เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางถอดเสื้อออก แม้แต่เสื้อกล้ามก็ไม่เหลือ เผยให้เห็นกล้ามเป็นมัดๆ เขายกแก้วเหล้าขึ้นมา แต่ไม่ได้ส่งเข้าปาก กลับเทมันลงบนตัว
พอหันไปมองสายตาร้ายๆนั่น มันทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งยั่วยวน เล่นเอาเสี่ยวเชี่ยนใบหน้าร้อนผ่าว อยากจะเดินหนีแต่มีเหรอจะรอด!
เธอถูกเขาดึงตัวเข้ามา “เพื่อน อยากกินเหล้าไม่ใช่เหรอ? มาสิ…”
สายลมพัดม่านปลิวไสว กลิ่นหอมของเหล้าโชยเย้ายวนเข้าจมูก
เหล้าไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย หลังผ่าน ‘บทเรียน’ ในครั้งนี้ไปแล้ว ต่อไปเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนได้ยินคำว่าเพื่อน กินเหล้า เธอก็จะนึกถึงค่ำคืนพิเศษช่วงสองวันก่อนแต่งงานโดยอัตโนมัติ นึกถึงหยดเหล้าที่อยู่บนกล้ามเนื้อแน่นๆของเขา แค่คิดก็ใจละลายแล้ว
เวลาผ่านไปนานแสนนาน
ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็ลืมตาขึ้น อยู่ๆเธอก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“มีอะไรเหรอ?” เสี่ยวเฉียงลุกขึ้นมานั่งตาม พวกเขาอาบน้ำด้วยกันไปแล้ว คราบต่างๆถูกล้างจนหมด แต่ก็ยังมีความเซ็กซี่หลงเหลืออยู่
“กี่โมงแล้ว?”
เขาหยิบนาฬิกาปลุกเรือนเล็กที่หัวเตียงขึ้นมาดู “เพิ่งจะตีหนึ่งเอง นอนต่อเถอะ แต่ถ้าคุณไม่อยากนอนมาออกกำลังกายก็ดีนะ—”
“ออกกับปู่นายสิ! แม่ฉันสั่งไว้ว่าห้ามอยู่เกินเที่ยงคืน!”
เพราะพรุ่งนี้เป็นวันก่อนวันแต่ง ตามธรรมเนียมห้ามเจอกันหนึ่งวัน
กินเหล้ากันจนเตลิดไปถึงไหนๆ พอฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็ลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท
นี่ถ้าให้เจี่ยซิ่วฟางรู้เข้าจะต้องอาละวาดแน่นอน ไม่มีทางปล่อยเสี่ยวเชี่ยนไปแน่
ต่อไปชีวิตคู่ก็จะไม่ราบรื่นบลาๆๆ ป้าวัยทองที่เชื่องมงายสามารถบ่นได้ไม่หยุด
ครั้นแล้วเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางจึงมองหน้ากัน จากนั้นก็เงียบ
สักพักเสี่ยวเฉียงก็ปรับนาฬิกาให้ย้อนกลับเป็นอีกหนึ่งนาทีเที่ยงคืน จากนั้นก็สวมกางเกงแล้วพุ่งตัวออกไป
“อืม ยังไม่เลยเวลา กลับไปก็อธิบายกับแม่ด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโทรหาคุณ พวกเราจะทำผิดธรรมเนียมไม่ได้!”
วันรุ่งขึ้นเสี่ยวเชี่ยนตื่นแต่เช้าตรู่ พอตื่นปุ๊บแม่ก็โทรมาพอดี
“เชี่ยนเอ๋อ แกอยู่ไหน?”
“อยู่ที่บ้านใหม่ มีอะไรเหรอ?”
“เมื่อคืนแยกกับหมิงหลางตอนกี่โมง?” เจี่ยซิ่วฟางเป็นห่วงเรื่องนี้
“ตอนนาฬิกาปลุกบอกเวลาอีกหนึ่งนาทีเที่ยงคืน”
นี่ไม่ถือว่าโกหก นาฬิกาปลุกบอกแบบนั้นจริงๆ ถึงจะถูกมนุษย์บางคนปรับก็เถอะ
“ไม่เกินเวลาใช่ไหม?”
“ก็นาฬิกามันบอกแบบนั้น” เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยพูดปด เป็นคนอยู่กับความเป็นจริง ความผิดเรื่องปรับนาฬิกาโยนให้เสี่ยวเฉียงรับไป
“งั้นก็รีบกลับบ้านเถอะ วันนี้บ้านเราต้องเป็นฝ่ายเลี้ยง”
“รับทราบ”
สำหรับครอบครัวฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ตามธรรมเนียมคนเมืองQ ฝ่ายชายห้ามมาด้วย ถ้ามาก็จะถือว่าแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ในอนาคตหากมีลูกต้องใช้แซ่ตามแม่
เสี่ยวเชี่ยนเก็บของกลับบ้าน ทุกคนในบ้านเธอแต่งตัวด้วยชุดใหม่หมด เจี่ยซิ่วฟางอยู่ในชุดกี่เพ้าที่สั่งตัดมา เครื่องประดับมีอะไรก็งัดมาใส่ ดูแล้วเด็กลงไปหลายปี แม้แต่ต้าหลงก็ดูเป็นผู้ใหญ่ หลิวเหมยกับฟู่กุ้ยก็อยู่
“เดี๋ยวพวกญาติๆก็จะไปถึงร้านอาหารกันแล้ว พวกเราต้องไปถึงก่อน ดูว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือเปล่า…เชี่ยนเอ๋อ มีอะไรเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า แล้วยิ้มกว้างออกมา
“เปล่า เห็นพวกแม่แล้วดีใจ”
ดีใจจริงๆ
เมื่อชาติก่อนเธอไม่ได้มีครอบครัวใหญ่แบบนี้
และก็ไม่ได้มีงานแต่งแบบนี้ด้วย
“แกไม่รู้ว่ากว่าพวกเราจะจองร้านได้มันยากแค่ไหน ช่วงนี้มีแค่วันนี้ที่เป็นวันดี ใครๆก็เลยพากันมาจัดงานแต่ง โรงแรมที่ดีหน่อยถูกจองหมดแล้ว นี่เราต้องใช้เส้นสายถึงจองได้ มันก็น่าดีใจจริงๆนั่นแหละ!”
เจี่ยซิ่วฟางไม่รู้ว่าที่เสี่ยวเชี่ยนพูดหมายถึงอะไร คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนพูดเรื่องร้านอาหาร
ตอนไม่มีเงินต้องคอยประหยัด จะกินจะใช้ต้องระวัง ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นแล้ว เรื่องใหญ่แบบนี้จะขาดตกบกพร่องไม่ได้ ต้องจัดให้สมฐานะ เลี้ยงญาติทั้งทีก็ต้องเอาที่แพงที่สุด ดูดีที่สุด
ทั้งสองคนคุยกันคนละเรื่อง แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ยังคงยิ้มกว้างให้
“อืม น่าดีใจหมด”
ความสุขที่มาถึงมือแล้ว เธอไม่มีทางโยนทิ้งไป
ทุกอย่างเป็นของเธอหมด ผู้ชาย ครอบครัว ชีวิตที่มั่นคง ไม่มีสิ่งไหนหนีไปได้
“เชี่ยนเอ๋อของเราเวลายิ้มแล้วสวยจริงๆ ปกติเอาแต่ทำหน้าตึง แต่ก็อาจจะเพราะด้วยอาชีพ ฟู่กุ้ยเองก็ไม่ค่อยชอบยิ้ม” พ่อเลี่ยวแซว รู้จักเสี่ยวเชี่ยนมาตั้งนาน วันนี้เป็นวันที่ได้เห็นเธอยิ้มมากที่สุด
“พ่อครับ เวลาที่พ่อไปหาหมอ ถ้าเจอหมอเอาแต่ยิ้มหน้าบานพ่อกล้าให้เขาตรวจไหมครับ?”
ฟู่กุ้ยขอเถียงกลับ
ถึงเขาจะเดินมาในเส้นทางของนักนิติจิตวิทยา แต่ก็ถือว่าเป็นหมอ เดิมนี่ก็เป็นอาชีพที่ต้องมีความสุขุมพอตัว จะให้วันๆเอาแต่มานั่งหัวเราะคิกคักก็ไม่ใช่
แต่ก็ไม่ใช่หน้าบึ้ง แค่แสดงออกทางสีหน้าน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอาชีพอย่างเสี่ยวเชี่ยนที่ต้องคอยหมั่นสังเกตผู้ที่เข้ามาขอรับคำปรึกษา เธอต้องพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด เพราะท่าทีของหมอที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยสามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอารมณ์ของคนไข้ได้
“ไม่ต้องสนหรอกว่าทำงานอะไรกัน พวกเราทำตามธรรมเนียมก็พอแล้ว วันแต่งงานร้องส่งตอนจะออกจากบ้านก็พอ ออกไปแล้วไม่ต้องร้อง เดี๋ยวกล้องถ่ายออกมาไม่สวย ยิ้มกว้างๆก็พอเข้าใจไหม?”
“แม่ ร้องส่งคืออะไร?” ต้าหลงไม่เข้าใจ
“พี่แกจะออกเรือนแล้วต้องร้องไห้ มันเป็นการร้องที่เป็นเรื่องดี ร้องยิ่งหนักยิ่งดี เพราะธรรมเนียมของบ้านเราถือเรื่องนี้ ร้องส่งร้องส่ง ไม่ร้องไม่ส่งเสริมเกื้อหนุน แต่พอออกจากบ้านไปแล้วก็ห้ามร้องอีก เพราะกล้องจะถ่ายตลอด แกไปร้องบนรถก็ไม่สวยเหมือนกัน”
แต่ละพื้นที่มีธรรมเนียมการแต่งงานที่แตกต่างกันไป บางที่ชอบให้เจ้าสาวร้อง เพื่อแสดงออกว่าไม่อยากจากบ้านตัวเองไป หรือถึงขนาดที่มีบางชนเผ่าถ้าไม่ร้องก็แต่งออกไปไม่ได้ ร้องไห้ยิ่งหนักยิ่งดี แต่บางที่ก็ไม่ชอบให้เจ้าสาวร้องไห้วันแต่ง คิดว่าเป็นเรื่องไม่ดี
“ยังมีเรื่องไหนอีกไหมแม่?” ต้าหลงถาม
“ฉันเคยบอกพวกแกหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอไง? ลูกคนนี้นี่ เรียนหนังสือไม่เก่ง สมองมีก็ไม่รู้จักใช้!” เจี่ยซิ่วฟางเขกหัวลูกชายหนึ่งที
ฟู่กุ้ยคนดีช่วยอธิบายแทน “พรุ่งนี้รถจะออกจากบ้านเรา แล้วจะไปเจอรถของอีกขบวน ถือว่ามงคลเจอมงคล ต้องให้เจ้าสาวแลกผ้าเช็ดหน้าแดง ยังมีพรุ่งนี้เช้าเราต้องเกณฑ์คนไปติดกระดาษแดงตามฝาท่อที่รถจะผ่าน แล้วก็…”
ธรรมเนียมต่างๆในวันแต่งงานมีเยอะมาก พูดขึ้นมาทีก็ยืดยาว ช่วงที่ผ่านมาเสี่ยวเชี่ยนไม่อยู่บ้าน งานแต่งของเธอนั้นเธอแทบไม่ต้องทำอะไรเลย กลายเป็นพี่ชายกับน้องชายเป็นฝ่ายจำขั้นตอนต่างๆ
ทั้งครอบครัวพากันออกเดินพลางพูดคุย เสี่ยวเชี่ยนฟังขั้นตอนต่างๆที่ซับซ้อนแล้วก็ปวดหัว
อันที่จริงเมื่อชาติก่อนเสี่ยวเชี่ยนเคยมีชีวิตคู่แต่ในนาม แต่ตอนนั้นมันคนละอารมณ์กัน เธอนึกไม่ออกว่าตอนนั้นเธอแต่งออกไปยังไง แต่ครั้งนี้เธอจะจดจำรายละเอียดเอาไว้ให้ดี ถึงแม้ขั้นตอนต่างๆมันจะเยอะจนชวนปวดหัวก็ตาม
คนละอารมณ์กันเลยจริงๆ
พอเดินออกมาจากบ้านเสี่ยวเชี่ยนก็เห็นพ่อฉิวฉิวเดินขากะเผลกมาทางนี้
เจี่ยซิ่วฟางพอเห็นว่าเขามาอีกแล้วก็แปลกใจ
“ตาแก่ที่สลบไปวันนั้นทำไมมาอีกแล้ว? วันนี้พิการมาด้วย?”