กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 524
คำพูดของกู้ชูหน่วนช่างไม่น่าฟังนักแต่ก็มีเหตุมีผล องค์จักรพรรดิฉู่ทรงเงียบ

ตอนนั้นเมื่อจู่ๆก็ได้ยินถึงชาติกำเนิดและข่าวการเสียชีวิตของเยี่ยเฟิงพระองค์ก็ทรงกริ้วจนขึ้นสมองจนต้องการจะออกสำรวจด้วยพระองค์เองอยู่ตลอดและทรงให้คำมั่นว่าจะปราบเผ่าปิศาจให้ราบเรียบ

พระองค์ทรงระดมกองกำลังปราบภูเขาพิศวิญญาณให้ราบคาบ ขจัดฐานที่มั่นของเผ่าปีศาจออกมาทีละแห่งๆและสังหารผู้นำกองธงทั้งสองคนของเผ่าปีศาจด้วย

ทุกคนที่เคยรังแกเยี่ยเฟิงนอกจากผู้นำกองธงกล้วยไม้ที่ไม่สามารถหาที่อยู่ของเขาได้แล้วพระองค์ทรงไม่ปล่อยไปเลยแม้แต่คนเดียว

ท้ายที่สุดยังไม่สามารถกลืนลมหายใจนั้นเข้าไปได้จึงส่งกองกำลังไปล้อมรอบภูเขาอวิ๋นฉีเพื่อต้องการกำจัดหัวหน้าของเผ่าปีศาจให้สิ้นซาก

เขาจากไปอย่างเร่งรีบเกินไป และถึงแม้ว่ารัฐฉู่ได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้วแต่ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผู้ที่ไม่ภักดีใช้โอกาสนี้ก่อการกบฏ

หากว่าเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับพระองค์ขึ้น บ้านเมืองโดยรอบจะใช้ประโยชน์กลยุทธ์ตีชิงตามไฟก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

กู้ชูหน่วนเตือนสติได้ถูกต้อง

“รัฐฉู่เป็นรัฐใหญ่ใช่ว่าบ้านเมืองทั่วไปจะสามารถสั่นคลอนได้ และพวกเรากินมังสวิรัติกันหรือเป็นไปได้หรือว่าแม้แต่ฝ่าบาทและฮองเฮาก็ไม่สามารถปกป้องได้” แม่ทัพชุยกล่าวด้วยความโมโห

“ฮองเฮา หม่อมฉันเสียสละชีวิตเพื่อช่วยพระองค์และเยี่ยเฟิงหลายครั้งหลายครา ขอให้พวกพระองค์ถอยทัพจากภูเขาอวิ๋นฉีไม่ถือว่ามากเกินไปหรอกนะเพคะ”

“คือ……”

พระมเหสีฉู่ทอดพระเนตรไปยังจักรพรรดิฉู่เพื่อถามความเห็นของพระองค์

องค์จักรพรรดิฉู่ทรงตรัสว่า “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าได้ช่วยเหลือฮองเฮาและเฟิงเอ๋อร์ครั้งนี้ข้าสามารถถอยทัพได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่เอาเรื่องเผ่าปีศาจตลอดไป เผ่าปีศาจทำให้ครอบครัวของข้าไม่สามารถอยู่กันพร้อมหน้าได้พวกเขาจำต้องชดใช้”

“ผู้ที่ทำให้พวกท่านไม่สามารถอยู่พร้อมหน้ากันได้น่าจะเป็นคนผู้นั้นที่อุ้มเยี่ยเฟิงไป”

เมื่อกล่าวถึงคนผู้นั้นบรรยากาศในกระโจมก็ลดลงอย่างกะทันหัน

ทุกคนของรัฐฉู่รู้ดีว่านั่นเป็นต่อมโมโหของฝ่าบาทและฮองเฮา หลายปีมานี้ฝ่าบาทและฮองเฮาห้ามผู้อื่นเอ่ยถึงคนผู้นี้

“ท่านสามารถไปได้แล้ว” องค์จักรพรรดิฉู่ทรงรับสั่งอย่างเย็นชา

เดิมทีพระองค์รู้สึกขอบคุณกู้ชูหน่วนทว่าทุกคำของกู้ชูหน่วนนั้นพูดจาแทนเผ่าปีศาจทำให้พระองค์ทรงไร้ซึ่งความรู้สึกอันดีต่อกู้ชูหน่วน

กู้ชูหน่วนยกเท้าขึ้นราวกับว่าถูกเทด้วยสารตะกั่วซึ่งไม่สามารถก้าวออกไปได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็ยังคงกล่าวอีก

“ภูเขาอวิ๋นฉีเคยเป็นสำนักใหญ่ของเผ่าปีศาจซึ่งภายในเต็มไปด้วยค่ายกลสังหารอันเก่าแก่อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง สาเหตุที่พวกเขาไม่ได้ตั้งการป้องกันใดๆที่นี่ก็เนื่องจากเดิมทีภูเขาทั้งสองนี้ก็เป็นค่ายกลสังหารเส้นหนึ่ง เพียงแค่พวกเขาเริ่มค่ายกลที่นั่นขึ้นภูเขาทั้งสองก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที ที่นี่……น่ากลัวกว่าหุบเขากลืนวิญญาณ”

ทุกคนต่างประหลาดใจ

แม่ทัพชุยกล่าวว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน ในโลกนี้จะมีค่ายกลที่โหดเหี้ยมดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร ภูเขาสองลูกจะถูกทำลายในทันทีใด? เจ้าเห็นพวกเราเป็นเด็กอายุสามขวบหรือ?”

ไม่ใช่แค่แม่ทัพชุยเท่านั้นที่ไม่เชื่อ ทุกคนในที่นั้นแทบจะไม่เชื่อกันทั้งสิ้น

“ที่ควรกล่าวก็ไปหมดแล้ว พวกท่านคิดดูเอาเองเถอะนะ”

กู้ชูหน่วนหันหลังจากไป

จู่ๆพระมเหสีฉู่ก็ทรงร้องตะโกนว่า “แม่นางกู้ โปรดช้าก่อนข้าเชื่อที่เจ้ากล่าว ฝ่าบาท……”

จักรพรรดิฉู่ทรงโบกพระหัตถ์เป็นการส่งสัญญาณให้ท่านแม่ทัพถอยออกไป

“ฝ่าบาท หญิงผู้นี้มีเจตนาไม่แน่ชัด หากว่าหลังจากที่พวกข้ากระหม่อมถอยออกไปนางมีเตนาร้ายมิใช่เป็นการ……”

“ผู้ที่ฮองเฮาเชื่อข้าก็เชื่อเช่นเดียวกัน พวกเจ้าถอยออกไปให้หมดเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ……”

แม่ทัพมีชื่อหลายท่านของรัฐฉู่จ้องไปยังกู้ชูหน่วนพร้อมกับคำเตือนท่วมแววตา

กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเฉยเมย

นางมักจะใช้ไม้อ่อนไม่ใช้ไม้แข็ง ตักเตือนนาง หึ……

หลังจากที่เสนาบดีจากไปในกระโจมก็เหลือฝ่าบาท ฮองเฮา กู้ชูหน่วนและซือม่อเฟยเพียงสี่คน

จักรพรรดิฉู่ถอนหายใจและในทันใดดูราวกับว่าจะมีอายุแก่ไปสักสิบกว่าปี

พระองค์ในเวลานี้ไม่เหมือนจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง แต่กลับเสมือนบิดาทั่วไปผู้หนึ่งที่เจ็บปวดใจที่ได้สูญเสียลูกชายสุดที่รักไป

“แม่นางกู้ข้ารู้ว่าเจ้าดูเหมือนพูดจาแทนเผ่าปีศาจทุกอย่าง แต่จริงๆแล้วกลัวว่าทหารหลายแสนนายของเราจะเสียชีวิตลงที่นี่จึงได้เสี่ยงอันตรายมาแจ้งสินะ”

กู้ชูหน่วนพยักหน้า

“ข้าเข้าใจว่าความหมายของเจ้าแล้ว ข้าเพียงแค่อยากถามประโยคหนึ่งว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาอวิ๋นฉีจริงๆหรือ?”

“เพคะ หากว่าเขาอยู่ที่ภูเขาอวิ๋นฉีก็ไม่ต้องให้พวกพระองค์ลงมือ หม่อมฉันจะสังหารเขาด้วยตนเองและนำศีรษะของเขามาถวายยังตรงหน้าพวกพระองค์แล้ว”

“แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับเผ่าปีศาจ?”

“คือว่า……อธิบายได้ไม่ชัดแจ้ง……”

ซือม่อเฟยกล่าวแทรกประโยคหนึ่งขึ้นอย่างจริงจัง “นางเป็นภรรยาของกระหม่อมก็ต้องเป็นความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาสิ”

“เจ้าอยู่ที่เผ่าปีศาจดำรงตำแหน่งใด?”

ท้ายที่สุดองค์จักรพรรดิฉู่ก็เป็นจักรพรรดิพระองค์หนึ่งพระเนตรนั้นยังคงทรงร้ายกาจนัก เพียงแค่ทรงทอดพระเนตรแว๊บเดียวก็สามารถมองออกว่าเขาไม่ได้เป็นคนธรรมดาเป็นแน่

กู้ชูหน่วนแย่งกล่าวก่อนว่า “เขาเป็นเพียงแค่ผู้ถือธงที่ไม่อยู่ในสายตาผู้หนึ่งของเผ่าปีศาจและความสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับเขานั้นซับซ้อนนักเพคะ”

จักรพรรดินีแห่งรัฐฉู่ทรงเข้าใจความหมายของนางและไม่ต้องการถามมากมายเห็นได้ชัดว่านางเป็นพระชายาของเทพแห่งสงคราม แต่ก็กลับกลายเป็นภรรยาของคนในเผ่าปีศาจ

องค์จักรพรรดิฉู่ทรงตรัสว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยฮองเฮาและโอรสของข้า ภายภาคหน้าหากเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการก็มาหาข้าที่รัฐฉู่ได้เลย สิ่งที่ข้าทำได้ก็จะช่วยเหลือเต็มกำลังเป็นแน่”

“เพคะ”

“เฟิงเอ๋อร์เขา……เคยเอ่ยถึงข้าต่อหน้าเจ้าหรือไม่?”

“ยังมีข้าด้วย เฟิ่งเอ๋อร์ได้เคยเอ่ยถึงข้ากับเจ้าหรือไม่?” พระมเหสีฉู่ก็ทรงถามด้วยความกังวล ในแววพระเนตรอันแปรเปลี่ยนมากมายคู่นั้นสะท้อนถึงความหวังที่ต้องการทั้งหมดของพระองค์

กู้ชูหน่วนน้ำเสียงขมขื่นเล็กน้อย “มีเพคะ เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นลูกชายของพวกพระองค์และต้องการมีความสุขอยู่เบื้องใต้ของพวกพระองค์เพียงแต่เขาไม่สามารถรวบรวมความกล้านี้ได้ ขณะที่เยี่ยเฟิงเสียชีวิตยังฝากฝังหม่อมฉันให้ดูแลพวกพระองค์ให้ดีด้วย”

“ฉ่า……”

น้ำตาจักรพรรดินีฉู่แห่งรัฐฉู่ไหลรินลงมาพร้อมปิดปากของพระองค์แน่นและร้องห่มร้องไห้

จักรพรรดิแห่งรัฐฉู่ทรงจับบัลลังก์มังกรแน่นและตรัสด้วยความเจ็บปวดใจว่า “เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถ หากว่าสามารถตามหาเขาได้เร็วกว่านี้เขาก็จะไม่ต้องทนทุกข์มากมายเช่นนั้นแล้ว”

“ครู่ที่เขาเสียชีวิตนั้นเขามีความสุข อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าพ่อแม่ของตนเองเป็นผู้ใดและรู้ว่าพ่อแม่ของตนสบายดี จักรพรรดิฉู่และพระมเหสีฉู่ขอพระองค์ทรงรักษาพระวรกายของพวกพระองค์เป็นสำคัญด้วยเพคะ”

มือทั้งคู่ของจักรพรรดิฉู่สั่นเทาเล็กน้อยจากนั้นทรงหยิบขนมไส้ดอกไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วทรงกัดเบาๆคำหนึ่งพร้อมทั้งน้ำตา

นี่เยี่ยเฟิงลงมือทำเพื่อฮองเฮาด้วยตนเอง

ฮองเฮาทรงเก็บส่วนน้อยส่วนหนึ่งเอาไว้ให้พระองค์เสวย

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้พระองค์ทรงเสียดายที่จะเสวยมาตลอด เพียงแค่ดมแล้วดมอีกราวกับว่าได้กลิ่นขนมไส้ดอกไม้เสมือนเยี่ยเฟิงอยู่ข้างพระวรกายของพระองค์

ในตอนนี้พระองค์ได้เสวยคำหนึ่งแล้ว

ขนมไส้ดอกไม้หอมหวานเอร็ดอร่อย ทั้งนุ่มและเหนียวหนึบอร่อยนิ่กว่าขนมไส้ดอกไม้ที่พระองค์ทรงเคยได้เสวย

ดวงตาของจักรพรรดิฉู่เต็มไปด้วยน้ำพระเนตรแต่กลับบังคับฝืนกลืนลงไปอีกครั้ง

เหลือไว้เพียงความเศร้าโศกประโยคหนึ่งว่า “หากว่าเฟิงเอ๋อร์อยู่ข้างกายเช่นนั้นจะดีเพียงใด”

พระมเหสีฉู่ทรงยืนขึ้นและกุมพระหัตถ์ของพระองค์เอาไว้

จักรพรรดิฉู่รั้งพระนางเข้ามาในอ้อมกอด

เงียบ

ในกระโจมนั้นเงียบสงัด

กู้ชูหน่วนมองดูภาพที่พวกพระองค์ทรงกอดซึ่งกันและกันก็ได้ถอนหายใจอันไร้เสียงขึ้น

ใช่ หากว่าเยี่ยเฟิงยังมีชีวิตอยู่เช่นนั้นจะดีสักเพียงใด

เขาจะต้องเป็นองค์ชายที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน

จักรพรรดิฉู่ทั้งชีวิตทรงอภิเษกกับพระมเหสีฉู่พระองค์เดียวเท่านั้น

ในฐานะฝ่าบาทพระองค์หนึ่งสาวงามสามพันคนในวังหลังก็ไม่ทรงต้องการ เพียงแค่ทรงอภิเษกกับฮองเฮาผู้เดียวเท่านั้น

และก็ไม่ทรงมีโอรสธิดากับสตรีผู้ใดและไม่มีทายาทไว้เลยสักผู้เดียว ในวังหลวงยุคโบราณนี้เกรงว่าคงจะมีน้อยยิ่งนัก

หากว่าเยี่ยเฟิงยังมีชีวิตอยู่ องค์จักรพรรดิฉู่จะต้องทรงเอ็นดูเขามากมายเป็นแน่

ช่างน่าเสียดาย……

ไม่มีหากว่า……

กู้ชูหน่วนะพาซือม่อเฟยหันหลังจากไป

ที่ข้างหูเป็นเสียงของพระมเหสีฉู่ “ปล่อยพวกเขาจากไปอย่างปลอดภัย ถ่ายทอดคำสั่งทั้งหมดถอยออกจากภูเขาอวิ๋นฉีซะ”

หมายเหตุ

กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่ศัตรูยังอยู่

ในสถานการณ์ที่อ่อนแอและย่ำแย่ ควรรีบฉกฉวยโอกาสนำทัพเข้า

โจมตีเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ