้สองปีนี้เขาจะรับละคร แค่ก็น้อยมาก และก็มีความต้องการต่อบทสูงมาก

ได้ยินหลินจือพูดถึงนิปปอน สายตาทุกคนก็มองไปที่เธอ อยากฟังว่าทำไมเธอเลือกนิปปอน

หลินจือพูด:“คุณรองค์ สวมชุดโบราณได้ดูเปล่งประกายสดใส ท่าทางสง่างามหล่อเหลา ดูเหมือนหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับผู้คนในโลก แต่ในสายตาแอบซ่อนความแข็งกร้าวกับเผด็จการไว้ คล้ายกับตัวละครคิงรองค์มาก”

เทาเท่:“……”

เธออ้าปากพูดก็ชมผู้ชายอื่นว่าดีต่อหน้าเขา เข้าท่าเหรอ?

และยังใช้คำศัพท์อย่าง“เปล่งประกายสดใส”ด้วย เจ๋งมาก

ทันใดนั้นเขาก็อยากรู้มากว่า เธอจะใช้คำศัพท์ระดับสูงอะไรมาบรรยายเขา ยังไงเธอก็เคยชอบเขาแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?

“นิปปอนไม่เลวจริงๆ”เจเทาวน์อยู่ข้างๆก็พูด“คนเขียนบทตาเฉียบคมมากกว่าจริงๆด้วย พวกคุณทุกคนว่าไง?”

คนอื่นไม่มีความเห็นอะไรต่อภายนอกกับบุคลิกของนิปปอน ก็แค่……

มีคนพูดว่า:“แต่คุณรองค์มีความต้องการต่อบทมาสูงมาก ถึงพวกเราจ้างไป เขาจะมาได้เหรอ?”

เจเทาวน์พูด:“ผมมั่นใจบทของพวกเรา เดี๋ยวผมไปลองคุยกับเขาเอง”

เจเทาวน์มองไปที่เทาเท่อีกครั้ง:“ถ้าประธานเทาเท่มีปฏิสัมพันธ์กับนิปปอน งั้นก็รบกวนช่วยคว้ามาด้วยครับ”

เทาเท่ส่งเสียงฮึดฮัด เจเทาวน์นี่หลินจือพูดอะไร เขาก็ดำเนินการตามนั้นเลยเหรอ?

อย่างไรก็ตาม ปากกลับพูดไปว่า:“ผมไม่สนิทกับเขานัก เดี๋ยวพวกเราเรียกคนเขียนบทไปคุยด้วยกัน เกี่ยวกับสาระของบท ยังไงเป็นคนเขียนบทอธิบายเองจะดีกว่า”

หลินจือ:“……”

เธอต้องไปคุยกับพวกเขา?

งั้นก็ต้องอยู่กับเทาเท่อีกแล้ว?

เธอพอแล้วจริงๆ

เทาเท่คิดว่าเธอโดยซูซีทำร้ายไม่พออีกเหรอ?

เจเทาวน์ที่อยู่ข้างๆก็พูดอย่างประจวบเหมาะ:“คนเขียนบทก็รีบเขียนบทเถอะ เรื่องอื่นให้พวกเราทำก็พอ”

เจเทาวน์มองไปที่เทาเท่อีกครั้ง:“สาระสำคัญของบทเรื่องนี้ ผมว่าผมเข้าใจดี อธิบายให้นิปปอนฟังได้”

หลินจือมองเจเทาวน์อย่างซาบซึ้ง ขอบคุณเขาที่ช่วยเธอเลี่ยงเกี่ยวข้องกับเทาเท่

เทาเท่มองปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน สีหน้าก็หม่นลงไป