บทที่ 269 หลุมพราง
“วันนี้ถ้าฉันจับแกไม่ได้ ฉันไม่ขอเป็นคนอีก”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาเสียงดังในขณะที่ใช้วิชาตัวเบาติดตามมือสังหารร่างเล็กไปไม่ห่าง
วิชามัจฉาไร้เงาแยกร่างมีความรวดเร็วมากกว่าวิชาย่องหาโฉมสะคราญและวิหคดั้นเมฆ แต่ส่วนที่ดีที่สุดของวิชานี้ก็คือมันเหมาะสมกับการติดตามไล่ล่าศัตรูที่สุด ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นจอมยุทธ์ในนิยายกำลังภายในของโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
หลินเป่ยเฉินเหน็บธนูเหล็กไหลเข้ากับแผ่นหลังและดาวน์โหลดดาบศีลธรรมออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ เขากระโดดลงไปบนหลังคาบ้านเรือน ใช้เป็นแรงส่งตัวพุ่งขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง
แต่มือสังหารร่างเล็กเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว มันปีนป่ายไปตามยอดหลังคารวดเร็วยิ่งกว่าวานรในผืนป่า
หลินเป่ยเฉินพยายามจะยิงลูกศรออกไปหลายครั้ง
แต่เพราะลูกธนูของเขามีอานุภาพการทำลายล้างรุนแรง อาจจะทำให้บ้านเรือนผู้คนได้รับความเสียหายโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องตัดสินใจไม่ยิงธนูในเขตเมือง
และมือสังหารร่างเล็กก็อยู่ไกลเกินระยะที่ลูกศรจะไปถึงด้วย
โชคดีที่ระยะห่างของพวกเขาเริ่มย่นเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด นักฆ่าร่างแคระก็อยู่ในรัศมีศรมังกรบินแล้ว
ฟ้าว!
เมื่อออกมาพ้นเขตเมือง หลินเป่ยเฉินก็ยิงธนูโดยไม่ลังเล
“หึหึ หลินเป่ยเฉิน ธนูของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
มือสังหารตัวแสบหันหน้ากลับมาหัวเราะเยาะเขา
ใบหน้าของมันยังคงเป็นใบหน้าของเสี่ยวหลิง
เด็กน้อยผู้งดงามน่ารัก ซุกซ่อนความอำมหิตและความร้ายกาจเอาไว้ภายใต้ดวงตาไร้เดียงสา
ร่างกายของมันเดี๋ยวกระโดดขึ้นลง เดี๋ยวขยับไปซ้ายไปขวา
ถึงแม้ว่าจะใช้พลังลมปราณไปไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าพลังลมปราณของมันจะไม่ได้ลดลงเลย
หลินเป่ยเฉินไล่ตามไปเกือบหนึ่งเค่อ ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็เหลืออยู่แค่ 20 กว่าวาแล้วเท่านั้น
“คิดจะหนีงั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
เด็กหนุ่มยิงอาวุธลับออกไปจากใต้แขนเสื้อ ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ตัวคนพุ่งออกไปเป็นลำแสง
ฟ้าว!
อาวุธลับถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง
ฟู่!
บริเวณแขนขวาของนักฆ่าร่างเล็กมีเลือดพุ่งกระฉูด
“ข้าจะต้องฆ่าทุกคนที่เจ้ารักให้ได้ ข้าขอสาบาน…”
มือสังหารคำรามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีวิชาเพิ่มพลังจากเลือดหรืออะไรสักอย่าง เพราะอยู่ดีๆ ระดับความเร็วของนักฆ่าตัวน้อยก็เพิ่มมากขึ้น สามารถรักษาระยะห่างจากหลินเป่ยเฉินเอาไว้ได้ไม่น้อยไปจากเดิม
ระหว่างที่หลบหนี มันก็หันกลับมาส่งเสียงคำรามยั่วยุหลินเป่ยเฉิน
ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มรู้สึกผิดปกติ
“ปกติไอ้หมอนี่แม่งเร็วจะตาย แต่ทำไมมันยังไม่ยอมหนีไปอีกนะ หรือว่ามันตั้งใจล่อเราออกมาจากสถานศึกษา เพื่อไปหาพวกมันที่กำลังดักโจมตีเราอยู่?”
คิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เขาหยุดการไล่ล่าโดยทันที
ความกลัวตายมักทำให้คนเราได้สติเสมอ
หลินเป่ยเฉินหันหลังกลับโดยไม่พูดคำใด ขอแค่รู้สึกได้ถึงอันตรายเพียงเล็กน้อย เขาก็จะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด
แต่ทว่ามันกลับสายเกินไปแล้ว
ฟ้าว!
เสียงวัตถุแหวกอากาศดังเข้ามา
เป็นเสียงของลูกศร 3 ดอก
ความเร็วของลูกศรเหล่านั้นร้ายกาจมาก อานุภาพของพวกมันยิ่งน่ากลัว ลูกศรพุ่งผ่านอากาศ กลายเป็นคลื่นพลังงานสามสายพุ่งตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มใช้กระบวนท่าย่องหาโฉมสะคราญ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งท่าร่างด้วยความรวดเร็ว
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ลูกศรพุ่งเข้าไปปะทะกับกำแพงหินด้านข้าง ส่งผลให้กำแพงถล่มตัวลงไปในพริบตา
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะมารู้ตัวว่าเขามัวแต่สนใจการตามล่านักฆ่าร่างเล็กมากเกินไป จนลืมสังเกตไปเลยว่าขณะนี้ตนเองกำลังอยู่ที่ไหน
เขากำลังอยู่ในหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่งของเมืองหยุนเมิ่ง
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง กำแพงพังถล่ม บ้านเรือนที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยทรุดโทรมเสียหายซอมซ่อ
ให้ตายสิ
เขานี่มันโง่จริงๆ
หลินเป่ยเฉินรีบหมุนตัวหลบหนีมาโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับไป
“อิอิ ไหนเจ้าว่าถ้าวันนี้จับข้าไม่ได้ เจ้าไม่ขอเป็นคนอีกต่อไปไงเล่า?”
มือสังหารร่างแคระหัวเราะเยาะและเปลี่ยนกลับมาเป็นฝ่ายตามล่าหลินเป่ยเฉินแทน
เด็กหนุ่มตะโกนตอบกลับไปว่า “อยู่ต่อก็โง่เต็มทน ข้าไม่ขอเป็นคนก็ได้”
คนที่มีความลื่นไหลมากที่สุด จะเป็นคนที่รอดชีวิตในท้ายที่สุด
นี่คือหลักคิดของหลินเป่ยเฉิน
ใครจะอยากทำตัวเป็นพระเอกตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้กัน
นักฆ่าไม่คิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ มันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดระแวงในจิตใจ
หลินเป่ยเฉินพัฒนาฝีมือขึ้นมาได้รวดเร็วมากเกินไป จะปล่อยให้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด
มิเช่นนั้นแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้จะกลายเป็นตัวปัญหาของพวกมันในอนาคต
หลินเป่ยเฉินทะยานออกมาได้อีกสองก้าว เขาก็เปลี่ยนตำแหน่งท่าร่างอีกครั้ง
ด้วยพบว่ามีนักฆ่าชุดดำอีกหลายสิบคนยืนขวางหน้าปิดกั้นหนทางหลบหนี
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเส้นทางโดยไม่ลังเล
แต่ในไม่ช้า เขาก็พบว่าเส้นทางอื่นๆ ก็ถูกปิดล้อมแล้วเช่นกัน
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น บรรดาบ้านร้างที่อยู่โดยรอบ ต่างก็มีมือสังหารชุดดำยึดครองอยู่หมดสิ้น
“ซวยแล้วไง” หลินเป่ยเฉินอุทานขึ้นมาในใจ “นี่เราตกหลุมพรางพวกมันจริงๆ นี่หว่า”
…
ปุ้ง!
ดอกไม้ไฟสีแดงเพลิงระเบิดตัวกลางท้องฟ้า
เปลวไฟแผ่กระจายกลายเป็นรูปกระบี่สีแดงในอากาศ
ภาพนั้นเตะตาหลิงจุนเซวียนที่กำลังเหม่อมองดวงจันทร์อยู่ในจวนผู้ว่า
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ นั่นคือสัญญาณแจ้งเตือนปีศาจออกอาละวาดขอรับ” เจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้ามือปราบวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าแตกตื่น น้ำเสียงสั่นเครือ
ในทุกครั้งที่มีการค้นพบปีศาจออกอาละวาด กระบี่สีแดงคือสัญญาณที่ถูกใช้สำหรับการแจ้งเตือนในจักรวรรดิเป่ยไห่ บ่งบอกว่าสถานการณ์เร่งด่วนถึงขีดสุด
เมื่อมองเห็นสัญญาณนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายทหารของกองทัพ หรือเป็นขุนนางจากหน่วยงานบริหารบ้านเมือง ทุกคนต่างก็ต้องรีบเร่งไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งมีการส่งสัญญาณเตือนเพื่อจับกุมปีศาจให้ได้
“เรียกระดมพลทุกคนที่ทำได้ นอกจากผู้ที่รับหน้าที่เฝ้าห้องเก็บศพ บอกให้ทุกคนมารวมตัวกันที่หน้าจวนผู้ว่าและรอรับคำสั่งจากข้าต่อไป”
ในดวงตาของหลิงจุนเซวียนเป็นประกายแวววาว ก่อนที่เขาจะกระโดดออกไปจากหน้าต่างและเคลื่อนกายหายวับไปในพริบตา
ในเวลาเดียวกันนั้น ได้ปรากฏเงาร่างของผู้คนอีกสองสายพุ่งออกไปจากจวนผู้ว่าตระกูลหลิงด้วยความรวดเร็วเต็มอัตรา เพียงพริบตาเดียว ร่างของพวกเขาก็หายลับไปจากสายตาแล้ว
…
ณ วิหารเทพกระบี่บนเนินเขา
“มีปีศาจออกอาละวาดในตัวเมืองหรือ?” นักพรตหญิงชินยืนอยู่ที่หน้าประตูวิหาร ก้มหน้ามองลงไปยังเมืองที่อยู่ด้านล่างด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไรกัน? ทำไมรูปปั้นเทพีกระบี่ถึงไม่ส่งสัญญาณอะไรเลยล่ะ…”
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
ปรากฏว่าเป็นบรรดานักบวชสาวผู้เป็นลูกศิษย์ของนางเอง
นักพรตหญิงชินหันไปสั่งงานว่า “พวกเจ้าดูแลวิหารให้ดี เปิดค่ายอาคมกระบี่เตรียมพร้อมเอาไว้ด้วย เดี๋ยวอาจารย์จะเข้าเมืองไปดูสถานการณ์สักหน่อย”
พูดจบแล้ว ปีกสองข้างก็งอกออกมาจากบนแผ่นหลังของนักพรตหญิงชิน และพานางโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับเป็นวิหค ระหว่างที่โผบิน รอบกายของหญิงสาวมีแสงสว่างเป็นประกายเรืองรอง พาดผ่านไปบนผืนฟ้าดำมืดดูสวยงามตระการตายิ่งนัก
…
ณ สถานศึกษากระบี่เกือบทุกแห่งภายในตัวเมือง
“ปีศาจปรากฏตัวอย่างนั้นหรือ?”
“หืม มีปีศาจอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างไรกัน?”
“พวกเรารีบไปช่วยกันเถอะ”
…
ห่างออกมาจากตัวเมืองเป็นระยะทางสิบลี้ สำนักงานใหญ่ของหน่วยนักรบเมฆาตั้งอยู่ข้างท่าเรือประจำเมืองหยุนเมิ่ง
ภายในกระโจมที่พักของผู้บังคับบัญชา ชายวัยกลางคนซึ่งขะมักเขม้นอยู่กับการออกกำลังกายด้วยการยกลูกเหล็กทั้งสองแขนมองเห็นดอกไม้ไฟที่ถูกยิงขึ้นไปบนผืนฟ้า แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปขณะที่โยนลูกเหล็กในมือทิ้งโครมคราม
“มีปีศาจปรากฏตัวอยู่ในเมืองงั้นหรือ?”
เขาเดินออกมาจากกระโจมและเงยหน้ามองสัญญาณเตือนที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าให้ถนัดตามากขึ้น
“ใต้เท้าขอรับ…”
“กราบเรียนใต้เท้า ดอกไม้ไฟถูกยิงขึ้นมาจากในตัวเมืองหยุนเมิ่งจริงๆ ขอรับ”
ขณะนี้ นายทหารที่ประจำการอยู่ในที่ทำการก็เริ่มเดินออกมารวมตัวกันแล้ว
“เผยแพร่คำสั่งให้ทุกหน่วยมารวมตัวกันทันที อย่าลืมหยิบเครื่องรางประจำตัวมาด้วย พวกเราจะเข้าไปปราบปีศาจในตัวเมือง”
ผู้บัญชาการออกคำสั่ง หลังจากนั้น ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
“ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน พวกเจ้าตามมาทีหลังก็แล้วกัน”
กล่าวจบ ร่างของผู้บังคับบัญชาก็หายวับไปในท้องฟ้ายามราตรี
ทำให้ทุกคนได้เห็นว่าชายผู้นี้มีระดับพลังน่ากลัวมากเพียงใด
หลังจากนั้น นายทหารแทบทุกคนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่งก็ออกมารวมตัวกัน
พวกเขาต่างพากันมุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่ดอกไม้ไฟถูกยิงขึ้นมา