กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 526
“ข้าเคยบอกว่าจะแต่งงานกับเจ้างั้นหรือ”
“แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่แต่งกับข้า”
เขาทำให้กู้ชูหน่วนโกรธจนอยากจะหัวเราะ
นี่ก็เป็นปัญหาของนางงั้นเหรอ
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้า เจ้ายกเลิกงานแต่งวุ่นวายนี่เสียเถอะ”
“แล้วท่านจะแต่งงานกับข้าเมื่อใด”
“ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ข้ามีเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องลงไปจากภูเขา เจ้าช่วยพาข้าลงไปได้หรือไม่”
จอมมารเลียนแบบการเคลื่อนไหวของกู้ชูหน่วน เขาลูบกรามพลางครุ่นคิดว่าจะพานางลงเขาหรือบังคับให้นางอยู่ที่นี่เป็นภรรยาของเขา
กู้ชูหน่วนเดาทางของเขาออก “ก่อนตัดสินใจให้ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าควรคิดให้ดีเสียก่อน ข้ากู้ชูหน่วนกินแต่ของอ่อน ไม่กินของแข็ง”
“กินของอ่อนหรือ ไม่มีปัญหา ต่อไปข้าจะทำให้อาหารในเผ่าปีศาจเป็นของอ่อนทั้งหมด”
กู้ชูหน่วน “…”
เมื่อกู้ชูหน่วนขู่ว่าต้องลงเขา จอมมารทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องส่งนางลงจากภูเขาด้วยตนเอง แต่เขากลับยอมกินของอ่อนเพราะไม่อยากให้กู้ชูหน่วนจากไป คนไม่รู้อาจคิดได้ว่าจอมมารเป็นแค่ผู้ติดตามตัวน้อยคนหนึ่ง
ที่เชิงเขาอวิ๋นฉี จอมมารเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสีขาวนวลแบบเรียบง่าย เป็นเสื้อผ่าหน้ามีกระดุมแบบนักปราชญ์ขงจื๊อ มีผ้าขาดเอวผูกไว้ และนั่นยิ่งขับให้เรือนร่างของเขาดูสูงเพรียวยิ่งกว่าเดิม
จอมมารไม่ชอบเลย
“ชุดสีขาวราวกับจะไปงานศพ ไม่เข้ากับตัวตนของข้าเลยสักนิด”
กู้ชูหน่วนกลอกตาใส่เขา
“จะแต่งตัวยั่วยวนไปทำไม เจ้าจะไปโอ้โลมใครงั้นหรือ”
“อกของข้าแข็งแกร่งกำยำ ชุดนี้ทำให้ไม่เห็นอกของข้า”
“ไม่เห็นอกก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีแต่คนเหลียวหลังมอง” ชายร่างใหญ่กำยำใส่ชุดเปิดหน้าอกทั้งวัน เขาคิดจะไปยั่วยวนใคร?
นางแค่อยากจะทำอะไรเงียบๆ ไม่อยากให้เอะอะวุ่นวาย
กู้ชูหน่วนคิดอยู่ครึ่งหนึ่งจึงดึงผ้าคลุมหน้าออกมาจากวงแหวนอวกาศ จากนั้นจึงนำมาปิดบังใบหน้าที่งดงามของเขาไว้
“พี่หญิง อาม่อไม่ได้หน้าตาน่าเกลียด ไม่ต้องปิดหน้าก็ได้”
“บอกให้ปิดก็ปิดไว้ พูดอะไรไร้สาระอยู่ได้ ถ้าไม่ปิดก็ไม่ต้องตามข้ามา”
ถ้าไม่ใช่เพราะปิดตาแล้วจะมองไม่เห็นทาง นางก็อยากจะปิดตาเขาเสียด้วยเลย
จอมมารขมวดคิ้ว เขายกแขนเสื้อขึ้นสำรวจตัวเองที่อยู่ในอาภรณ์สีขาว แม้แต่ผ้าคลุมหน้าก็ยังเป็นสีขาวสะอาดราวกับหิมะ เขาไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
“พี่หญิง เราจะเดินทางไปงานศพใครงั้นหรือ”
“งานศพกับผีนะสิ”
เสื้อผ้าก็ใช่ว่าจะขาวบริสุทธิ์ไปทั้งหมดเสียหน่อย นี่เป็นสีขาวนวลแบบพระจันทร์ซึ่งดูเรียบง่ายกว่าเล็กน้อย
“เช่นนั้นเราจะไปไหนรึ”
“หุบเขาตันหุย เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะไปที่นั่นได้อย่างไร” กู้ชูหน่วนถามอย่างเคร่งขรึม
ถ้าเขารู้เกี่ยวกับพวกตันหุยกู่ คงจะดีกว่าถ้าให้เขาเป็นคนพาไป
“หุบเขาตันหุยที่มีชื่อเสียงในการกลั่นยาน่ะหรือ
“ใช่ เจ้ารู้งั้นหรือ”
“บังเอิญข้า… อาม่อเพิ่งรู้มา ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกตันหุยกู่ส่งสาสน์บอกว่าพวกเขาเพิ่งคิดค้นยาชนิดใหม่ได้ อยากให้ข้าไปร่วมแบ่งปัน ในสาสน์นั่นมีแผนที่ของหุบเขาตันหุยอยู่ด้วย”
“ร่วมแบ่งปัน?”
“ถึงจะบอกว่าร่วมแบ่งปัน แต่จริงๆ แล้วมันคือการประมูลที่มีเงินจำนวนมากหมุนเวียน พวกตันหุยกู่จะจัดงานนี้ปีละครั้ง ผู้ที่ได้รับเชิญล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ของใต้หล้า”
“พวกเขาเชิญคนไปมากขนาดนี้ ไม่กลัวจะมีใครปล้นเอาไปจนหมดหรือไง”
“ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้ คนทั้งใต้หล้ายังคงให้ความสำคัญกับพวกตันหุยกู่ ถ้าตันหุยกู่ล่มสลาย บนโลกนี้ก็จะไม่มียาดีๆ อีก ผู้ที่ทำลายตันหุยกู่จะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของกองกำลังที่มีอำนาจ ไม่มีใครยอมเสียแรงทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้หรอก”
กู้ชูหน่วนยื่นมือไปข้างหน้า นางสนใจแค่แผนที่ในสาสน์เชิญเท่านั้น
“สาสน์เชิญล่ะ อยู่ไหน”
จอมมารหยิบสาสน์เชิญออกมาจากแขนเสื้ออย่างภาคภูมิใจและส่งให้กู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนเปิดสาสน์ ทว่าตัวหนังสือในสาสน์เลือนรางทั้งแผ่น
รอยยิ้มของนางชะงัก “ทำไมตัวหนังสือถึงเลือนไปหมด”
“อา… ข้าอาจไม่ทันระวังตอนที่ข้าแช่น้ำร้อนครั้งล่าสุด”
“…..”
“เราจะไปหุบเขาตันหุยได้อย่างไรถ้าไม่มีแผนที่ เจ้าจำทางเข้าหุบเขาตันหุยได้รึ”
จอมมารหลบสายตาเล็กน้อย ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “ก็… น่าจะจำได้แล้วละ ก่อนหน้านี้ข้าศึกษาเส้นทางมาอย่างรอบคอบแล้ว”
“ดี งั้นเจ้าพาข้าไป เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวนี้?”
“ใช่ ทำไม เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นหรือ”
“ปะ… เปล่าไม่ใช่อย่างนั้น”
จอมมารระบุทิศทางและพากู้ชูหน่วนตรงไปข้างหน้า
หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน กู้ชูหน่วนหยุดเท้าและชี้ไปที่ต้นหยางและกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าเราเดินวนกลับมา”
“ไม่หรอก บนภูเขามีต้นหยางอยู่ตั้งมากมาย”
กู้ชูหน่วนหยิบมีดขึ้นมาทำสัญลักษณ์ลงบนต้นหยาง
“ตั้งใจนำทางดีๆ อย่าพาวนกลับมาอีก”
“อื้ม… ได้…”
หลังจากเดินไปอีกครู่ใหญ่ กู้ชูหน่วนก็เหนื่อยจนทนไม่ไหว ทว่านางก็ยังเหลือบไปเห็นเครื่องหมายที่ทำไว้บนต้นหยางเมื่อครู่นี้
กู้ชูหน่วนชักสีหน้าและชี้ไปทางต้นหยางต้นนั้น
“เห็นหรือไม่ เราวนกลับมาอีกแล้ว ตกลงว่าเจ้ารู้ทางแน่หรือ”
“น่าแปลก ข้าแน่ใจว่าเราเดินตามแผนที่ไปทางหุบเขาตันหุย เหตุใดจึงวนกลับมาอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าบนภูเขาลูกนี้มีค่ายกล”
“ที่นี่ยังเป็นเขตชายแดนของเผ่าปีศาจ มีค่ายกลหรือไม่ เจ้าที่เป็นจอมมารแห่งเผ่าปีศาจจะไม่รู้เชียวหรือ”
“จอมมารมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำ จะไปรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไร”
กู้ชูหน่วนสำรวจอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง “น่าแปลก ไม่มีค่ายกลสักอย่าง เจ้าหลงทางแล้วแน่ๆ”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าเป็นใครกัน การไปหุบเขาตันหุยเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ข้าจะหลงทางได้อย่างไร”
“เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกทีว่าหุบเขาตันหุยไปทางไหนกันแน่”
นางเสียเวลาอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว นางจะเสียเวลาอีกไม่ได้
จอมมารพยายามเค้นสมองอย่างหนัก ในที่สุดก็ตบต้นขาดังฉาด “ไปทางนี้”
“เจ้าแน่ใจนะ” เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเขาไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย
“แน่ใจสิ เมื่อครู่นี้ข้าจำผิด จึงไปยังทิศทางตรงกันข้าม”
“ซือม่อเฟย ทางที่ดีเจ้าไม่ควรหลงทางอีก ข้าไม่มีเวลามาวนเล่นอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าหรอกนะ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์”
กู้ชูหน่วนผิวปากเรียก ทันใดนั้นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็กลายร่างเป็นงูเหลือมยักษ์ ดวงตาประหนึ่งระฆังทองแดงยักษ์กะพริบปริบๆ มันยิ้มซื่อๆ อย่างออดอ้อนและหมอบอยู่แทบเท้ากู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนกระโดดขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ จากนั้นจึงกวักมือเรียกจอมมาร
“ขึ้นมาสิ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เร็วมาก” ไม่ต้องบอกว่าตอนนี้นางรีบแค่ไหน แต่ถึงแม้จะไม่รีบ ถ้านางยังเดินไปแบบนี้ ขาทั้งสองข้างจะต้องหักเป็นแน่
จอมมารไม่เกรงใจ ในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ขึ้นมานั่งบนหลังของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แล้ว
“พาหนะนี่ดูไม่เลว ไว้วันหลังข้าจะไปปราบงูอัปลักษณ์สักตัวมาเป็นพาหนะบ้าง”
ฟ่อๆๆ…
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ประท้วงด้วยความไม่พอใจ
มันเป็นราชาแห่งงูซึ่งมีหัวถึงเก้าหัว ไม่ใช่งูธรรมดาและไม่ได้อัปลักษณ์เลยสักนิด
ไม่มีงูตัวไหนในใต้หล้าที่เทียบเทียมมันได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังฟิ่ว… เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำตามคำแนะนำและรีบรุดไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นงูที่มีลำตัวขนาดใหญ่ ทว่าการเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างยิ่ง และมันก็วนไปมาในหุบเขาที่แห้งแล้งไม่หยุด
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป…
พวกเขาก็วนกลับมาที่ต้นหยางต้นนั้นอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนมีสีหน้าอึมครึม “ตกลงเจ้านำทางได้จริงไหม ซือม่อเฟย เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
“น่าแปลก เหตุใดจึงวนมาที่นี่อีก ข้าแน่ใจว่าต้องไปทางนั้น หรือว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะพาไปผิดทาง”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไปตามทางที่เจ้าบอก ถ้าเจ้าไม่ชี้บอกทาง มันจะไปทางผิดได้อย่างไร”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พยักหน้าสุดแรง
ใช่ๆๆๆ
เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาคือคนที่บอกทางผิด