กู่ฉิงซานมองพลังวิญญาณสามแต้มที่เหลือบนหน้าต่างระบบเทพสงครามจนแทบจะตกลงมาจากกลางอากาศ

เบื้องล่างคือฝูงสัตว์ประหลาด ต่อให้กู่ฉิงซานได้รับพรจากแหล่งพลังล่องหน เขาก็ยังถูกพบจากการไปกระแทกโดนศีรษะของสัตว์ประหลาดเข้าอยู่ดี

เขาหาทางควบคุมร่างกายให้มั่นคงก่อนกล่าวอย่างสงบว่า “ระบบ พลังวิญญาณที่เจ้าเคยจ่ายให้ข้ามันเท่าไหร่กัน พูดมาให้ชัดๆ เลย”

ระบบเทพสงครามเงียบ ไม่พูดอะไร

กู่ฉิงซานกดที่จะกล่าวอีกครั้งไม่ได้ “ถ้าเจ้าบอกจำนวนมาก ข้าจะได้เตรียมใจและรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะจ่ายได้หมด”

ผ่านไปอีกหลายอึดใจ

‘ติ๊ง!’

ในที่สุดระบบส่งเสียงชัดเจนขึ้นก่อนตอบว่า “คราวที่แล้วข้าจ่ายพลังวิญญาณให้ท่าน ระบบใช้พลังวิญญาณมากเกินไป ระบบจึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกรงว่าต้องใช้ทั้งเวลานานและกระแสพลังวิญญาณคงที่ในการเติมเต็ม มันจะได้รับการรักษาอย่างช้าๆ ”

เวลานาน

กระแสพลังวิญญาณคงที่

การรักษาอย่างช้าๆ

ทันทีที่สามคำนี้หลุดออกมา กู่ฉิงซานรู้สึกชื่นชมเล็กน้อย

เขาถอนหายใจ “ข้าว่าเป็นเพราะตัวเองเรียนรู้เรื่องการแสดงมา เจ้าก็เลยเรียนรู้ตามสินะ”

ระบบไม่พูด

กู่ฉิงซานรออีกสักพัก แต่ก็ไม่มีการตอบรับ ดังนั้นเขาจึงเหาะต่อไป

เขาเปลี่ยนใจแล้ว

จะพูดได้อย่างไรในเมื่อระบบเคยช่วยเขาจากวันโลกาวินาศจนนำเขากลับมาสู่อดีตได้

สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ยิ่งกว่าคือก่อนหน้านี้ระบบได้ช่วยเขาพัฒนาพลังวิญญาณอย่างแท้จริง

ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สาวความยาวต่อความยืดอีก

มันก็แค่พลังวิญญาณ

ตราบที่ไม่พลาดท่าในช่วงเวลาสำคัญ เขาก็ยังเพิ่มมันกลับขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ

กู่ฉิงซานเหาะข้ามท้องนภา บางครั้งชำเลืองมองฝูงสัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านล่างก่อนพรากชีวิตไปหนึ่งถึงสองตัว

เขาไม่กล้าสังหารมากเกินไปเพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากสัตว์ประหลาดทรงพลังเหล่านั้น

ไม่ช้า พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมาถึงยี่สิบสองแต้ม

ใช่แล้ว…

นี่เป็นการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน

เหาะ

เหาะอย่างเดียว

กู่ฉิงซานใช้เวลานานกว่าสิบนาทีเพื่อเหาะสุดกำลังด้วยพลังทั้งหมดที่มี

ในที่สุดเขาข้ามกลุ่มภูเขาและทะเลที่ดูแปลกประหลาดก่อนมาถึงกำแพงเมือง

นี่คือกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่สร้างจากอิฐสีดำซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มองไม่เห็น จากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของขอบฟ้า พรมแดนของมันไม่มีสิ้นสุด

ด้านหน้ากำแพงเมือง มีป้ายเตือนตั้งอยู่ มันเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่ยังพอมองเห็นตัวอักษรโบราณที่ถูกเขียนเอาไว้

“ห้ามปีนกำแพงเมือง ห้ามยืนบนกำแพงเมือง ห้ามข้ามกำแพงเมือง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไป”

กู่ฉิงซานถอยหลังมาสองก้าวขณะมองกำแพงเมือง

บนนั้นไม่มีอะไร

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนหยิบหินวิเศษออกมาแล้วโยนเข้าไปในกำแพงเมือง

ทันทีที่หินวิเศษลอยข้ามกำแพงเมือง มันถูกสายลมสีเทาพัดมาอย่างแผ่วเบา

หินวิเศษหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สายลมสีเทาหายไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของกู่ฉิงซานเคร่งขรึมขึ้นมา

ดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ฉานนู่เปลี่ยนร่างก่อนกล่าวอย่างวิตกว่า “นายท่าน นี่มันสายลมโกลาหล”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

คาดไม่ถึง สายลมโกลาหลพัดอยู่เหนือกำแพง

นี่คือสายลมที่สามารถทำลายโลกนับไม่ถ้วนได้ ไม่มีใครสามารถขัดขืนมันได้

เท่าที่กู่ฉิงซานรู้ มีเพียงเขาล้อมเหล็กใหญ่แห่งหวนคืนชาติภพหกวิถีในเส้นทางสู่ยมโลกที่สามารถหยุดมันได้

และที่นี่ สายลมแรงกล้านี้ถูกหยุดไว้ด้วยกำแพงเมือง

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปสัมผัสกำแพง

แถวหิ่งห้อยเรืองรองแสดงบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

ไม่รู้ว่ากู่ฉิงซานคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูท่าหลังจากเขาไม่ได้สนใจเรื่องพลังวิญญาณแล้ว ความเร็วการแสดงของหน้าต่างระบบเทพสงครามเหมือนจะเร็วขึ้นเล็กน้อย…

“ค้นพบสถาปัตยกรรม…กำแพงสงครามบรรพกาล”

“คำอธิบาย…นี่คือกำแพงที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์พึ่งกำแพงอันโอ่อ่านี้เพื่อขัดขืนสายลมโกลาหลและสิ่งอื่นๆ”

“คำอธิบาย: วัสดุทั้งหมดของกำแพงเมืองนี้มาจากการตกผลึกทางอารยธรรมขั้นสูงสุดและเป็นความสำเร็จของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ: หวนคืนชาติภพหกวิถีโบราณแห่งเส้นทางสู่ยมโลก”

ฉานนู่มองกำแพงเมืองใกล้ๆ ใบหน้าเผยความสนอกสนใจออกมา

“นายท่าน สิ่งนี้เหมือนจะถูกสร้างด้วยรั้วเหล็กขนาดใหญ่” นางพึมพำ

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย “ใช่ นี่มันน่าทึ่งจริงๆ ”

เขากลับมาเงียบ ครุ่นคิดถึงข้อมูลนี้อย่างเงียบงัน

แสดงว่าหกวิถีคืออารยธรรมสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์งั้นหรือ

จะว่าไป หวนคืนชาติภพหกวิถีที่เทพเลียนแบบมาถูกบดขยี้โดยผู้ปกครองโลกบรรพกาล

ทำไมเทพถึงต้องลอบสร้างหวนคืนชาติภพหกวิถีโดยไม่บอกอีกฝ่ายกันล่ะ

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลโกรธเพราะเรื่องนี้มากจนสังหารราชาเทพด้วยมือตัวเอง นี่ก็เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ

ทำไม?

กู่ฉิงซานหลับตาก่อนนึกถึงคำพูดของผู้ปกครองโลกบรรพกาลตอนสังหารราชาเทพ

“หวนคืนชาติภพหกวิถีเกินการควบคุมของข้า ถ้าเจ้ากล้าเลียนแบบพลังของมนุษย์เพื่อสร้างมันขึ้นมา นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของข้า”

“เจ้าคงไม่รู้ว่าถึงแม้สิ่งนี้จะยังอ่อนแอมาก แต่มันจะเติบโตขึ้นเองจนท้ายที่สุดกลายเป็นกองกำลังมนุษย์ทรงพลัง ถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้าและข้าก็ไม่สามารถควบคุมได้”

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

เขามีความคิดหนึ่งในใจแล้ว แต่ต้องการเบาะแสเพื่อมายืนยัน

ส่วนตอนนี้

กู่ฉิงซานเริ่มมองกำแพงเมืองอย่างละเอียด

ถึงแม้พวกเซี่ยกูหงจะไม่เข้าใจภาษาโบราณ แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้มีอำนาจและยืนอยู่จุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาจะต้องไม่บุ่มบ่ามไปกำแพงเมืองเพื่อรนหาที่ตายอย่างแน่นอน

ไม่อย่างนั้น เซี่ยกูหงไม่มีทางกลับมาเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไร้บาดแผลได้หรอก

พวกเขาต้องหาทางอื่นเจอแน่

กู่ฉิงซานสังเกตสักพัก ไม่ช้าจึงพบว่ามีชั้นฝุ่นบนพื้นตรงหน้ากำแพงเมือง

เขาก้าวไปข้างหน้า เอามือแนบกับพื้นก่อนกดลงไปอย่างแผ่วเบา

พื้นแข็ง ไม่มีการตอบสนองใดๆ

ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีอะไร

กู่ฉิงซานยืนขึ้นก่อนเอามือแนบกับกำแพงที่เชื่อมต่อกับดินแดน

เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากภายในกำแพงเมือง

“เริ่มทำการทดสอบ”

“จากสัญญาณชีพ สามารถระบุได้ดังนี้: พลเมืองมนุษย์ เด็กผู้ชาย”

“ตามหลักการขอลี้ภัยในช่วงสงคราม พวกเด็กๆ จะได้เข้าที่ลี้ภัย”

กำแพงเมืองถอยออกไปทั้งสองด้าน เผยให้เห็นทางเข้าแคบที่มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถใช้ได้

กู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก

หลังจากใช้ชีวิตมาสองรุ่น หลังจากผ่านสงครามและวันโลกาวินาศมานับครั้งไม่ถ้วน เขาจะกลายเป็นพลเมืองเด็กผู้ชายได้อย่างไร

นี่ใช้วิธีการตัดสินจากสัญญาณอะไรเนี่ย…

หรือก็คือ นี่เป็นพลังของตัวเอง

กู่ฉิงซานไม่อยากคิดอีกต่อไป

เรื่องนี้ออกจะน่าตกตะลึงอยู่สักหน่อย

เขาระงับอารมณ์ที่ยากจะอธิบายเอาไว้ในใจขณะสาวเท้าเข้าสู่ทางเข้ากำแพงเมือง

หลังจากเข้ามา กำแพงเมืองปิดไล่หลังทันที

ขั้นบันไดที่ลาดลงไปเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่เท้าของเขา

กู่ฉิงซานยังคงเดินลงไปตามเส้นทางนี้ ความคิดของเขาขึ้นๆ ลงๆ

ดูท่าพวกเซี่ยกูหงจะเข้ามาภายในกำแพงเมืองจากทางนี้ ไม่รู้ว่าพวกเซี่ยกูหงจะถูกตัดสินว่าเป็นเด็กหรือเปล่า

ด้วยพละกำลังอันแก่กล้าของเซี่ยกูหง อาจจะไม่ใช่เด็กผู้ชาย แต่เป็นพลเมืองวัยหนุ่มหรือเปล่า

กู่ฉิงซานครุ่นคิดไปเรื่อย ในเวลาเดียวกันก็ยังระแวดระวังขณะเดินไปตามทางเพื่อมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของกำแพงเมือง

ด้วยระยะห่างที่ไกลมาก เขาจึงเร่งความเร็ว

การล่องหนอยู่ได้แค่สองชั่วโมง ดังนั้นเขาต้องรีบหน่อย

เขาเกือบจะใช้วิชาเหาะขณะพุ่งดิ่งไปตามทางที่นำไปสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งร้อยอึดใจ

กู่ฉิงซานมาถึงส่วนลึกของกำแพงเมือง

เขายืนอยู่บนขั้นสุดท้าย

หลังจากก้าวผ่านขั้นนี้ มีความว่างเปล่ามืดมิดสุดหยั่งราวกับหน้าผาจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่ต่างจากหุบเหวไร้ก้น ไม่ว่าจะส่งจิตเทพไปไกลแค่ไหนก็ไม่สามารถควานหาสิ่งใดเจอได้

กู่ฉิงซานรออยู่สักพัก

ในเมื่อพวกเซี่ยกูหงพบเส้นทางนี้ พวกเขาต้องไม่หายไปจากตรงนี้โดยไม่มีเหตุผลสิ

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

หลังจากผ่านไปสิบอึดใจ

ในความมืดไกลออกไป กลุ่มดวงดาวลอยมาหากู่ฉิงซาน

แทบจะในทันที กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองถูกห้อมล้อมโดยดวงดาวนับไม่ถ้วน

ดวงดาวเหล่านี้ห้อมล้อมเขาเอาไว้ขณะก่อตัวเป็นทางช้างเผือกงามงดในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด

ช่างงดงาม ช่างเหลือเชื่อ

กู่ฉิงซานสงบสติลงขณะมองดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุด

ดวงดาวคล้ายกับรับรู้ถึงสายตาของเขาก่อนกลายเป็นการ์ดทันที

หญิงสาวงดงามชุดขาวถูกวาดอยู่บนการ์ด นางมองเขาด้วยสีหน้าเวทนา

หญิงสาวอ้าปากพูดขึ้นว่า “ที่นี่ถูกทำลายเกือบหมดแล้ว โชคยังดี ข้ายังสามารถพาท่านไปที่หลบภัยขนาดเล็กให้ได้”

ทันทีที่นางพูดกับกู่ฉิงซานจบ เขาจึงจำเสียงได้ เสียงผู้หญิงที่ปรากฏในคลื่นโกลาหลนั่นเอง

หญิงสาวเอนอยู่ด้านข้างจนกู่ฉิงซานสามารถมองเห็นฉากในการ์ดใบนั้นได้

มันคือเกาะเงียบสงบที่มีฉากงดงามมากเสน่ห์

กู่ฉิงซานจ้งอมองหญิงสาว ความรู้สึกหวาดกลัวอดที่จะก่อตัวขึ้นในใจไม่ได้

กู่ฉิงซานสาบานว่าเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนแม้กระทั่งตอนเผชิญหน้ากับเทพ

เขาประสานมือแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของเจ้า แต่ข้าไม่ได้มาเพื่อแสวงหาที่หลบภัย”

หญิงสาวถามว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ”

“ข้ามาที่นี่เพื่อหาทางเอาชนะเผ่าพันธุ์บรรพกาลและเทพ” กู่ฉิงซานกล่าว

หญิงสาวกล่าวว่า “น่าเสียดายที่เจ้ามาช้าเกินไป ระบบอารยธรรมย่อยของมนุษย์จำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันแปดร้อยคนที่เคยอยู่ที่นี่ถูกทำลายไปแล้ว”

นางส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานดูรอบข้าง

“ดูสิ ดวงดาวหมองหม่นและระบบโลกย่อยถูกทำลายไปแล้ว”

กู่ฉิงซานมองรอบข้างทางช้างเผือก เขามองเห็นดวงดาวสีเทาหมองหม่นจำนวนมาก

หญิงสาวกล่าวว่า “โลกย่อยห้าพันสามร้อยแห่งที่เหลืออยู่ในสภาพขาดแคลนพลังงาน ไม่สามารถเปิดได้ พวกมันคือดวงดาวที่เปล่งแสงเรืองรองเพียงน้อยนิด”

“ดูดาวสีแดงดวงนั้นอีกรอบสิ”

กู่ฉิงซานมองตามที่หญิงสาวชี้ เขาเห็นดวงดาวกำลังส่องแสงสีแดง

“นี่มันอะไร” เขาถาม

“ราชาของเผ่าพันธุ์บรรพกาลกำลังนำเผ่าตัวเองไปสร้างความปั่นป่วนในโลกระบบย่อยการป้องกันที่สองเพื่อพยายามจะทำลายมัน” หญิงสาวกล่าว

นางถอนหายใจ “ระบบย่อยการป้องกันที่สองคือหนึ่งในสองระบบย่อยที่ทำงานอยู่ ถ้าถูกทำลายขึ้นมาก็จะเหลือระบบย่อยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

“การป้องกันที่สองหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่ ข้ามีโลกระบบย่อยป้องกันมากมาย ทุกที่ถูกทำลายเพราะเผ่าพันธุ์บรรพกาล” หญิงสาวกล่าว

“เผ่าพันธุ์บรรพกาลแข็งแกร่งยิ่งกว่าระบบย่อยการป้องกันพวกนี้หรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ ระบบย่อยต้องการพลังงาน มันต้องการการควบคุมของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อดึงพลังที่แท้จริงออกมา แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้อยู่ที่นี่มาหลายร้อยล้านปีแล้ว” หญิงสาวกล่าว

“แสดงว่า สามคนที่มาก่อนหน้าข้าก็ล้วนเข้าสู่โลกระบบย่อยสุดท้ายแล้วหรือ” กู่ฉิงซานถาม

หญิงสาวกล่าวว่า “ใช่ นั่นคือโลกระบบย่อยทางฝั่งการฝึกฝนและยังเป็นโลกระบบย่อยสุดท้ายที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เป็นที่ที่เหมาะกับพวกเขามาก”

นางจ้องมองกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “ประตูสู่โลกระบบย่อยของฝั่งการฝึกฝนยังเปิดอยู่และยังทำงานเป็นปกติ ดังนั้นท่านยังมีเวลาเพื่อเข้าไปก่อนเผ่าพันธุ์บรรพกาลจะมารุกราน”

กู่ฉิงซานเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นพลันถามว่า “เจ้าสามารถปกปิดวิชาซ่อนตัวที่มอบให้พวกข้าจากราชาของเผ่าพันธุ์บรรพกาลได้หรือไม่”

หญิงสาวกล่าวว่า “ข้าสามารถเพิ่มแหล่งพลังเงาเพื่อให้เกิดผลนี้ได้ แต่เวลาล่องหนจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง”

“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นช่วยพัฒนาแหล่งพลังให้ข้าที แล้วก็…”

กู่ฉิงซานชี้ไปยังดวงดาวส่องแสงสีแดงก่อนกล่าวว่า “ถ้าช่วยพาข้าไปโลกระบบย่อยการป้องกันที่สองด้วยจะขอบคุณมาก”

………………………………….