บนหัวของอสรพิษเขียวสองหัวตัวนั้นปรากฏแผลเป็นรู มีเลือดกระเซ็นออกมา แมวน้อยที่ดูน่ารักเหมือนจะไม่มีพิษภัยตัวนั้นก็จับเอาผลึกวิญญาณสีเขียวของมันกัดกินทันที
อู๋ตี้กินผลึกวิญญาณมันไปหนึ่งผลึก ขณะเดียวกันหัวอีกข้างหนึ่งของอสรพิษเขียวสองหัวตัวนี้ก็เริ่มโจมตีอู๋ตี้ ทว่าอู๋ตี้หลบหลีกการโจมตีของมันเอาไว้ได้
เวลานี้ผลึกวิญญาณผลึกหนึ่งถูกอู๋ตี้กัดกินไปแล้ว ทว่าดูเหมือนอู๋ตี้ยังไม่พอใจ มันกระโดดขึ้นไปบนหัวของอสรพิษเขียวอีกข้างหนึ่งและใช้กรงเล็บอันแหลมคมของมันข่วนเข้าที่หัวอสรพิษเขียวอย่างรุนแรง
“ม่ายยยย!” อิ๋นซวงซวงตะโกนดังลั่น
ทราบกันดีว่าการที่จะได้สัตว์ศักดิ์ระดับหนึ่งหรือสองมาเป็นสัตว์พันธสัญญานั้นมันยากเย็นเพียงใด ผู้เป็นเจ้าของจึงไม่ยอมให้ใครมาทำลายง่าย ๆ เช่นนี้ได้เด็ดขาด
— ฉ่า! —
อสรพิษเขียวสองหัวถูกอู๋ตี้กัดแทะผลึกวิญญาณไปจนมันขาดลมหายใจและตายลง ร่างของมันร่วงลงสู่พื้น อู๋ตี้กลับมาหามู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน ข้าหิวแล้ว”
อยากจะเลื่อนขั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ต้องทราบก่อนว่าความแข็งแกร่งของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่นั้นสามารถเทียบได้กับความแข็งแกร่งของบุคคลระดับจักรพรรดิ ทั่วทั้งเซี่ยโจวนี้ เกรงว่ายากนักที่จะมีบุคคลระดับจักรพรรดิสักหนึ่งคน
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุก “เจ้าตะกละ เก็บเอาไว้บ้างแล้วกินช้า ๆ หน่อย”
“เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้วนายท่าน” อู๋ตี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า…” อิ๋นซวงซวงเห็นพวกเขานายท่านกับสัตว์วิญญาณกล่าวตอบโต้กันไปมา นางก็โกรธจนแทบจะเป็นลมล้มไป
มู่เฉียนซีกล่าว ใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ว่าอย่างไรล่ะองค์หญิงรอง ต้องการจะต่อสู้กับข้าอีกหรือไม่ ?”
“ข้าจะสู้กับเจ้าจนสุดชีวิตของข้า!” กระบี่ยาวของนางถูกชักออกจากฝัก โจมตีไปที่มู่เฉียนซีทันที
การลอบโจมตีเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในสายตามู่เฉียนซีแม้แต่น้อย มู่เฉียนซียกแขนขึ้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “โล่มังกรวารี!”
ความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นห่างชั้นกันเกินไปจนอิ๋นซวงซวงไม่อาจต้านทานการโจมตีของมังกรวารีได้ ร่างของนางกระเด็นลอยออกไปกลางอากาศอย่างน่าสังเวช
— ปัง! —
องครักษ์ของนางรีบเข้าไปรับร่างนางเอาไว้ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องบาดเจ็บอย่างสาหัสเป็นแน่แท้
— พรวด! —
อิ๋นซวงซวงกระอักเลือดคำโตออกมา จากนั้นเป็นลมล้มลง
อีกทางด้านหนึ่ง เชียนอ้าวเซี่ยตะโกนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ “เสี่ยวซีซียอดไปเลย สมกับเป็นแม่นางคนงามที่ข้าชื่นชอบจริง ๆ”
แสงตะวันสีทองอร่ามสาดส่องกระทบลงบนใบหน้าของเขา ทำให้ทุกคนที่เห็นทิวทัศน์ในเวลานี้เกิดความฉงนสงสัยขึ้นเล็กน้อย ทว่ามู่เฉียนซีมิได้เป็นเช่นนั้น ภูมิคุ้มกันของนางต่อความงดงามนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นท่านอา ชิงอิ่ง หรือจะเป็นจิ่วเยี่ย สำหรับนาง ความงามของพวกเขาไม่แตกต่างจากเชียนอ้าวเซี่ยผู้นี้เลย เพียงแต่บุรุษผู้นี้ดูนุ่มนิ่มกว่าเล็กน้อย
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “ทางที่ดีเจ้าควรหยุดกล่าววาจาไร้สาระกับข้าได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
“ฮือ ๆ ๆ เสี่ยวซีซี เหตุใดเจ้าถึงใจร้ายกับข้าเช่นนี้” เชียนอ้าวเซี่ยมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาเว้าวอนเพื่อเรียกร้องความรักและความสงสารจากนาง
— ตูม! —
พลังธาตุวารีของมู่เฉียนซีโจมตีใส่เขา นางเพียงแค่อยากจะรู้ว่าเจ้าบุรุษนุ่มนิ่มผู้นี้แสร้งทำเป็นบ้า ๆ บอ ๆ จริงหรือไม่ ?
“คุณชายระวังขอรับ!”
องครักษ์ของเขาจะเข้ามาสกัดกั้นการโจมตีนี้ทว่าก็ไม่ทัน เชียนอ้าวเซี่ยที่ไม่มีพลังวิญญาณใด ๆ ไม่อาจหลบหลีกการโจมตีนี้ได้เลย
— ปัง! —
ร่างสีขาวที่งดงามผู้นั้นล้มกระแทกลงบนพื้นหิมะ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากริมฝีปาก พื้นหิมะขาวโพลนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ช่างดูหยาดเยิ้มเป็นพิเศษเสียจริงเชียว
“คุณชาย!” พวกเขาเหล่าองครักษ์สองสามคนรีบเข้าไปประคองตัวคุณชายของพวกเขาขึ้น
“แม่นางมู่ ถึงแม้ว่าปกติแล้วคุณชายจะเป็นคนพูดจาไร้สาระ เรียกร้องความสนใจ เจ้าชู้ประตูดิน แต่คุณชายก็ไม่ได้เป็นคนเลวสักหน่อย เหตุใดเจ้าถึงลงมือทำร้ายคุณชายได้ถึงเพียงนี้” องครักษ์ผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามเข้าไปลงมือกับมู่เฉียนซี
ร่างสีม่วงเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ เขา “การโจมตีช้าเช่นนี้ คุณชายของเจ้ายังหลบไม่ทันอีกรึ ?”
องครักษ์ผู้นั้นกล่าวขึ้น “คุณชายไม่มีพลังวิญญาณมาตั้งแต่กำเนิด ไม่สามารถฝึกฝนพลังวิญญาณได้ อย่าว่าแต่การโจมตีของเจ้าเลยแม่นาง แม้แต่การโจมตีของจอมภูตระดับหนึ่งธรรมดา คุณชายเราก็ไม่อาจหลบหลีกได้”
“พอได้แล้ว!”
มู่เฉียนซีตรวจดูร่างของเชียนอ้าวเซี่ย บุรุษนุ่มนิ่มผู้นี้ไม่มีพลังวิญญาณมาตั้งแต่กำเนิดอย่างแท้จริง และเขาก็ไม่อาจฝึกพลังได้จริง ๆ
ที่นางลงมือทำร้ายเขาไปนั้น นางไม่ได้ต้องการคร่าชีวิตเขาแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการทดสอบเขา จากนั้นนางจึงได้เอาขวดยาออกมาขวดหนึ่งและยัดเข้าปากเขา องครักษ์ยังไม่ทันได้รู้ตัว เชียนอ้าวเซี่ยที่หมดสติไปก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
ผิวขาวราวหิมะของเขาในเวลานี้เจือด้วยสีแดงเล็กน้อย เขารีบคว้าแขนมู่เฉียนซีเอาไว้ก่อนจะกล่าวว่า “ขม… ขม… เสี่ยวซีซี รสชาตินี้ช่างขมนัก!”
“เสี่ยวซีซี ข้าอยากจูบเจ้า หากได้จูบเจ้า มันก็จะไม่ขม เพราะริมฝีปากที่แดงระเรื่อของเจ้าคงจะหวาน”
ใบหน้าที่งดงามราวรูปปั้นหิมะนั้นค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี ดูเหมือนความเร่าร้อนนั้นจะยิ่งแผดเผามากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่เชียนอ้าวเซี่ยคิดว่าการกระทำของเขาจะสำเร็จ ทันใดนั้น เขาก็ถูกมู่เฉียนซีเตะออกไปอีกครั้ง
มู่เฉียนซีจ้องเขม็ง “เชียนอ้าวเซี่ย เจ้าคิดจะเอาเปรียบคนอย่างข้า ไปฝึกตนมาสักร้อยปีเถอะ”
ทันใดนั้น บาดแผลของเชียนอ้าวเซี่ยเพิ่มขึ้นอีกแผลนั่นก็คือที่หน้าผากของเขานั่นเอง เขากล่าวด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวซีซี เจ้าพูดจริง ๆ รึ ? หากข้าไปฝึกตนอีกร้อยปี ข้าก็จะทำเช่นนั้นกับเจ้าได้”
คุณชายเซี่ยผู้นี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาโดยแท้ ใบหน้าของมู่เฉียนซีหม่นคล้ำ นางหมดคำจะกล่าวแล้ว “ไสหัวไปให้พ้น!”
เชียนอ้าวเซี่ยกวนใจนางจนถึงขีดสุดแล้ว เขาลุกขึ้น กล่าวว่า “ได้ ข้าจะไสหัวไป แต่เสี่ยวซีซี เจ้าก็ต้องไสหัวไปกับข้าด้วย”
มู่เฉียนซีอยากจะฆ่าเจ้าบุรุษนุ่มนิ่มน่ารำคาญผู้นี้เสียจริง ๆ ทันใดนั้นเอง อู่เผิงหัวเราะอย่างเขินอายและกล่าวว่า “ฮ่า ๆ ๆ ความสัมพันธ์ของแม่นางมู่กับคุณชายเซี่ยนี่ดีจริง ๆ”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุก ชายผู้นี้เอาตาข้างใดมองว่าความสัมพันธ์ของนางกับเชียนอ้าวเซี่ยเรียกว่าดี ?
ประกายแสงวาบผ่านดวงตามืดสนิทคู่นั้นของนาง มู่เฉียนซีเหลือบมองเชียนอ้าวเซี่ยด้วยหางตา “เจ้า ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่ามายุ่งกับข้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าขึ้นมาจริง ๆ”
น้ำเสียงของมู่เฉียนซีแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าที่แน่วแน่ ไม่ว่าจะเป็นหมอปีศาจคนก่อนหรือจะเป็นผู้นำตระกูลมู่ในเวลานี้ นางก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีอะไรมากนัก
“อ้อ! เซี่ยเข้าใจแล้ว” เชียนอ้าวเซี่ยก้มหน้ากล่าวด้วยความน้อยใจ
อู่เผิง “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงจุดหมาย พวกเราต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อย”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม”
อู่เผิงและพวกชำนาญทางในทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้มาก ดังนั้นระหว่างการเดินทาง พวกเขาจึงเจอกับสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งไม่มากนัก แต่ต่อให้เจอกับสัตว์วิญญาณเหล่านั้น พวกเขาก็จัดการได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องให้มู่เฉียนซีลงมือเลย
หลังจากที่เดินทางไกลมาหลายวัน อู่เผิงก็กล่าวขึ้นว่า “อีกไม่ไกล ด้านหน้าเราจะเจอหุบเขาน้ำแข็ง เป็นที่ที่ดอกบัวผลึกน้ำแข็งเก้าชั้นเติบโตอยู่ คืนนี้พวกเราพักกันที่นี่ก่อนสักคืนเถอะ วันพรุ่งจะได้มีแรงรับมือกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องดอกบัวนั้นได้”
พวกเขาเหนื่อยล้ากับการเดินทางมามาก ดังนั้นจึงตกลงที่จะพักผ่อนกันที่นี่
อู่เผิงกับพวกออกไปล่าสัตว์กันมาได้มากมาย พวกเขาเตรียมย่างเนื้อสัตว์กินกันสำหรับคืนนี้ ในเมื่อมีเนื้อย่าง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือเหล้า
เหล้าที่อู่เผิงเตรียมมานั้นนับว่าไม่เลวเลย แม้กระทั่งองค์หญิงรองผู้ยโสยังชอบที่จะดื่มมัน
ในตอนนี้เอง อู่เผิงเดินไปหามู่เฉียนซี “แม่นางมู่ วันพรุ่งก็เป็นวันที่ต้องทำภารกิจใหญ่กันแล้ว ข้าดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก!”
ในขณะที่อู่เผิงยื่นจอกเหล้าให้กับมู่เฉียนซี ทันใดนั้นมือเรียวยาวขาวดั่งหิมะข้างหนึ่งก็รับจอกเหล้านั้นแทน เขากล่าว “เสี่ยวซีซีดื่มเหล้าไม่เก่ง เหล้าจอกนี้ให้ข้าดื่มแทน เจ้าจะว่าอย่างไร ?”
อู่เผิงยิ้ม “ย่อมได้”
ทั้งสองกระดกแก้วเหล้าคนละหนึ่งจอกจนหมด มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองชายผู้มีใบหน้างดงามอย่างไร้ที่ติผู้นั้น พลันบังเกิดความตะลึงงันปรากฏขึ้นภายในดวงตาของนาง
.