ตอนที่ 40 นี่เจ้าสมองกลับไปแล้ว ?

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

ตอนที่ 40 นี่เจ้าสมองกลับไปแล้ว ?

 

 

สัตว์อสูรขนาดใหญ่หลายสิบตัวล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรชั้นสูงทั้งสิ้น

 

จะมองมุมไหนพวกมันก็มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 5 ขึ้นไป

 

ด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของจี้เทียนซิง เพียงแค่ตัวเดียวก็ไม่ไหวแล้ว นับประสาอะไรกับหลายสิบตัว !

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาติดแหงกอยู่บนก้อนหินใต้หน้าผา ไม่ใช่บนท้องฟ้าหรือใต้พื้นดิน

 

สัตว์อสูรนับสิบตัวต่างยืนอยู่บนหน้าผารอคอยเขาเหมือนเสือที่เฝ้าดูเหยื่อของมัน

 

 

“บัดซบ ! “

ใบหน้าของจี้เทียนซิงกลายเป็นบิดเบี้ยว  ความสุขที่เพิ่งได้ดอกไม้ดาราแดงมาหายวับไปในทันที

 

เขาลอบกุมกระบี่มังกรโลหิตเอาไว้ ดวงตาจับจ้องไปที่สัตว์อสูรนับสิบตัว

 

ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นจะสามารถอดทนรอชายหนุ่มได้ แต่จี้เทียนซิงยังกังวลว่า หากต้องติดแหงกอยู่แบบนี้ มันจะต่างอะไรกับตายทั้งเป็น ? เขาควรทำอย่างไรดี

 

ในเวลานี้เองเสียงของเสี่ยวปิงหูก็ดังขึ้น “สหายจี้ ตอนนี้เจ้ามีทางเลือกสองทาง หนึ่ง ปีนกลับขึ้นไปบวกกับสัตว์อสูรพวกนั้น สองกระโดดลงหน้าผาไปซะ”

 

“แต่ว่า ใต้หน้าผาก็มีสัตว์อสูรอยู่ บางที…ระหว่างเจ้าทิ้งดิ่งลงไปอาจจะเจอพวกมันโผล่มาขย้ำจากซอกผาก็เป็นได้”

 

จี้เทียนซิงหน้าเหยเกยและคำรามออกมาว่า “บ้าบอ ช่วยข้าคิดหาทางซี่ ! หากข้าอยู่ไม่ได้ เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดหรือไง ?”

 

“อ่ะ แน่นอน !” เสี่ยวปิงหูเผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ และกล่าวว่า “เจ้าโง่หรือเปล่า ไม่เห็นหรือว่าข้าบินได้”

 

เป็นอย่างที่มันพูด  มันกางปีกบินอย่างภาคภูมิใจไปรอบๆตัวจี้เทียนซิงราวกับจะเย้ยหยัน

 

จี้เทียนซิงแทบจะอาเจียนเป็นเลือด เขาเงียบลงและไม่พูดอะไรให้เสี่ยวปิงหูมีโอกาสได้กวนประสาทอีก

 

เขาขมวดคิ้วและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในที่สุดก็ปิ๊งไอเดียขึ้น

“เสี่ยวปิงหู เจ้าเอาดอกไม้ดาราแดงไปและบินไปฝั่งตรงข้ามล่อพวกมันไปให้ที…”

 

ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบประโยค เสี่ยวปิงหูเหมือนจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายออกแต่แรก มันเพียงส่ายหัวและปฏิเสธ

“เฮอะ ! เรื่องนี้ไม่ต้องพูดเลย”

“เจ้าต้องการให้ข้าเป็นตัวล่อกลุ่มสัตว์พวกนั้น ? จากนั้นเจ้าก็ฉวยโอกาสปีนขึ้นไป ? คิดว่าข้าโง่หรือไง”

 

“เจ้า… !” หน้าอกของจี้เทียนซิงแทบจะระเบิด แต่เขาทำได้เพียงสูดลมหายใจลึกๆระงับความโกรธ

 

ในเวลานี้เอง จู่ๆเสี่ยวปิงหูก็ชี้ไปบนท้องฟ้าและส่งเสียงร่ำร้องออกมาว่า “เฮ้ๆ สหายจี้ แม่สาวนมใหญ่มาช่วยเจ้าแล้ว !”

 

“อะไรใหญ่ ?  สาวหน้าอกใหญ่อันใดของเจ้า ?” จี้เทียนซิงรู้สึกงุนงงและมองไปบนท้องฟ้าตรงจุดที่เสี่ยวปิงหูชี้

 

ชายหนุ่มเห็นกระเรียนวิญญาณสีขาวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังบินมา ปีกอันงามสง่าของมันค่อยๆร่อนลงมาที่หน้าผา

 

ถึงแม้ว่าคืนนี้จะมืดมาก แต่จี้เทียนซิงก็ยังพอมองเห็นว่าบนหลังกระเรียนนั้นยืนอยู่ด้วยสาวงามในชุดสีขาว นางก็คือหยุนเหยา !

 

นางยืนอย่างสง่างามอยู่บนด้านหลังกระเรียนวิญญาณ ในมือซ้ายกุมฝักกระบี่สีดำเอาไว้  ผมสีดำยาวสยายไปตามแรงลมและพัดพลิ้วดั่งนางฟ้า

 

 

โฮก…   ฮูม  กรรร**!!**

สัตว์อสูรหลายสิบตัวที่ริมหน้าผาจู่ๆพวกมันก็เริ่มปั่นป่วนและแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์และส่งเสียงคำรามไปหากระเรียนวิญญาณ

 

ในเวลานี้เองกระเรียนวิญญาณก็ร่อนลงมาหยุดที่เหนือพื้นดินเพียงสิบฟุต และทันใดนั้นหยุนเหยาก็ลงมือ

 

นางกุมด้ามกระบี่ที่มือขวาและชักกระบี่ออกมา

 

“ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!!”

หยุนเหยาโบกกระบี่ของนางออกเป็นคลื่นกระบี่ 6 สายพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรเหล่านั้นทันที

 

ลำแสงจากคลื่นกระบี่ทั้ง 6 สาย ส่องสว่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืนและพุ่งออกไปในระยะ 10 ฟุตเจาะทะลุศีรษะของสัตว์อสูรหกตัว

 

เสียงของการฟาดฟันยังคงดำเนินต่อไปและมันก็ผสมผสานกับเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรจำนวนมาก

 

ก้อนหินสีน้ำตาลสะท้อนแสงเย็นเยียบออกมา หินหลายก้อนทุกทำลายด้วยคลื่นพลังกระบี่จนระเบิดเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วน

 

จี้เทียนซิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปฐพีสั่นสะเทือนและหินก้อนใหญ่หลายก้อนถล่มลงมาบนขอบหน้าผา

 

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สามที่เขาได้เห็นการลงมือของหยุนเหยาแต่ก็ยังรู้สึกตกใจไม่หาย เขาจ้องมองนางตาไม่กระพริบ

 

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าสัตว์อสูรจำนวนมากก็แตกกระเจิง พวกมันทั้งหมดไม่ตายก็หลบหนี ริมหน้าผาที่เดิมทีเต็มไปด้วยสัตว์อสูรอัดแน่นก็กลับสู่ความเงียบสงบ

 

เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป จี้เทียนซิงก็ปีนหน้าผาไปตามเถาวัลย์อย่างรวดเร็วและกลับขึ้นไป

 

กระเรียนวิญญาณค่อยๆร่อนลงบนพื้นดินและยืนนิ่งๆอย่างเงียบงัน พื้นที่โดยรอบนั้นเต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรกระจัดกระจาย

 

หยุนเหยาสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธ์และยืนอยู่บนแผ่นหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

 

เมื่อเห็นจี้เทียนซิงค่อยๆไต่ขึ้นมาจากหน้าผา สีหน้าของนางก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนน้ำ แต่แววตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย

 

“เป็นเจ้า ?”

เห็นได้ชัดว่าหยุนเหยาคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับจี้เทียนซิงที่นี่

 

จี้เทียนซิงเดินตรงไป เขาหยุดตรงหน้านางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “เป็นข้าเองแม่นางหยุนเหยา พวกเราพบกันอีกแล้ว”

 

เสี่ยวปิงหูร่อนลงมาหยุดที่ไหล่ของจี้เทียนซิงและแสยะยิ้มให้หยุนเหยา โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

 

หยุนเหยามองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าสงบราบเรียบและกล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ได้ครอบครองดอกไม้ดาราเป็นคนแรกจะเป็นเจ้า”

 

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้น “แม่นางหยุนเหยา เจ้าก็ต้องการดอกไม้ดาราแดงงั้นหรือ ?”

 

หยุนเหยาพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ใช่”

 

“เจ้ารู้ด้วยว่าดอกไม้ดาราแดงจะบานในคืนนี้ ?” จี้เทียนซิงถามต่อ

 

หยุนเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะพยักหน้าอีกครั้งแล้วตอบว่า “ใช่”

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างฉับพลันและเต็มไปด้วยข้อสงสัยในใจ

 

 

หัวหน้าศิษย์นิกายหนุนสวรรค์อย่างหยุนเหยา*,อัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนดาราสวรรค์ถึงขนาดต้องเดินทางมายังเทือกเขาเย่ด้วยตนเองเพื่อตามหาดอกไม้ดาราแดง?*

ด้วยพรสวรรค์และระดับวรยุทธ์อย่างนาง จำเป็นต้องอาศัยคุณสมบัติของดอกไม้ดาราแดงด้วย*?*

ไม่สิ… หรือว่านางจะหามันให้ผู้อื่น*?*

 

 

แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด ดอกไม้ดาราแดงก็อยู่ในมือของเขาแล้ว  ดังนั้นเขากับนางกล่าวได้ว่าเป็นศัตรูกันในตอนนี้

 

จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบกล่องไม้จันทน์ออกจากย่ามและเดินไปหาหยุนเหยา

 

เมื่อได้เห็นภาพนี้ เสี่ยวปิงหูก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ มันตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วว่า “สหายจี้ เจ้าคิดจะทำอะไร ?”

 

“เจ้าสมองกลับหรือ ? กว่าพวกเราจะได้มันมาแทบจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก แต่จู่ๆเจ้าก็มอบให้นางง่ายๆเช่นนี้ ?”

 

“เฮ้ย ! ใจเย็นก่อน เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่าเนี่ย !”

 

เสี่ยวปิงหูกระโดดเหยงๆบนไหล่ของจี้เทียนซิงและตะโกนใส่หูของเขา

 

อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงทำเป็นหูทวนลม เขามองไปที่ใบหน้าของหยุนเหยาและมอบกล่องไม้จันทน์ให้นาง

 

“แม่นางหยุนเหยา ถึงแม้ว่าพวกเราทั้งสองต่างก็ต้องการดอกไม้ดาราแดงเหมือนกัน  แต่ข้าขอมอบมันให้เจ้า”

“ก่อนหน้านี้ที่ชานเมืองทางใต้ของรัฐนภากระจ่าง เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าจะมอบดอกไม้ดาราแดงให้เจ้า ถือว่าใช้หนี้บุญคุณที่ได้ช่วยชีวิต”

 

ในขณะนี้จี้เทียนซิงยืนอยู่ใกล้นางอย่างมากจนได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของนาง

 

ใบหน้าอันงดงามและดวงตาคู่งามดั่งวารีในฤดูใบไม้ผลิที่อ่อนโยนของหยุนเหยาจับจ้องไปที่ดวงตาของจี้เทียนซิง

 

แม้แต่กลิ่นกายหอมจางๆของนางก็โชยมาแตะจมูกของชายหนุ่มอย่างชัดเจน

 

แต่ทว่า ดวงตาของจี้เทียนซิงกลับไม่แตกตื่น มีเพียงความหนักแน่นและสงบนิ่งเท่านั้น

 

หยุนเหยามองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นเพียงยื่นมือขาวเนียนดั่งหยกชั้นเลิศออกมาและรับกล่องไม้จันทน์  จากนั้นนางก็เปิดกล่องและหยิบดอกไม้ดาราแดงออกมา

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากหยิบดอกไม้มาแล้ว นางก็เด็ดกลีบออกไปหกกลีบ จากนั้นก็มองไปที่จี้เทียนซิงพลางกล่าวว่า

 

“ข้าต้องการเพียงแค่ต้นของมัน ส่วนกลีบทั้งหกที่เหลือนี้เป็นของเจ้า มันยังพอมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างพื้นฐานการบ่มเพาะของเจ้าได้อยู่”

 

หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินกลับไปหากระเรียนวิญญาณพร้อมกับบินจากไป