บทที่ 66 ไม่เชื่อก็ช่าง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง

ขับรถเข้าสู่เขตคฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่ง

เย่เทียนมองดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง มีปฏิกิริยาเข้ามา นี่ไม่ใช่หมู่บ้านวิลล่าเจียงเฉิงที่เฉินหวั่นชิงพักอยู่เหรอ?

เพียงแต่ว่า พวกเขาเข้ามาจากอีกทางเข้าหนึ่ง

โดยเฉพาะสถานที่จะไป ไม่ใช่เขตวิลล่าธรรมดา แต่เป็นในที่ดินที่ติดภูเขาข้างลำธาร

ที่ดินผืนนี้ เป็นพื้นที่พิเศษมาโดยตลอด หากไม่ได้รับอนุญาต เดิมทีจะเข้ามาในสถานที่นี้ไม่ได้

ตอนนี้นึกดูแล้ว รู้สึกว่าที่นี่คืออาณาจักรของตระกูลฉิน!

ส่วนที่ดินของตรงนี้ ราคายิ่งไม่เบา เนื้อที่หลายพันไร่เต็มๆ มีเพียงตระกูลเก่าแก่อย่างตระกูลฉินนี้ ถึงสามารถครอบครองที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้ได้

แต่ว่าช่วงเวลาครู่หนึ่ง รถสองคันซึ่งคันหนึ่งอยู่หน้าคันหนึ่งอยู่หลังจอดอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์หรูหราหลังหนึ่ง

“คุณเย่ เชิญค่ะ คุณปู่ฉันกำลังรอคุณอยู่ข้างในค่ะ”

ฉินโล่หยินยกมือขึ้น ยิ้มพูดต้อนรับ

เย่เทียนได้ยินจึงพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก เดินไปด้านในอย่างคล่องแคล่ว

กลางห้องรับแขกด้านในคฤหาสน์ เวลานี้มีหลายคนนั่งอยู่

คนที่อยู่ตรงกลาง คือนายท่านฉินคนนั้นที่ก่อนหน้านี้เย่เทียนเคยช่วยชีวิตเอาไว้ ฉินเจิ้ง

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้อาวุโสที่อายุมากหลายคน แบ่งกันนั่งอยู่ที่ตำแหน่งต่ำกว่าฉินเจิ้ง

“คุณปู่คะ หนูเชิญคุณเย่มาแล้วค่ะ”

ฉินโล่หยินเพิ่งเดินเข้าไป ยิ้มพูดไปทางฉินเจิ้งที่อยู่ตรงกลาง

หลายคนในห้องรับแขกกำลังพูดคุยกันอยู่ พอได้ยินเสียงพูดของฉินโล่หยิน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องมาบนตัวของฉินโล่หยินแล้ว ต่างยิ้มให้อย่างเกรงใจ

“คุณเย่ วันนั้นคุณช่วยชีวิตคนแก่อย่างผมไว้ เป็นบุญคุณใหญ่หลวง ช่วยรับการคำนับของผมด้วย!”

เวลานี้ ฉินเจิ้งลุกขึ้นยืนฉับพลัน กุมหมัดทั้งคู่ อยากคำนับต่อเย่เทียน

เย่เทียนเห็นแบบนี้ก็ขมวดคิ้ว ไม่รอให้ฉินเจิ้งมีปฏิกิริยาใด เขาเดินเข้าไปหาก่อน ประคองมือของฉินเจิ้งไว้แล้วพูดว่า “นายท่านฉิน ก่อนหน้านี้แค่เรื่องเล็กน้อย คุณไม่ต้องมีพิธีรีตองมากขนาดนี้หรอกครับ!”

ฉินเจิ้งได้ยิน หัวเราะฮาๆ พูดว่า “นึกไม่ถึงว่าคุณเย่จะไม่เหมือนคนทั่วไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ไม่พิธีรีตองมากแล้ว เชิญนั่ง!”

ตอนที่พูดจา ในสายตาเขามองเย่เทียนแบบสำรวจอย่างละเอียด ท่าทีที่ไม่แสดงตัวต่ำต้อยและไม่โอหังของเย่เทียน ทำให้เขาประเมินเย่เทียนสูงอย่างอดไม่ได้

เย่เทียนก็ไม่พูดมากเช่นกัน ถือโอกาสหาตำแหน่งแล้วนั่งลง พอดีว่านั่งลงด้านข้างฉินเจิงหรงคนนั้นที่เจอกันคราวก่อน

ความจริงฉินเจิงหรงไม่มีความรู้สึกดีอะไรต่อเย่เทียน ตอนนี้เห็นเย่เทียนปรากฏตัวที่ตระกูลฉิน มุมปากวาดรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้น

แต่ว่า ในเวลานี้ เขากลับไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงแค่สายตาที่มองทางเย่เทียนนับวันยิ่งเย็นชา

“ท่านนี้คือบุคคลมีความสามารถสูงท่านนั้นที่ก่อนหน้านี้ลงมือช่วยชีวิตท่านปู่ไว้?”

เวลานี้ ผู้อาวุโสผมสีดอกเลาคนหนึ่งส่งเสียงถาม ในเสียงพูดมีความสงสัยนิดๆ

โดยเฉพาะ อาการป่วยของฉินเจิ้งซับซ้อนอย่างมาก ในความเป็นจริงเกินกว่าขอบเขตของวิชาการแพทย์อยู่บ้าง แต่เย่เทียนสามารถช่วยให้ฉินเจิ้งรอดได้ แถมยังอายุน้อยขนาดนี้ด้วย ไม่แปลกที่คนอื่นจะรู้สึกสงสัยกัน

“ถูกต้อง คือคุณเย่ท่านนี้ค่ะ!”

ฉินโล่หยินมองความสงสัยของผู้อาวุโสท่านนั้นออก จึงใช้น้ำเสียงที่มั่นใจตอบกลับ

“เป็นคนหนุ่มมีอนาคตจริงๆ เหนือกว่าพวกเราคนแก่เหล่านี้ถึงที่สุดเลยนะ!”

มีคนส่งเสียงทอดถอนใจอีก เขาเป็นอาจารย์รุ่นหนึ่งที่ชื่อดังเป็นพิเศษของประเทศจีน รู้จักกันในนามซีเหวินชิง

“ในเมื่อสหายท่านนี้สามารถช่วยให้ท่านปู่ฟื้นได้ แสดงว่าต้องมีทัศนะทางการแพทย์ของตนเองอยู่ พวกเรากำลังพูดคุยถึงอาการป่วยของท่านปู่อยู่พอดี สหายท่านนี้มีความเห็นอะไร พูดออกมาได้เลย”

ผู้อาวุโสสองสามคนพูดมาไม่เท่าไร ก็ดึงเย่เทียนเข้ามาร่วมด้วยโดยตรง

เย่เทียนยื่นมือไปลูบจมูกด้วยความเคยชิน คิดในใจเขาเพียงแค่เข้ามาร่วมสนุกด้วย กลับนึกไม่ถึงคนพวกนี้ยังจะถามความเห็นของเขา

แต่ว่า ก่อนหน้านี้เคยตรวจดูฉินเจิ้งมาครั้งหนึ่ง จึงเข้าใจแจ่มแจ้งต่ออาการป่วยของเขา

ตอนนี้ได้ยินทุกคนถามขึ้น เขาก็ไม่มีความหมายอยากเก็บเอาไว้ พูดว่า “ความจริง ท่านปู่ไม่ใช่อาการเจ็บทั่วไป บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน น่าจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิธีการต่อสู้ที่เขาบำเพ็ญฌานมาหลายปี!”

“วิธีการต่อสู้?”

ได้ยินแบบนี้ ในดวงตาที่ขุ่นมัวของฉินเจิ้งมีความมันวาวที่ซับซ้อนแวบผ่าน “ขอให้คุณเย่อธิบายด้วย”

ทุกคนจมสู่ลักษณะที่กำลังครุ่นคิดอะไร มองเย่เทียนอยู่ รอคอยเรื่องต่อไปที่เขากำลังจะพูดอย่างเงียบสงบ

“ท่านปู่ สามารถให้ผมตรวจอาการของคุณสักหน่อยได้หรือเปล่า?”

เย่เทียนหันหน้าไปยังฉินเจิ้ง

ฉินเจิ้งหัวเราะชัดแจ๋ว ยื่นมือของตนเองออกไปอย่างคล่องแคล่ว

เย่เทียนกดลงบนชีพจรของฉินเจิ้งแล้ว ใช้งานคัมภีร์หวงอย่างเงียบๆ ซึ่งมีปฏิกิริยาต่อสภาพร่างกายของเขาอยู่

พอเข้าใจดีแล้ว เย่เทียนขมวดคิ้วใหญ่ ก่อนหน้านี้ถึงแม้เขาจะช่วยชีวิตฉินเจิ้งไว้ครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพียงรักษาที่ปลายเหตุไม่ใช่รักษาที่ต้นเหตุ

ตอนนี้หลังจากตรวจดูรอบหนึ่งพบว่า อาการของฉินเจิ้งยิ่งรุนแรงกว่าเดิม นี่กลัวว่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับช่วงเวลานี้ที่เขาบำเพ็ญฌานวิธีตกทอดมาจากตระกูลต่อไป!

ถ้าเขาเดาไม่ผิด ผู้อาวุโสตรงหน้านี้ถ้าบำเพ็ญฌานต่อไป กลัวว่าไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ คงอาการกำเริบอีก!

เย่เทียนคิดอยู่ในใจ บนหน้ากลับไม่แสดงออกมา ถามว่า “ท่านปู่ ช่วงนี้บำเพ็ญฌานด้วยวิธีฝึกของคุณอยู่หรือไม่ครับ?”

“ถูกต้อง เล่มนี้คือวิธีที่ตกทอดมาจากตระกูลฉิน เส้นทางของการต่อสู้ เหมือนกับเดินเรือทวนน้ำ ถ้าไม่พยายามแล้วจะมีแต่ถอยหลัง ผมไม่กล้าชักช้าสักวันเดียว!”

ฉินเจิ้งพยักหน้าแล้ว

เย่เทียนขมวดคิ้วหนัก พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ “ท่านปู่ ผมแนะนำว่าดีที่สุดให้คุณหยุดบำเพ็ญฌาน ไม่อย่างนั้น อีกไม่นานนัก คุณจะต้องตายเนื่องจากอวัยวะภายในเลือดออก!”

พูดแบบนี้ออกมา คนทั้งหมดต่างตกใจ!

“ร้ายแรงขนาดนี้จริงเหรอ?”

“สหาย นายคงไม่ใช่กำลังพูดขู่ขวัญอยู่หรอกมั้ง?”

“อาการป่วยของท่านปู่ซับซ้อนจริง แต่ฉันคิดว่า ขอเพียงดูแลให้เหมาะสม ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้”

อาจารย์แพทย์ทั้งสามต่างแสดงความสงสัย

ฉินเจิงหรงคนนั้นที่อยู่ด้านข้างยังคงหัวเราะออกมา พูดว่า “คุณเย่ท่านนี้ คงจะไม่ได้กำลังขู่ขวัญหรอก เพราะเหตุนี้เลยอยากจะบรรลุเป้าหมายที่คุณไม่อาจบอกใครได้นั้น”

เสียงพูดนี้ไม่น่าฟังอยู่บ้าง ทำให้ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ตัวฉินเจิงหรงแล้ว

เย่เทียนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน มองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มพูดทันใด “งั้นนายพูดมาหน่อย ฉันมีเป้าหมายอะไรที่ไม่อาจบอกใครได้?”

“ใครบ้างไม่รู้ว่าตระกูลฉินของเราเป็นตระกูลใหญ่ระดับแนวหน้าของเจียงหนัน ที่มาคุณไม่ชัดเจน และปากเอาแต่พูดเหลวไหล ผมไม่สงสัยไม่ได้ว่าคุณอยากจะหลอกตระกูลฉินของเราหรือเปล่า”

ฉินเจิงหรงพูดเยาะเย้ย

“เจิงหรง หยุดพูดเหลวไหล!”

ฉินเจิ้งขมวดคิ้วขึ้น สายตาที่มองทางเย่เทียนเปล่งประกาย “ฉันเชื่อ คุณเย่ไม่ใช่คนแบบนี้ ถ้าเขาคิดล่ะก็ ตอนที่เจอกันครั้งแรก คงไม่ไปแบบไม่ลาก่อนหรอก”

“คุณปู่ นี่ผมเพียงแค่คาดเดา โดยเฉพาะจิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ควรที่จะระมัดระวังเอาไว้ไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉินเจิงหรงยักไหล่ หัวเราะแล้วพูด “คุณเย่ ผมเพียงแค่ล้อเล่น คุณน่าจะไม่ถือสาหาความมั้ง?”

เย่เทียนหัวเราะเช่นกัน ตอนเจอกันครั้งแรก ฉินเจิงหรงคนนี้ก็พูดจาเสียดสี ตอนนี้ก็เป็นแบบนี้อีก แต่ละคนมีอารมณ์ของตนเอง โดนยั่วโมโหก็ย่อมระเบิดได้ นับประสาอะไรกับเขาล่ะ?

“ในเมื่อท่านปู่ไม่เชื่อผม ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อไป ผมยังมีธุระอื่นต้องทำอีก ไปก่อนนะครับ!”

พูดจบ เย่เทียนออกไปแบบไม่หันหน้ากลับมา

ฉินโล่หยินเห็นแบบนี้ ถลึงตาดุใส่น้องชายตนเองทีหนึ่ง ตำหนิที่เขาพูดจาเหลวไหล รีบลุกขึ้นตามออกไปทันที