“พรุ่งนี้เย็นเครื่องบินถึงจะมาได้ ตอนนี้ยังอยู่ที่ประเทศอื่น”
อาข่าทำหน้าอึ้ง เธอพบว่ามีบอสที่พูดจาครึ่งๆกลางๆน่าโมโหที่สุด!
“งั้นฉันก็ต้องพลาดงานแต่งประธานเชี่ยนน่ะสิคะ?!”
มันน่าเสียดายสุดๆเลยนะ!
อาข่ารู้สึกรับไม่ได้
ประธานเชี่ยนเป็นเพื่อนคนแรกตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่เลยนะ! เพื่อนแต่งงานทั้งทีแล้วเธอจะไม่ไปได้ยังไง!
ชีอวี่เซวียนนึกถึงข่าวที่ตัวเองได้มาแล้วก็ยิ้มหน้าบานใส่
“ฮี่ๆ~”
อาข่าเริ่มทำสงครามเย็น
“บอส ประสบการณ์บอกฉันว่า ถ้าบอสยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้แสดงว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่!”
“ใครบอก? ครั้งนี้ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องดี ดีที่สุดในจักรวาลเล้ย!”
“เรื่องอะไรคะ?”
“งานแต่งพรุ่งนี้ เธอไม่ได้ไปหรอก”
…อยากต่อยคน เฮงซวย เนี่ยนะเรื่องดี?
แต่ประโยคถัดมาของชีอวี่เซวียนกลับทำให้อาข่าตกใจจนอ้าปากค้าง
“บะ บอส พูดว่า…งานแต่งพรุ่งนี้เหรอ?!”
“ใช่ ข่าวที่ฉันได้มาคือแบบนี้ เป็นข่าวดีสุดๆเลยใช่ไหมล่ะ?” ฮี่ๆ พอนึกภาพหมาทหารนั่นถูกเบบี๋เชี่ยนไล่ทุบแล้วชีอวี่เซวียนก็รู้สึกสะใจมาก
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทางด้านชีอวี่เซวียน หลังจากที่จัดการเรื่องพ่อฉิวฉิวเสร็จเธอก็ไปที่โรงแรมอย่างอารมณ์ดี
ไปจัดการงานเลี้ยงฉลองให้ญาติฝ่ายเธอ ตัวเธอไม่ได้กินอะไรเท่าไร มีหน้าที่เดินตามแม่ไปยิ้มทักทายตามโต๊ะต่างๆ
จนงานเลี้ยงเสร็จสิ้นก็ยังต้องส่งแขก พอกลับถึงบ้านเธอก็เหนื่อยมากทิ้งตัวลงบนโซฟาไม่อยากขยับตัวไปไหน แต่อยากกินก๋วยเตี๋ยว
“แม่ ในบ้านมีอะไรให้กินไหม?”
เจี่ยซิ่วฟางรู้ว่าลูกสาวยังไม่ได้กินอะไรจึงรีบเดินเข้าครัวจะทำก๋วยเตี๋ยวให้ แต่ปากก็ยังขอบ่นหน่อย
“แกนี่นะโตจนจะแต่งงานแล้ว ต่อไปก็ต้องเป็นแม่คน แต่กลับทำอาหารไม่เป็น ถ้าอีกหน่อยหมิงหลางทนแกไม่ไหวอย่าแจ้นลับมาหาฉันนะ!”
“ถ้าหนูถูกโละแม่ก็เลี้ยงหนูแล้วกัน!” เสี่ยวเชี่ยนเถียงกลับ
เจี่ยซิ่วฟางหยุดทำแล้วหันไปถลึงตาใส่ “อีกเดี๋ยวแกก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว! ถ้าหมิงหลางกล้าเอาแกมาคืนนะ ฉันก็กล้าซัดหมิงหลางให้น่วม!”
ความหมายคือ ลูกสาวฉัน ฉันดุด่าได้คนเดียว คนอื่นจะมารังเกียจไม่ได้
เสี่ยวเชี่ยนเห็นโทรศัพท์มือถือดังจึงหยิบขึ้นมาดู จากนั้นก็แกว่งเย้ยแม่
“เขาโทรมาแล้ว อยากซัดไหมแม่?”
“ไปเลย จะไปหวานเลี่ยนที่ไหนก็ไป ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ โทรคุยน่ะได้ แต่ห้ามเจอกันเด็ดขาด แล้วแกก็ห้ามแอบหนีออกไปหาเขาด้วยเข้าใจไหม?”
“รู้แล้ว รีบเข้าไปทำเถอะ ใส่กุ้งด้วยนะแม่ เอาหอยด้วย! เวลาเสี่ยวเฉียงทำก๋วยเตี๋ยวให้หนูกินก็ใส่แบบนี้ ไข่ดาวก็ยังทำแบบไข่แดงไม่สุกให้!”
“ตามใจแกจนเสียคน! ฉันจะต้มธรรมดาโปะไข่ให้ จะกินไม่กินก็เรื่องของแก!”
เสี่ยวเชี่ยนเบ้ปากแล้วกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหลที่รักจ๋า~”
มีเสียงหัวเราะเบาๆส่งกลับมา
“งานเลี้ยงเลิกแล้วเหรอ?”
“ใช่ คนอื่นกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ฉันได้แต่ยืนยิ้มโง่ๆมองเขากินกัน แถมยังต้องไล่ดื่มเหล้าแสดงความยินดีตามโต๊ะเป็นเพื่อนแม่ด้วย ได้ดื่มอย่างเดียว พอกลับมาฉันอยากกินก๋วยเตี๋ยวแม่ก็ยังทรมานฉัน บอกว่าจะต้มก๋วยเตี๋ยวใส่แต่เส้นให้กิน”
คิดถึงก๋วยเตี๋ยวแห่งรักของเสี่ยวเฉียงจัง
“อย่าไปฟังเด็กคนนี้พูดเพ้อเจ้อนะ! แกนี่มันถูกตามใจจนเคยตัว ชักเอาใหญ่ขึ้นทุกวัน! หมิงหลาง พรุ่งนี้แม่ยกให้ไปเลยนะ ถ้าเกิดงี่เง่ามากๆบอกแม่ได้เลยนะ เดี๋ยวแม่สั่งสอนเอง!” เจี่ยซิ่วฟางโผล่หน้าออกมาจากครัวแล้วตะโกนใส่
เสี่ยวเชี่ยนทำหน้าทะเล้นใส่แม่ “เสี่ยวเฉียงไม่กล้าว่าหนูหรอก”
เสียงหัวเราะดังมาจากปลายสาย
วันนี้ลูกเชี่ยนอารมณ์ดีจริง มีพูดจาหยอกล้อด้วย
“อย่าไปยั่วโมโหแม่สิ เป็นเด็กดี กินๆไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมทำให้คุณกินเอง”
นี่คือลูกเชี่ยนที่เขาเฝ้าทะนุถนอมเป็นอย่างดี ตอนอยู่ด้วยกันสองคนเขายังไม่ให้เธอเข้าครัวเลย นอกจากจะไม่อยากเห็นเธอลำบากทำงานครัวแล้ว เขายังสงสารครัวตัวเองด้วย มันแพงนะ เกิดระเบิดไปน่าเสียดายแย่…
“นายอยู่บ้านทำอะไรน่ะ?”
“เมื่อเช้าตามพี่ใหญ่ไปดูสถานที่จัดงาน เช็ครายละเอียดงานแต่ง เดี๋ยวผมจะออกไปกินเหล้ากับพวกไห่เจา”
ก่อนแต่งงานต้องไปดื่มเสียหน่อย เพื่อนสมัยเด็กของอวี๋หมิงหลางตอนนี้แยกกันไปทำงานในหลายๆสายงาน ส่วนใหญ่การงานก้าวหน้ากันดี กว่าจะมารวมตัวจากทั่วทุกสารทิศไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ประสบความสำเร็จพากันแต่งงานช้า เสี่ยวเฉียงอายุยี่สิบแปดแล้ว แต่ก็ยังถือว่าแต่งงานเร็วในหมู่เพื่อน ทุกคนจึงอยากใช้โอกาสนี้ได้พบปะสังสรรค์กัน
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกพอใจกับการรายงานตัวของอวี๋หมิงหลางมาก
“ดื่มพอประมาณ อย่าทำเสียงานใหญ่วันพรุ่งนี้ อย่าขับรถกลับบ้านเอง เรียกคนมาขับเข้าใจ๋?”
“รับทราบ ทำตามที่นายหญิงสั่งขอรับ วางใจได้ ไม่ทำเสียงานวันพรุ่งนี้แน่”
“รับปากอะไรไว้ต้องทำให้ได้เข้าใจไหม?” เสี่ยวเชี่ยนพูดเสียงเข้ม
เจี่ยซิ่วฟางชะโงกหน้าออกมา เห็นลูกสาวนั่งไขว่ห้างทำท่าดุจนางพญา คุมลูกเขยเสียจนอยู่หมัด เธอได้แต่ส่ายหน้า
พ่อเลี่ยวเข้าครัวมารินน้ำ เจี่ยซิ่วฟางจึงดึงตัวมา
“เหล่าเลี่ยว!”
“อะไรเหรอ? จะให้ผมปอกกระเทียมหรือปอกหอม?”
“ไม่ใช่! หมิงหลาง!”
“ไม่ได้ ผมสู้เขาไม่ไหวหรอก” อันที่จริงพ่อเลี่ยวก็เป็นคนอารมณ์ขันนะ
“คุณตีเขา มีหรือเขาจะกล้าสู้กลับ? ยังไงคุณก็เป็นถึงพ่อตา—ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้! ดูนั่นสิ ยัยตัวแสบที่นั่งอยู่ข้างนอก!”
เจี่ยซิ่วฟางชี้ไปที่เสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ ท่าทางเหมือนบอสกำลังสั่งงานลูกน้อง
“ก็ดีๆอยู่ไม่ใช่เหรอ?” พ่อเลี่ยวไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่เห็นน้ำในหม้อเดือดแล้ว
“รีบต้มให้ลูกกินเถอะ ลูกสาวหิวมาทั้งวันแล้ว”
“ฉันกำลังกลุ้ม นิสัยแบบนี้ของเชี่ยนเอ๋อได้จากใครมานะ? ทำตัวอย่างกับเป็นซูสีไทเฮา ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด ขาดแค่นั่งบนบัลลังก์ว่าราชการแทนเท่านั้นแหละ”
ช่วงนี้เจี่ยซิ่วฟางดูละครวังหลวง เรื่องเกี่ยวกับซูสีไทเฮา
“จะเป็นไปได้ไง? ถ้าเชี่ยนเอ๋อของเราเกิดในสมัยก่อนนะก็คือบูเช็กเทียน ขึ้นครองราชย์เองเลย ไม่มีทำแทนใครหรอก”
“ฉันล่ะเป็นห่วงจริงๆว่าวันหนึ่งหมิงหลางจะทนเด็กคนนี้ไม่ไหว…จริงๆเลย ไม่รู้ว่าเหมือนใคร…”
เจี่ยซิ่วฟางโยนเส้นก๋วยเตี๋ยวลงหม้อพลางพูดพึมพำกับหม้อก๋วยเตี๋ยวที่เดือดปุดๆ
ณ ห้องประชุมของหน่วยงานสำคัญแห่งหนึ่ง การประชุมด่วนกำลังเกิดขึ้น
เนื่องจากมีคดีร้ายแรง ตอนนี้จึงมีทหารและตัวแทนจากภาคตำรวจมารวมตัวกัน บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ชีอวี่เซวียนพาอาข่าเดินเข้ามา
ผู้บัญชาการระดับสูงขึ้นเวทีแนะนำ
“สวัสดีทุกท่านครับ นี่คือบุคลากรที่ทางเราเชิญให้มาช่วยครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คุณชีอวี่เซวียน เรียนเชิญขึ้นมาวิเคราะห์คนร้ายที่ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องข้ามมณฑลในครั้งนี้หน่อยครับ”
ชีอวี่เซวียนขึ้นเวที แล้วพยักหน้าให้ทุกคนที่กำลังนั่งฟังอยู่
“จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดของทางฝ่ายผม นักโทษที่ก่อคดีอันเป็นภัยต่อสังคมคนนี้ถูกจัดอยู่ในประเภทนักโทษที่มีไอคิวสูง หากดูจากลักษณะเด่นในทางจิตวิทยาของเขาแล้ว ผมวิเคราะห์ออกมาได้ว่า การหลบหนีของเขาในครั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะไปยังเมืองหลินครับ”